เอ็มจี ตั้งเป้าหมายขึ้นท็อป 5 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสานต่อการเป็นผู้นำรถไฟฟ้าในไทย
ชูนโยบาย Customer Centric เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์             (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยทิศทางเดินหน้าแบรนด์ในปี 2566 ตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่ ท็อป 5 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสานต่อการเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทย พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย Customer Centric มุ่งยกระดับการบริการและวางแผนกลยุทธ์ในทุกมิติ               เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ยังคงนำเสนอยานยนต์ที่ก้าวล้ำเข้าสู่ตลาดเมืองไทย รวมทั้งยกระดับความแข็งแกร่งของ EV ECOSYSTEM เพื่อรองรับสังคมรถไฟฟ้า            ที่เติบโต ตลอดจนบริการหลังการขาย ไปจนถึงการทำตลาดรถยนต์เอ็มจีมือสอง พร้อมตั้งเป้าขึ้นเป็นท็อป 5 ในอุตสาหกรรม 

สำหรับปี 2565 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ท่ามกลางสถานการณ์การขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ทั่วโลก ผนวกกับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่เอ็มจีสามารถส่งรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดได้ถึง 4 รุ่น 4 รูปแบบพลังงาน ได้แก่ MG ZS EV, MG HS, MG VS HEV และ NEW MG4 Electric สร้างยอดขายได้ 27,293 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 3.2%  โดยเซกเมนต์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดของเอ็มจีเป็นกลุ่ม BEV (รถไฟฟ้า 100%) ซึ่งมีจำหน่ายอยู่ 3 รุ่น ได้แก่               MG ZS EV, MG EP และ NEW MG4 Electric มียอดขายอยู่ที่ 3,993 คัน ยังคงยืนหยัดความเป็นผู้นำรถไฟฟ้า รองมาเป็น C-SUV จากรุ่น MG HS และ MG HS PHEV มียอดขายที่ 2,606 คัน ตามด้วย                  B-SUV จากรุ่น MG ZS และ MG VS HEV มียอดขายที่ 6,674 คัน ถัดมาเป็นกลุ่ม Eco Car & B-segment มียอดขาย 11,458 คัน จากรุ่น MG5 และ MG3 ตามด้วยกลุ่ม Pick up ในรุ่น  MG EXTENDER มียอดขายที่ 2,562 คัน ในส่วนของการผลิตเพื่อส่งออกสร้างยอดได้ที่ 6,684 คัน มีสัดส่วนตลาดการส่งออก               เป็นประเทศเวียดนาม 82% และประเทศอินโดนีเซีย 18% 

และในโอกาสครบรอบปีที่ 10 ในปี 2566 นี้ เอ็มจี พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่ทศวรรษที่ 2 กับเป้าหมายใหญ่           ในการนำพาแบรนด์สู่อันดับ 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ 

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางบวกมากขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19  เริ่มคลี่คลาย สังเกตได้จากตัวเลขจีดีพีในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 3.2% คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวเพิ่มสูงขึ้น     โดยมีผลพวงมาจากการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างหลั่งไหลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคักอีกครั้ง รวมถึงปัจจัยจากการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในประเทศและการส่งออก โดยในปี 2566 เอ็มจี ได้กำหนดแผนการยกระดับแบรนด์ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สร้างการเติบโตให้แบรนด์ เอ็มจี ทะยานสู่การเป็น ท็อป 5 ของอุตสาหกรรม 

ในปีนี้ เอ็มจี เตรียมสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรม        รุ่นใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับตลาดรถยนต์เมืองไทย โดยภายในครึ่งปีแรกมีแผนเปิดตัวอย่างน้อย 2 รุ่น และเร่งแก้ปัญหาการส่งมอบรถไฟฟ้าในรุ่นก่อนหน้าที่ไม่เพียงพอให้คลี่คลาย พร้อมเดินหน้าส่งมอบรถอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขึ้นเป็นหนึ่งใน 5 แบรนด์รถยนต์ในไทย 

ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดรถไฟฟ้าในไทย 

การเติบโตของตลาด BEV ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นที่ เอ็มจี ได้จุดประกายให้ตลาดนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 4 ปีก่อน จนปัจจุบัน คนไทยได้ใช้รถไฟฟ้าเอ็มจีแล้วกว่า 8,000 คัน ในปีนี้ เอ็มจี ยังคงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย การันตีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล โดยมี             แรงสนับสนุนจาก SAIC MOTOR CORPORATION ตั้งเป้าส่งมอบรถอีวีเฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 1,000 คัน รวมถึงเดินหน้าขยายระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ให้สามารถรองรับ              การขยายตัวของตลาดและอำนวยความสะดวกทุกพื้นที่ด้วยการเพิ่มเครือข่ายสถานี MG Super Charge เพื่อรองรับผู้ใช้บริการในทุกๆ 150 กิโลเมตรหรือน้อยกว่า ควบคู่กับการติดตั้งสถานีชาร์จในศูนย์บริการ          ทั่วประเทศ โดยภายในสิ้นปี จะมีจำนวนสถานีชาร์จไม่น้อยกว่า 200 แห่ง  

ชูนโยบาย Customer Centric ตอบโจทย์ให้ตรงจุดเพื่อความพึงใจสูงสุด 

เอ็มจี พร้อมรับฟังเสียงของผู้บริโภค เพิ่มความสะดวกสบายในการรับ-ส่งข้อมูล ข่าวสารครอบคลุม       ทุกช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อนำมาพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการได้ตรงจุด          เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและอำนวยความสะดวกด้วยเป้าหมายในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายและศูนย์บริการให้ครอบคลุมครบ 77 จังหวัด และเพิ่มจำนวนศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังจาก 67 แห่ง                    เป็น 80 แห่งภายในปีนี้ พร้อมเพิ่มการเข้าถึงอู่พันธมิตรและบริษัทประกันภัยเกี่ยวกับขั้นตอน รวมถึง           การบริหารระยะเวลาในการอนุมัติซ่อม ไปจนถึงการจัดส่งอะไหล่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลภายใน         วันถัดไป และในพื้นที่ต่างจังหวัดภายใน 2 วันทำการ อีกทั้ง เอ็มจี ยังให้ความสำคัญกับตลาดรถมือสอง             เพื่อกำจัดความกังวลเรื่องราคาขายต่อด้วยการขยายจำนวน แอพพรูฟ  เซอร์ติฟายด์ ยูส คาร์ บาย เอ็มจี (Approved Certified Used Car by MG) อีก 5-10 แห่ง ให้รองรับการเติบโตของแบรนด์

ในโอกาสพิเศษที่ เอ็มจี ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 1 ทศวรรษ เอ็มจี ขอขอบคุณหน่วยงานพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ให้การสนับสนุน เอ็มจี มาตลอดสิบปี และเพื่อแทนคำขอบคุณในความเชื่อมั่น ส่งผลให้แบรนด์เติบโตต่อเนื่อง ทางเอ็มจีเตรียมจัดกิจกรรมส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า            ชาวไทย พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย Customer Centric สู่ส่วนงานต่างๆ ของบริษัท เพื่อยกระดับธุรกิจขององค์กร ” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจีได้ที่

Website: www.mgcars.com 

Line: @MGThailand

Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand

Twitter: @mg_thailand

Instagram: @mgthailand

Youtube: MG Thailand

TikTok: @mgthailand

Facebook Comments