แหวกหมอกไปกับ CHEVROLET COLORADO


ปลายเดือนที่ผ่านมาก่อนวิกฤตน้ำท่วมในเมืองหลวงที่ยังไม่สาหัสมากนัก ทางเชพโรเลตก็นำขณะสื่อมวลชนกลุ่มแรกกว่า40ชีวิตบินลัดฟ้าไปยังจังหวัดเชียงรายเพื่อไปร่วมทดสอบรถปิคอัพใหม่รุ่นที่เพิ่งเปิดไม่นาน แน่นอนครับเรานัดหมายกันที่สนามบินสุวรรณภูมิกันในตอนเช้าตรูเพื่อให้ทันก่อนเครื่องออกในเวลาประมาณแปดโมงตามกำหนดการของสายการบิน แต่เนื่องจากการจราจรทางอากาศนั้นหนาแน่แถมแท็กซี่เวย์นั้นใช้ได้แค่ฝั่งเดียวอีก ซึ่งกัปตันประจำเครื่องก็ได้ประกาศว่าจะใช้เวลาประมาณห้านาทีจึงจะออกเดินทาง รอแล้วรอเล่าจนน้องที่นั่งข้างๆหลับไปหนึ่งตื่นแล้วหันมาถามว่ายังไม่ได้ออกอีกเหรอพี่ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คณะของเราล่าช้าไปกว่ากำหนดการกว่าชั่วโมงกันเลยทีเดียว กว่าจะเดินทางถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวงจังหวัดเชียงรายก็เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมง

มาถึงก็เข้าห้องฟังบรรยายอธิบายถึงการออกแบบต่างๆของรถรุ่นนี้พร้อมทั้งสรุปเส้นทางที่เราจะใช้วิ่งกันในครั้งนี้ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสามช่วงโดยมีรถทั้งหมด20คัน แบ่งเป็นเครื่องยนต์2.5และ 2.8 ซึ่งในรุ่น2.8นั้นมาทั้งเกียร์ธรรมดาแบบห้าเกียร์และเกียร์อัตโนมัติแบบ6เกียร์ซึ่งทั้งสองเครื่องยนต์มีทั้งแบบขับสองล้อและขับสี่ร่วมในขบวนด้วย


แต่รถที่เอามาในครั้งนี้ยังไม่มีแบบสี่ประตูนะครับ มีแต่ที่เป็นแค็ปธรรมดาก่อน รถหนึ่งคันนั่งสองคน ผมได้ขับไปคู่กับพี่คิงส์รี่จากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นครับเราได้รถหมายเลข 11 เป็นรุ่น 2.8 เกียร์ธรรมดาขับเคลื่อนสี่ล้อที่เป็นตัวรองท็อปเพราะถ้าตัวท็อปนั้นจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ


จุดหมายแรกของเราก็คือดอยช้างมูบ สภาพถนนนั้นจะเป็นแบบทั้งออนโรด และออฟโรดมีลุยเล็กน้อย เส้นทางนั้นจัดว่าไม่โหดมากนักในช่วงที่เราออกจากสนามบินก็ผ่านตัวเมืองที่เป็นแหล่งชุมชนนั้นการขับขี่ก็ไม่ได้ลำบากมากนักแม้ตัวรถจะค่อนข้างใหญ่โต ช่วงล่างเช็ตมาแบบกำลังดีไม่นิ่มและไม่กระด้างจนเกินไป เครื่องยนต์นั้นขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดูราแม็กซ์ 2.8 ลิตร คอมมอนเรลไดเรคอินเจคชั่น พร้อมเทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 440 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาทีสำหรับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด การตอบสนองของเครื่องยนต์นั้นดีใช้ได้สามารถเติมคันเร่งเข้าไปได้เมื่อต้องการความเร็วที่มากขึ้น


ในช่วงขึ้นดอยช้างมูบนั้นมีบางช่วงก็ได้ลองกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อซึ่งวิธีการปรับเปลี่ยนนั้นไม่ยากเลยเพียงแค่หมุนปุ่มกลมๆที่อยู่บริเวณคอนโซลกลางใกล้กับเบรกมือว่าจะเลือกเป็นแบบไหนไม่ว่าจะ 4H หรือ 4L จะมีไฟดวงเล็กๆแสดงให้ดูอยู่แต่จะไม่มีสัญญาณไฟแสดงที่ปัทม์นะครับทางขึ้นเขานั้นส่วนใหญ่เป็นทางโค้งและใช้ได้ไม่เกินเกียร์สามเท่านั้นบางครั้งผมก็คาเอาไว้ที่เกียร์สามไม่เปลี่ยนเกียร์แต่จะใช้วิธีเติมคันเร่งเข้าไปแทน วิธีนี้แสดงให้เห็นถึงแรงบิดที่มีของรถที่สามารถมาได้อย่างต่อเนื่องแต่ไม่อยากแนะนำให้ลองกันนะครับ ใช้เกียร์กับความเร็วให้เหมาะสมกันดีกว่า


อุปสรรคอย่างหนึ่งในครั้งนี้ที่ผมลืมบอกท่านผู้อ่านไปตั้งแต่เราลงมาที่สนามบินเขียงรายนั้นฝนก็ได้ตกพรำมาตลอดทางทำให้ในช่วงที่เราขึ้นเขากันนั้นหมอกลงจัดมากทัศนวิศัยในการขับขี่เข้าขั้นเลวร้ายเลยบางช่วงเห็นรถคันหน้าในระยะแค่ไม่ถึง10เมตร กว่าเราจะถึงดอยช้างมูบเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงกันก็ล่วงเลยเวลาไปจะถึงบ่ายสองสภาพนั้นเรียกว่ากินกันกลางฝนเลย


ช่วงที่สองนั้นก็มีการเปลี่ยนมือกันบ้างโดยพี่คิงส์นั้นรับหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ คราวนี้ก็เลยมาสำรวจอุปกรณ์ภายในกันบ้างว่ามีอะไรกันบ้างในห้องโดยสารนั้นได้รับการพัฒนาเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ระบบปรับอากาศดิจิตอลอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เครื่องเสียงเชื่อมต่อบลูทูธ วิทยุแบบซีดีหนึ่งแผ่น มารตวัดพร้อมจอแสดงผลที่บอกข้อมูลการขับขี่และการใช้งานของตัวรถ เบาะนั่งนั้นนั่งสบายดีแต่นั่งไปนานแล้วผมรู้สึกเมื่อยก้นขึ้นมายังก็ไม่รู้อาจเป็นเพราะเส้นทางที่คดเคี้ยวหรือเบาะรองก้นแข็งไป


จุดหมายของเราในช่วงนี้นั้นก็คือดอยแม่สลองในระหว่างทางนั้นพี่คิงส์ก็ขอลองระบบความปลอดภัยกันเล็กน้อยทั้งระบบ TCS (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ทำงานร่วมกับระบบเบรก ABS และแรงบิดของเครื่องยนต์ในทุกรอบความเร็ว และในทุกสภาวะการขับขี่ ทั้งขณะออกตัว เข้าโค้ง หรือเบรกกะทันหันและระบบ ESP (Electronic Stability Program) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว โดยระบบจะทำงานร่วมกับ TCS โดยทำการประเมินการเคลื่อนที่ของรถกับองศาการหมุนของพวงมาลัย หากเกิดการเสียสมดุล ระบบจะเพิ่มแรงเบรกในแต่ละล้อ รวมทั้งลดกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้รถกลับเข้าสู่สภาวะสมดุลและควบคุมได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะทำงานพร้อมกันซึ่งทำงานได้ดีเสียแต่ว่าเมื่อเราปิดระบบเจ้า TSC แล้วมันจะโชว์ที่ปัทม์ว่า TSC OFF หลังจากนั้นไฟก็จะดับไปไม่มีอะไรแสดงว่าตอนนี้ระบบมันปิดหรือเปิดอยู่แล้ว เราก็มาถึงที่หมายของเราดอยแม่สลองกันจนได้


ช่วงสุดท้ายนั้นผมก็รับหน้าที่อีกครั้งเพื่อเดินทางไปยังที่ของเราในค่ำคืนนี้ออกจากดอยแม่สลองในช่วงประมาณหกโมงเย็นฝนก็ยังตกลงมาอย่างต่อเนื่องหมอกลงจัดยิ่งกว่าช่วงบ่ายอีกเราจึงไม่สามารถทำความเร็วได้มากนักในช่วงลงเขานั้นก็ได้มีการลองใช้เอ็นจิ้นเบรกกันเครื่องนั้นมีการช่วยดึงรอบอย่างเห็นได้ชัด อย่างหนึ่งที่ผมชอบและพอใจกับโคโรลาโดคันนี้คือระบบบังคับเลี้ยวที่เช็ตน้ำหนักพวงมาลัยได้ดีแม่นยำมาก การเลี้ยวเข้าโค้งนั้นทำได้แบบสบายเลยระบบความปลอดภัยที่ให้มานั้นทั้ง TSC ESP ABSแล้วยังมี CBC (Cornering Brake Control) ระบบสร้างสมดุลขณะเบรกในโค้ง โดยระบบจะควบคุมแรงดันเบรกและลงน้ำหนักในการเบรกไปยังล้อทั้งสี่อย่างอิสระจากกันอย่างเหมาะสม ซึ่งแรงดันและน้ำหนักในการเบรกในแต่ละล้ออาจแตกต่างกัน เพื่อช่วยสร้างสมดุลและการทรงตัว และลดอาการท้ายปัด (Oversteer) หรือดื้อโค้ง (Understeer)


HBA (Hydraulic Brake Assist) ระบบช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก ทำงานเมื่อผู้ขับขี่ลงน้ำหนักเท้าไปที่แป้นเบรกอย่างรุนแรงขณะเบรกกะทันหัน
HBFA (Hydraulic Brake Fade Assist) ระบบชดเชยแรงดันน้ำมันเบรก ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่ทำการย้ำเบรกขณะเบรกกะทันหัน
PBA (Panic Brake Assist) ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน โดยระบบจะตรวจจับจากน้ำหนักการกดเท้าลงที่แป้นเบรกและจะช่วยเพิ่มกำลังและสั่งการให้ระบบ ABS ทำงานเร็วขึ้น อันจะช่วยลดระยะในการหยุดรถให้สั้นลง
ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าในรุ่น LTZ แชสซีส์ขนาดใหญ่ทนแรงบิดตัวได้สูง พร้อมคานขวางเสริมแรง โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก พร้อมคานเสริมนิรภัยกันกระแทกด้านข้าง พวงมาลัยนิรภัยยุบตัวอัตโนมัติ ช่วยลดแรงกระแทกช่วงอกจากการชนด้านหน้า และกระจกหน้าอัดซ้อนนิรภัย


ล้ออัลลอยใช้ขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 255/65 R17ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกสองชั้น พร้อมทอร์ชั่นบาร์และโช้กอัพแก็ส ขณะที่ด้านหลังใช้แบบลีฟสปริงแป้นรูปครื่งวงรีใช้วัสดุทำด้วยเหล็กกล้า พร้อมโช้กอัพแก็ส


กับระยะทางเกือบสามร้อยกิโลเมตรในเชพโรเลต โคโรลาโดก็เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้วขาดอยู่แต่เครื่องยนต์ 2.5กับเกียร์อัตโนมัติเท่านั้นที่ยังไม่ได้ลองมีโอกาสเมื่อไรไม่พลาดแน่ที่จะมาเล่าให้ฟังกันใหม่

#######################################

premsak@caronline.net

Facebook Comments