ทริปทดสอบปลายปี มีดีที่น่าน….กับ มิตซูบิชิ ไทรทัน



ทริปส่งท้ายปลายปี 2011 ด้วยการทดสอบ มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต และไทรทัน หลังจากเปิดตัวไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2011 และได้มีการจัดทดสอบย่อยในสนามไปแล้ว http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=682 มาคราวนี้ จัดทดสอบชุดใหญ่ด้วยเส้นทาง ปทุมธานี – พิษณุโลก – อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ด้วยโค้งกว่าพันโค้ง และระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ที่มีทั้งการวัดอัตราการสิ้นเปลือง ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ทดสอบช่วงล่างและเบรก กับสภาพเส้นทางหลากหลาย ทั้งทางเรียบ ทางโค้ง คดเคี้ยวขึ้น – ลงเขา และออฟโรดที่มีทั้งฝุ่น ลูกรัง และหิน เรียกได้ว่าเกือบครบกันเลยทีเดียวครับสำหรับทริปนี้



เริ่มต้นกันด้วยการขับออกจาก สำนักงานใหญ่ของมิตซูบิชิ ที่ จ.ปทุมธานี วิ่งไปบนเส้นทางหลวงหมายเลข 32 เข้าอยุธยา ชัยนาท นครสวรรค์ มุ่งหน้า จ.พิษณุโลก เส้นทางช่วงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ เป็นเส้นทางปกติที่ใครๆก็ใช้กันครับ ช่วงนี้ก็เลยได้ทดสอบอัตราการกินน้ำมันกันซะเลย เพราะได้ใช้ความเร็วที่คงที่ บวกกับถนนที่ไม่ค่อยมีโค้งอะไรมากนัก ทำให้สามารถทำความเร็วได้คงที่ ถึงแม้ถนนบางช่วง จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม จนรถยนต์บางคันต้องลดความเร็ว หรือบางคันถึงขั้นต้องหยอดลงหลุมกันเลยทีเดียว แต่สำหรับ ปาเจโร่ สปอร์ต และไทรทัน ด้วยช่วงล่างที่ประทับใจทุกครั้งที่ได้ขับ หลุมแค่นี้ สบายครับ



ทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองครั้งนี้มีสองช่วงด้วยกันครับ ช่วงแรก 162 กม.จาก มิตซูถึงปั้ม ปตท.ชัยนาท-อุทัยธานี ช่วงนี้พยายามคงความเร็วไว้ที่ประมาณ 110กม./ชม. ให้มากที่สุดครับ แต่ด้วยรถค่อนข้างเยอะครับ ความเร็วเฉลี่ยออกมาได้น้อยกว่าที่กำหนดไว้ครับ ส่วนอัตราสิ้นเปลืองในช่วงนี้นั้น 10.62กม./ลิตรครับ



ช่วงที่สอง จากปั้ม ปตท.ชัยนาท-อุทัยธานี ถึงปั้ม ปตท.ก่อนที่จะถึงทางเลี่ยงเมืองพิษณุโลก ใช้ระยะทางไป 167.2 กม. ช่วงนี้รถน้อยหน่อย จึงทำความเร็วได้คงที่มากกว่าในช่วงแรก อัตราการสิ้นเปลืองในช่วงนี้ ทำได้ดีกว่าในช่วงแรกอยู่พอสมควรครับที่ 12.98 กม./ลิตรเลยทีเดียวครับ ส่วนคันอื่นๆนั้นก็ทำได้มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่การขับของแต่ละท่าน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ก็ไม่มีใครต่ำกว่า 10 กม./ลิตรครับ



หลังจากกินข้าวกลางวันกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หวดกันต่อครับ ที่เรียกว่า “หวด” ก็เพราะว่า ช่วงนี้ทำเวลากันน่าดูครับ เริ่มด้วยคันเบอร์ 00 ซึ่งเป็นคันนำขบวน ที่ไม่น่าที่จะต้องขับเร็วกันขนาดนั้น แค่ 140-150 กม./ชม.ก็น่าจะพอแล้ว แค่นี้หากมีตำรวจก็คงโดนจับกันเป็นแถวๆแล้ว แต่นี่ คันผมขับนั้น ความเร็วที่ใช้อยู่ก็เกินกว่า 180 กม./ชม.ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ความเป็นขบวนเท่าไหร่นัก กลับที่จะทำให้ขบวนห่างออกไปอีก จะบางคันถอดใจ ขับแบบปกติแต่ก็ไม่ได้ช้ามากนัก เพื่อไปถึงยังจุดหมายที่นัดกันไว้ โดยคิดซะว่า ถึงช้าก็ไม่เป็นไร คันหน้าถึงเร็วกว่าก็เรื่องของเค้า ยังไงเค้าก็ต้องรออยู่ดี



สำหรับคันอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับคันผม ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ Sportronic 178 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที และ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-3,500 รอบ/นาที(ในเกียร์ธรรมดา 400 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-2,800 รอบ/นาที) ให้อัตราเร่งที่เรียกได้ว่าหลังติดเบาะครับ ไม่ต้องทำอะไรมากแค่เข้าเกียร์ D แล้วเหยียบคันเร่งลงไป คุณก็จะรับรู้ได้ถึงกำลังมหาศาล ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเองแล้วครับ



ช่วงบ่ายถึงค่ำ ก็จะเป็นการเดินทางเพื่อไปยังที่พักให้ได้ก่อนค่ำครับ ก็ต้องใช้คำว่า “หวด”เหมือนเดิมครับ ด้วยระยะทางอีกว่า 400กิโลเมตร หากเป็นทางปกติธรรมดาก็ไม่เท่าไหร่ครับ แต่นี่ ช่วงตั้งแต่ จ.อุตรดิตถ์ มุ่งหน้า จ.แพร่ ไปจนถึง จ. น่าน เป็นทางโค้งค่อนข้างเยอะครับ แถมยังมีทางเบี่ยง และถนน 2 เลนในบางช่วง ยิ่งช่วงปลายของเส้นทาง แถวๆ อ.เวียงสา อ.ท่าวังผา และ อ.ปัว นั้น โหดครับ เพราะมีที่โค้งขึ้นเขา โค้งลงเขา บวกด้วยแสงสว่างที่เริ่มจะน้อยลงทุกที



หากขับกันแบบปกติธรรมดาก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ แต่นี่ใช้ความเร็วที่ค่อนข้างที่จะมากไปซักหน่อยสำหรับคันนำ ทำให้คันที่ตามหลัง ก็ต้องเพิ่มความเร็วเพื่อที่จะได้ให้ทันขบวน ไม่อย่างนั้นก็คงได้มีการหลงกันเกิดขึ้นแน่ครับ แต่ทุกคันก็เดินทางถึง บ่อเกลือวิว รีสอร์ท ที่พักใน อ.บ่อเกลือ จ.น่าน เรียบร้อยดีทุกคันครับ



รุ่งขึ้นกับช่วงทดสอบสุดท้าย ก่อนขึ้นเครื่องที่ จ.พิษณุโลก กลับเข้ากรุงเทพ ช่วงนี้โหดด้วยเส้นทางกว่าเมื่อวานครับ เป็นเส้นทาง unseen อย่างที่ผู้วางทางว่าไว้จริงๆครับ

เริ่มต้นด้วยการออกจาก บ่อเกลือวิว รีสอร์ท ไปกินข้าวกันที่ โครงการภูฟ้า ในพระราชดำริ ซึ่งจริงๆแล้วระยะทางที่ไปกันตรงๆก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมายนัก แต่ทางผู้วางทาง อยากให้เค้าถึงคำว่า “unseen “กันจริงๆก็เลยต้องอ้อมหน่อย ไปใช้เส้นทางที่คดเคี้ยว ประกอบไปด้วยทางลูกรังกับพื้นถนนเป็นหินก้อนใหญ่พอควร แถมยังเป็นเนินชันอีก unseen จริงๆครับ



เรื่องช่วงล่างและเบรกของ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส นั้นสำหรับทางอย่างนี้ เรียกได้ว่าสบายครับ ถึงจะใช้ความเร็วที่มากกว่าคนธรรมดาเค้าทำกันไปสักหน่อย แต่ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส “เอาอยู่”ครับ บางช่วงเรียกได้ว่าเป็นทางออฟโรด ที่มากกว่าลูกรังธรรมดา พอเหยียบคันเร่งส่งเข้าไปหน่อย แล้วปล่อยให้ช่วงล่างทำงานของมันไป แค่นี้ตัวรถก็จะเริ่มลอยขึ้นแล้วก็จะขับง่ายขึ้นแล้วครับ แต่หากเจอโค้งหักศอก หรือทางลงเขาที่จะต้องลดความเร็วลง เบรกของ ของ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส ก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียวครับ



เรื่องเครื่องยนต์ที่มีแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-3,500 รอบ/นาที และด้วยเส้นทางอย่างนี้ ถึงแม้จะเป็นเกียร์ออโต้ ก็รับรู้ได้ถึงแรงในการฉุดลากที่มีอยู่อย่างมหาศาลแล้วครับ แต่อาจจะต้องใช้ระบบ Sportronic ในการเปลี่ยนเกียร์เข้าช่วยเองบ้างครับ ถึงจะไปได้อย่างราบรื่นและสนุกสนานมากขึ้น เพราะรู้สึกว่า หากให้เกียร์ออโต้ทำงานเอง ดูเหมือนว่าสมองกลของเกียร์ จะคิดช้า และเปลี่ยนเกียร์ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ช้าไปซักหน่อยครับ ก็เลยต้องใช้ Sportronic ที่มีมาให้ สั่งงานการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงเองจะสนุกกว่าครับ แต่ถ้าหากไม่ได้จะเอามันตามเส้นทางอย่างที่พวกผมขับกันนั้น ก็เข้าเกียร์ D แล้วก็ขับไปอย่างเดียวนั่นแหละครับ พอแล้ว



หลังจากกินข้าวกันที่ โครงการภูฟ้า ในพระราชดำริเสร็จแล้วก็ต้องเดินทางกันต่อครับ เพื่อมุ่งหน้าไป อ.สันติสุข แล้วก็เลยไปถึงตัว อ.เมืองน่าน เสียทางช่วงนี้ไม่มีอะไรมากครับ เป็นถนน 2เลนบ้าง 4เลนบ้าง ขับสบายกว่าที่ผ่ามมาแล้วครับ เหมือนเป็นการวอร์มดาวน์ ให้กับผู้ขับและยานพาหนะไปในตัวครับ เมื่อถึงตัว อ.เมืองน่าน ก็เลยได้มีโอกาสนมัสการ องค์พระธาตุแช่แห้ง ณ วัดพระธาตุแช่แห้ง เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองก่อนที่จะต้องขึ้นรถตู้ จาก จ.น่าน ไปยังสนามบินในตัวเมือง จ.พิษณุโลก เพื่อขึ้นเครื่อง บินกลับกรุงเทพฯ เป็นอันจบทริปทดสอบในครั้งนี้ครับ

******************************************************************************

บทความ – ภาพ : สารฑูล สักการเวช. sarathun@caronline.net
ภาพบางส่วน : มิตซูบิชิ

Facebook Comments