ทดลองขับ Volvo C30 2.4 5AT และ 1.8 5MT Flex Fuel E85 : อย่าไปเชื่อใคร จนกว่าจะได้ลองขับเอง! By : J!MMY



เคยเป็นบ้างไหม?

ยามที่คุณลงจากรถคันหนึ่ง คุณชมว่ามันขับดี มันเจ๋ง
คนส่วนมาก เห็นด้วยกับคุณ แต่ มีบางคน กลับส่ายหัว??

ยามที่คุณลงจากรถคันหนึ่ง ซึ่งขับไม่ได้เรื่องเลย
แต่ก็ยังมีคนเขียนถึงมันในเชิงชื่นชม??

มันเป็นเรื่องน่าลำบากใจ และออกแนวชวนให้หงุดหงิดได้บ้างเหมือนกัน
เวลาที่คุณจะต้องอ่านงานวิจารณ์ของใครสักคน ก่อนหรือหลังจากที่คุณจะได้สัมผัสกับรถคันนั้น
หรือฟังเพื่อนสักคน ที่เคยไปขับรถรุ่นนั้นมาแล้ว มาเล่าถึงประสบการณ์ของเขาให้ฟัง
แล้วมันไม่ตรงกับความคิดของคุณ หรือประสบการณ์ของคุณ

ปัญหาก็คือ การตีความรถคันหนึ่งออกมาเป็นคำพูดนั้น บางทีก็เป็นเรื่องยาก

ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีรถคันใดหรอก ที่จะไม่มีข้อดีอยู่เลย หรือไม่มีข้อเสียอยู่เลย
มันขึ้นอยู่กับว่า ข้อดี หรือข้อเสียนั้น มัน โดดเด่นเด้งดึ๋งขึ้นมาให้เราทำตาถลนได้มากน้อยแค่ไหน และอย่างไร



อย่างว่า

ความคิดเห็นของคนเรา มันก็อาจจะไม่ตรงกัน ก็เป็นไปได้
ถ้าคิดเห็นเหมือนกัน ความคิดที่หลากหลาย มันก็อาจไม่บังเกิด

ผมโชคดีอย่างหนึ่งว่า ผมสามารถตัดอคติในใจออกไปได้
และลืมเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดของใครออกไปได้จนเกลี้ยง
ก่อนที่จะขึ้นลองขับรถแต่ละคัน

ก่อนจะปล่อยให้ ระยะเวลา 4 วัน 3 คืน เป็นช่วงเวลาแห่งการดื่มด่ำ
ไปกับสัมผัสจากทุกอณูของผิวถนน ผ่านขึ้นมายังปลายสัมผัสของนิ้วทั้งสิบ
ที่กำพวงมาลัยอยู่

ผ่านทางแก้มก้นเนียนๆ ที่รับการซับแรงสะเทือนของเบาะรองนั่ง
โดยมีเพียงกางเกงยีนส์ และกางเกงใน คั่นกลาง

รวมทั้ง ปล่อยให้การสั่นสะเทือนที่น่อง บอกถึงการสั่นสะเทือน
ที่ช่วงล่างของรถแต่ละคันต้องเผชิญ

สายตา และโสตประสาท ถูกปลุกเร้าในทุกอณูของร่างกาย
ให้ตื่นตัวตลอดเวลา พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

โค้งประจำที่ คุณชอบขับสาดเข้าไป จะด้วยวิธีใดก็ตาม
ทุกหลุมบ่อ เนินกระโดด หรือลูกระนาด
บนเส้นทางที่คุณใช้ขับรถกลับบ้าน หรือออกไปทำงาน
หรือแม้แต่ ตรอกซอกซอย ไปจนถึงทางหลวง ที่ทั้งคุ้นเคย และไม่คุ้นเลย

ล้วนแล้วแต่มีผลกับประสบกาณ์ของ ผู้ขับขี่แต่ละคน ต่อรถแต่ละคัน อย่างยากจะปฏิเสธ



ในวันปกติ ที่ผมไปรับรถวอลโวมาทดลองขับนั้น
หาก พี่ต่าย พีอาร์สาวน้อยผู้อารี ว่างพอ
ก็จะมาพบปะพูดคุยกันบ้าง อยู่เนืองๆ

วันไหนถ้าเจ้าตัววุ่นๆอยู่ ก็จะฝากกุญแจรถ ไว้กับ รปภ.
ให้ผมไปเซ็นเอกสารรับรถเองนั่นละ ซึ่งสะดวกดี
ต่างคนต่างจะได้ทำธุระของตัวเองกันไป
และมีอะไร อยากจะเสนอแนะหรือพูดคุย เราก็ยังโทรคุยกันได้ตามปกติ

แต่…ในช่วงเที่ยงวันศุกร์วันหนึ่ง
พี่ต่าย ยื่นกุญแจ เจ้า C30 1.8F มาให้ผม ด้วยความกังวลใจเล็กๆ
หลังจากที่ C30 รุ่น 2.4 ลิตร ผ่านมือผมไปแล้ว 2 คัน เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า

เปล่าเลย ไม่ใช่ผม ที่นำพาความกระอักกระอ่วนใจมาให้
หากแต่เป็น เสียงสะท้อนจากสื่อมวลชนด้วยกันเอง บางราย
ที่เขียนถึง แฮตช์แบ็กคันใหม่ของวอลโวไว้อย่างถึงพริกถึงขิง ต่างหาก

พี่ต่ายเอ่ยปากถามผมอย่างตรงไปตรงมา ด้วยน้ำเสียงติดประหวั่นเล็กๆ ว่า

“ถามจริงนะคุณจิมมี่ C30 มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”



เชื่อว่า คุณก็คงจะอยากรู้ใช่ไหมครับ ว่าคำตอบจากความคิดของผม เป็นอย่างไร…

จากนี้ไป ก็คือคำเฉลย ที่ออกจะยาวยืดเยื้อสักหน่อย และก็ละเอียดพอดู
หากเน็ตใครไม่แรง โหลดรูปได้ไม่ครบ ก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า

แต่ ทั้งหมด ข้างล่างนี้ มันคือคำตอบ…จาก…มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ที่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมาจากไหน…อย่างผม



ก่อนอื่น สิ่งที่สะดุดจนเตะตาผู้คนมากที่สุด
ก็คือเส้นสายภายนอกของมัน
ซึ่งถ้าไม่เขียนสักหน่อย ก็คงจะผิดวิสัยอยู่บ้าง
ทั้งที่ปกติ ผมไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเส้นสายตัวถังมากนัก
(ยกเว้นแต่ว่า มันออกแบบไมได้เรื่องจริงๆ ซึ่งก็มีน้อยมาก)

เพราะนับตั้งแต่นำรถยนต์วอลโว มาทดลองขับ เพื่อทำบทความรีวิว
รถรุ่นนี้ คือรถที่เรียกสายตาประชาชีที่สัญจรผ่านไปมาได้ชะงักที่สุด

เป็นรถที่ใครได้พบเห็น เป็นต้องมอง
มีครบทั้งการหันเหลียวมองพรวดพราดเป็นตาเดียวกัน
หรือแม้กระทั่งแค่เพียงชำเลืองมองเป็นประเดิม
ก่อนจะเพิ่มองศาการเหลียวต้นคอตามมา
จนรถคันที่เราขับ ผ่านลับสายตาไป

ไม่ว่าสายตาของคนที่มอง จะยืนอยู่ริมถนน
หรือนั่งอยู่บนรถเมล์ จะให้ขับไปในย่านสุดฮิป
อย่าง พารากอน ที่ สยาม หรือจะขับผ่าน โรงแรมสยาม
เลยเถิดไปแถวสวนสยาม หรือย้อนกลับมาขับผ่านสยามสมาคม

ก็แน่ละ น้อยคนนักในยุคนี้จะเคยเห็น วอลโว
ทำรถที่มีรูปร่างแตกต่างไปจากรถถังที่เคยเป็น ได้ถึงขนาดนี้

แถมสีตัวถังยังแดงแปร๊ด แรดเรียกพี่ ได้ใจผมไปเต็มๆ

ทั้งที่ยังแฝงทุกเอกลักษณ์ในความเป็นวอลโว รุ่นใหม่ๆ
ไว้อย่างครบถ้วนไม่หล่นหายไปไหน



นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่วอลโว ทำรถออกมาได้แร่ดขนาดนี้
เพราะในอดีตกาล วอลโว ก็มีรถสปอร์ตคูเป้ แฮตช์แบ็ก
ในลักษณะคล้ายๆกันนี้มาบ้างเหมือนกัน

ย้อนกันไปตั้งแต่ รถสปอร์ต รุ่น P1800
อันเป็นรถคู่กายของ พระเอกในภาพยนตร์เรื่อง The Saint
ที่เปิดตัวในปี 1961 นั่นไง คันสีน้ำตาลที่เห็นอยู่นี้ละ

หลังจากนั้น เวอร์ชัน สปอร์ตแบ็ค ก็ออกมาในชื่อ P1800 ES
ถ้านึกไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รูปข้างบนนี้ คันแดง คันเขียว และสีส้ม นั่นไงครับ
(ภาพจากเว็บสื่อมวลชนของ วอลโว)



หลังจากนั้น วอลโวก็เคยทำรถสไตล์นี้ออกมาอีกรุ่น แต่คนไทยไม่รู้จัก
นั่นคือ 480 ผลิตออกมาในช่วง กลางทศวรรษ 1980
รถรุ่นนี้ ใช้ข้าวของโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ 440 และ 460
วอลโวพันธุ์เล็กที่คนไทยรู้จักกันดีในช่วง 1993-1997 นั่นเอง

และต่อให้ใคร จะบอกคุณว่า C30 มันเป็นผลงานของ สตีฟ แมทติน
ผมก็คงจะต้องเถียงว่า ไม่ มันไม่ใช่ผลงานของ ดีไซน์เนอร์วอลโวคนใหม่คนนี้

เพราะความจริง คุณจะเชื่อหรือไม่ว่า งานออกแบบ ของ C30 นั้น
ถูกกำหนดแนวทางมาตั้งแต่ ปี 2001 แล้ว?

ถ้าไม่เชื่อ ลองดูรถต้นแบบ SCC (Safety Concept Car) ที่เผยโฉมสู่สายตาชาวโลกในปี 2001
กันเสียหน่อยจะเป็นไร

หน้าตา พอจะเป็นเค้าโครงให้กับ C30 ได้ใช่ไหมละครับ?



รถต้นแบบคันนี้ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี ด้านความปลอดภัยต่างๆมากมาย
ทั้งเสาหลังคาคู่หน้า แบบเจาะทะลุโปร่ง เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยที่ดีขึ้น
โดยไม่กระทบกับโครงสร้างตัวถัง เมื่อเกิดการชนด้านหน้า
หลังคากระจก Panoramic Roof แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ
ระบบกล้องตรวจจับ รถยนต์ที่แล่นมาด้านข้าง
และแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟที่กระจกมองข้างอย่าง BLIS
ที่กลายมาเป็นอุปกรณ์สำหรับรถยนต์วอลโว ที่ทำตลาดจริง ทั้ง ใน S80 และ C30 ใหม่นี้



ในครั้งนั้น สายข่าวต่างประเทศรายงานตรงกันว่า รถคันนี้จะเป็นแนวทาง
การออกแบบให้กับ รถยนต์ คูเป้แฮตช์แบ็ก คันต่อไปของวอลโว

ตอนนั้น ก็ยังเข้าวงการมาได้ไม่กี่ปี ผมละดีใจ๊ดีใจ
ถ้าวอลโวจะทำรถแบบนี้ออกขายจริงๆ ด้วยหน้าตา แบบที่เห็นอยู่นี้



แต่แล้ววอลโวก็เว้นช่วงไปนานเลยทีเดียว กว่าจะพร้อมเผยโฉมเวอร์ชันเตรียมจำหน่ายจริง สู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง
ในชื่อ C30 Design Concept ที่มาพร้อมกับคำยืนยันว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง ที่จะเปิดตัวตามออกมาหลังจากนี้
จะไม่มีความแตกต่างใดๆจากรถต้นแบบคันนี้อีกแล้ว

ซึ่งพอผมดูคันจริง ก็ผิดหวังเล็กน้อย
เพราะอยากได้ไฟหน้า และงานออกแบบจากคันต้นแบบ
มากกว่าที่เป็นคันจริงอยู่ทุกวันนี้



และในทันทีที่เปิดตัว วอลโว คาร์ส ประเทศไทย ก็สั่งรถตัวอย่างเข้ามาให้ชมกันตั้งแต่ใน บางกอกมอเตอร์โชว์
ปลายเดือนมีนาคม ปี 2007

และ กว่าที่วอลโวจะตัดสินใจสั่งนำเข้ารถรุ่นนี้ทั้งคัน มาทำตลาดกันอย่างเป็นทางการ เวลาก็ล่วงเลยไปอีก 1 ปี
มาจนถึง บางกอกมอเตอร์โชว์ 2008 เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา



คราวนี้ ไม่เพียงจะเปิดตัว C30 เวอร์ชันไทย ขายจริงกันเท่านั้น
หากแต่ยัง สั่งนำเข้า C30 1.8 F Flex Fuel ที่เติมแก็สโซฮอลล์ E85 ได้
มาอวดโฉม แสดงศักยภาพ ว่า พร้อมจะนำเข้ามาทำตลาดทันที
หลังการประกาศลดภาษีเป็นพิเศษ ในเวลาเพียง 6 เดือน

ซึ่งนั่นจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ก็ยังไม่มีใครรู้เลยครับ



วอลโวเองเป็นหนึ่งในเสือปืนไว ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตที่มีรถยนต์ซึ่งเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอลล์ E85
อันมีส่วนผสมของเอธานอล ในช่วงตั้งแต่ 70 – 85 เปอร์เซนต์ เหลือน้ำมันเบนซินเพียง 15 เปอร์เซนต์ เท่านั้น
ซึ่งตอนนี้ เท่าที่พอจะนึกออกในระหว่างเขียนต้นฉบับ ก็ยังมี รถยนต์ในตลาดโลกโดยเฉพาะใน
อเมริกาเหนืออีก 25 รุ่น ที่สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ ส่วนใหญ่เป็นรถในเครือ
GM Ford Chrysler รวมทั้งรถที่คาดไม่ถึง อย่าง Merecedes-Benz C-Class รุ่นล่าสุด C300
และ รถกระบะฟุลไซส์ทรัค อย่าง Nissan Titan และเอสยูวีรุ่น Armada ซึ่งสามารถดูได้จาก
http://alternativefuels.about.com/



(แต่น่าแปลกว่า วอลโวกลับไม่มี C30 1.8 E85 อยู่ในเว็บดังกล่าว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเว็บนี้ มีแต่ข้อมูลของรถยนต์ในเขตอเมริกาเหนือ
ซึ่งวอลโว ไมได้ส่ง C30 1.8F ไปขายที่นั่น และยังสงวนเอาไว้เฉพาะ
ในยุโรปบางประเทศ โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรเท่านั้น)

ถ้าถามว่า ภาพรวมแล้วมันต่างจาก C30 รุ่นธรรมดาตรงไหน?
บอกกันให้เข้าใจง่ายๆเลยว่า มันก็คือรถยนต์ทั่วไป
ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาให้เติมน้ำมันเบนซินได้
หลากหลายมาก ทั้ง เบนซิน 95 แก็สโซฮอลล์ 95 E10 แก็สโซฮอลล์ E20
และ แน่นอน แก็สโซฮอลล์ E85 นั่นเอง

นอกนั้น ผู้ขับขี่ ก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมายเลย
เพราะ วิธีการขับมันออกไปบนถนน ก็เหมือนกับรถยนต์ธรรมดาทั่วไปนั่นละ

เหยียบคลัชต์ เข้าเกียร์ 1 ถอนคลัชต์สลับกับป้อนคันเร่ง
ประคองพวงมาลัย นำรถออกไป

แค่นั้นเลย



อันที่จริงวอลโวเอง ก็มีแผนจะผลิต C30 Hybrid ซึ่งใช้เครื่องยนต์
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และสามารถเสียบปลั๊กชาร์จกับระบบไฟในบ้านได้
รถคันนั้น ออกแสดงครั้งแรกใน แฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ กันยายน 2007
โตเกียวมอเตอร์โชว์ ตุลาคม 2007
และ มาอวดโฉมใน บางกอกมอเตอร์โชว์ มีนาคม 2008 ที่ผ่านมาด้วย

แต่ นั่นยังคงต้องใช้เวลากันอีกพักใหญ่กว่าที่เราจะได้สัมผัสคันจริงกัน



C30 ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง สำหรับรถยนต์คอมแพก์ ขับเคลื่อนล้อหน้า
ร่วมกับ รถยนต์รุ่นที่บ้านเราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทั้ง Mazda 3 – Axela
และ Ford Focus ดังนั้น อย่าแปลกใจที่คุณอาจจะพบเห็นข้าวของบางอย่าง
ใน โฟกัส มาปรากฎตัว ใน C30 อีกครั้ง ไม่ต้องตกใจหรอกครับ ส่วนมาก
เป็นงานวิศวกรรม ที่ซ่อนอยู่ในใต้ฝากระโปรงหน้าของรุ่น 1.8 F Flex Fuel นั่นละ

รถรุ่นนี้ จะถูกผลิตขึ้น ณ โรงงาน ของวอลโว ในเมือง Ghent ประเทศ เบลเยียม
เพียงแห่งเดียว เพื่อส่งขายทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย
ไม่ใช่โรงงาน NedCar ที่เคยผลิต วอลโว S40 – V40 รุ่นก่อน และ Mitsubishi Carisma
Mitsubishi Colt รวมทั้ง Smart ForFour แต่อย่างใด

หมายความว่า C30 ทุกคันที่ขายในไทย เป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน
ที่ประกอบจากโรงงานในเบลเยียม
ไม่ใช่โรงงานสวิดิชแอสเซ็มบลี ย่านบางนา-ตราดของเรา
ซึ่งถือว่า มีมาตรฐานการประกอบระดับยอดเยี่ยมแห่งหนึ่งของโรงงานประกอบรถยนต์เมืองไทย



ด้วยขนาดตัวถังที่ยาว 4,252 มิลลิเมตร กว้าง (ไม่รวมกระจกมองข้าง) 1,824 มิลลิเมตร
รวมกระจกมองข้างแล้ว 2,039 มิลลิเมตร สูง 1,447 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร ความสูง Ground Clearance
จากพื้นถนน ถึงพื้นตัวถัง 135 มิลลิเมตร

รถคันนี้ มีความเป็นผู้หญิงเจือปนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
และนั่นเป็นเรื่องดี สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของวอลโว ในยุโรป
ที่มักเป็นสุภาพสตรี จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
พวกเขาต้องการความมั่นคง ปลอดภัย และไว้ใจได้
ขณะเดียวกัน ก็ต้องการบุคลิกอันแตกต่างในสไตล์ของตนเอง
อีกทั้งต้องการแสดงออกให้เห็นว่า พวกเธอเป็นคนมีความคิด ฉลาดและรู้ค่าของเงิน
ไม่ใช่ ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย แต่ได้ของกลับมา ไม่คุ้มกับค่าตัวที่เสียไปตามใจตนเอง



สิ่งที่คนไทยไม่ค่อยจะรู้กันนักก็คือ
นับตั้งแต่เปิดตัว จนถึงวันนี้
C30 กวาดรางวัลต่างๆมากมาย จากทั่วโลกมาแล้ว
มากถึง 22 รางวัล และรางวัลส่วนใหญ่ จะมอบให้
ใน 2 ประเภทหลักๆ นั่นก็คือ ถ้าไม่ใช่ประเด็น รถยนต์ขนาดคอมแพกต์ที่สวยที่สุด
ก็จะเป็นประเด็น รถยนต์คอมแพกต์ที่ดีที่สุด

เอาเป็นว่า ดูรางวัลที่รถรุ่นนี้ได้รับมาแล้วกัน
เลือกขึ้นมาจากทั้งหมด 22 รางวัลที่วอลโว ส่งมาให้ผมนั่งดูเล่น



– 2006 รางวัลรถยนต์ที่สวยที่สุด
จาก นิตยสาร Automobilia อิตาลี

– 2007 Best Design – Production Cars
นิตยสาร Auto Design & Styling จากประเทศ Czech Republic

– 2007 Best Design จาก นิตยสาร Auto Bild (เวอร์ชันเยอรมันนะ ไม่ใช่เมืองไทย)

– 2007 ได้รับรางวัลอันดับ 1 จากผลโหวต รถยนต์ที่สวยที่สุด autonis Car Design Award 2007
โดยนิตยสารรถยนต์ชื่อดังของเยอรมัน auto motor und sport

นี่ยังไม่นับ รางวัลจำพวก รถที่ดีที่สุด ในกลุ่มคอมแพกต์ ที่ได้มาหลายสำนึกเหลือเกิน จนขี้เกียจจะพิมพ์ให้อ่านกันแล้ว เช่น Autobytel นิตยสาร Automobile ของสหรัฐฯ และจาก auto motor und sport เช่นเดียวกัน

รวมทั้งรางวัล พวงมาลัยทองคำ Golden Sterering Wheel Award 2006
จากหนังสือพิมพ์ Bild am Sonntag (ทื่เมื่อก่อนนี้ เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ก็เคยใช้รางวัลนี้
ในการโฆษณา มิตซูบิชิ กาแลนท์ ซิกมา รุ่นหน้าปัดดิจิตอล เมื่อกว่า 20 ปีก่อนนั่นเอง)

ฯลฯ

ผมเอารางวัลเยอะแยะมากมายบานตะเกียงเหล่านี้
มาโพสต์ให้ดูเล่นๆ ไม่ใช่ว่าจะเห็นด้วยกับรางวัลอันน่าเบื่อ
ไร้สาระพวกนี้เท่าไหร่หรอกครับ

ผมมองว่ารางวัลพวกนี้ ไม่มีค่าอะไรสำหรับผมเลยในการตัดสินรถสักรุ่น
ผมเอารางวัลพวกนี้ ไปทิ้งใน Recycle Bin ให้หมด
ไม่เหลือเอาไว้ในหัวเลยเวลาจะเขียนบทความรีวิวรถรุ่นใดๆ

จะว่าไปแล้ว รางวัลไร้สาระเหล่านี้ ผมไม่จำเป็นต้องเอามาลงให้อ่านกันเลย
แต่เหตุผล ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ ให้คุณๆได้เห็นว่า
ชาวต่างชาติ เขามอง รถรุ่นนี้กันอย่างไร ต่างจากที่คนไทยมองมัน
กันแค่ไหน

และ มันจะได้สอดคล้องกับรูปประกอบที่เตรียมเอาไว้เยอะเกินเหตุ ก็เท่านั้น…ก็ช่วยไม่ได้ คราวนี้ ผมดันถ่ายมาเยอะกว่าปกติ

ไม่จำเป็นว่า ความเห็นของผม หรือของใคร จะต้องสอดคล้องกับสื่อต่างชาติเหล่านั้นเสมอไป
เพราะสื่อต่างชาติเหล่านั้น บางครั้งก็อย่าไปถือสาอะไรกับฝรั่งมังค่ามากมายนัก



การทำตลาด C30 ในเมืองไทยนั้น วอลโว เอามุขใหม่ขึ้นมาใช้
เป็นมุขที่ต่างประเทศเขามีกันมานานแล้ว แต่เมืองไทยเพิ่งจะถูกนำมาใช้

วอลโวจะเรียกยังไงผมไม่รู้ และผมไม่สนใจ
แต่ผมจะตั้งชื่อเรียกให้มันเสียใหม่ว่า…

C30 Buffet Program

หรือถ้าอธิบายให้ง่ายๆคือ
หากคุณจ่ายเงิน 2,399,000 บาท เพียวๆล้วนๆ ไม่จ่ายอะไรเพิ่มไปกว่านี้
(หรือไปตกลงกับเซลส์ในราคาทอาจจะี่ถูกกว่านี้)

สิ่งที่คุณจะได้รับกลับคืนมา ก็คือทุกอย่างที่คุณจะพบเห็นได้ในรถคันสีแดงนี้ 1 คัน
ภายนอกมันจะประกอบไปด้วย คิ้วคาดข้างเหนือซุ้มล้อรอบคัน สีดำ กันรอยถลอก
ล้ออัลลอย ขนาด 6.5 x 16 นิ้ว ลายมาตรฐาน Celeus หรือ ถ้าไม่พอใจ ก็เปลี่ยนได้
เป็นลาย Cordelia หรือ Ceryx ส่วนสีตัวถังก็เลือกกันเข้าไป 12 สี ตามใจชอบ

แต่ถ้าอยากได้ออพชันพิเศษเพิ่มขึ้น ก็เลือกได้ในรายการบุฟเฟต์ ที่มีให้ดังที่เห็นอยู่นี้
แล้วก็เพิ่มเงินเข้าไป…



ซึ่งเท่าที่ดูราคา แต่ละรายการนั้น…..

บางชิ้น ก็สมเหตุสมผล แต่บางชิ้น ก็ช่างแพง แพ๊ง แพง เหลือเกิน



เอาง่ายๆ
ถ้าคุณต้องการจะเปลี่ยน เจ้าคันสีแดง รุ่นเบสิกธรรมดาๆ
ให่้พลิกโฉมจนโฉบเฉี่ยวขึ้นมานั้น มาดูกันสิว่า
คุณจะต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม อีกบ้าง?

– ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon เพิ่มเงินอีก 55,000 บาท
– ชุดแอโรพาร์ต รอบคัน อันประกอบด้วย
– สปอยเลอร์ชิ้นหน้า
– สเกิร์ตด้านข้าง
– สปอยเลอร์ ด้านหลัง (ใต้เปลือกกันชนหลัง)

รวมราคาแล้ว 55,231 บาท!!

ซึ่งเลือกได้ว่าจะให้พ่นสีเดียวกับตัวรถ หรือ จะเลือกเอาสี ได้ ถึง 3 สี
ให้ตัดกับสีตัวถังรถที่คุณเลือก (สีตัวอย่างบนชุดแอร์พาร์ตที่เห็นนี้คือสี Java)

และราคาที่ว่านี้ ยังไม่รวม ภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซนต์ และค่าทำสีอีกต่างหาก!

– แถมถ้าอยากได้ความสวย แถมความหนึบก็ต้องเปลี่ยนล้ออัลลอย 18 นิ้ว
ลาย Altreus แบบ Diamond Cut สี Dark Grey 18 นิ้ว พร้อมยาง Pirally P Zero Rosso
ขนาด 215/45R18 93W ครบทั้ง 4 เส้นใส่เข้าไป

รายการหลังนี้ อย่าเพิ่งถามผมว่า ราคาเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าคุณมีราคาในใจ
ดังนั้น อ่านต่อไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงทดลองขับ แล้วคุณจะพบราคา
เมื่อถึงเวลานั้น ค่อยลองถามตัวเองว่า มันคุ้มกันหรือไม่ ก็คงยังไม่สาย
อย่าเพิ่งเลื่อนลงไปตอนนี้ เดี๋ยวหัวใจจะวายไปเสียก่อน



ส่วนด้านหลังรถนั้น มี 2 ชิ้น

– สปอยเลอร์บนหลังคา ชิ้นเดียว ราคา 17,000 บาท (ไม่รวม VAT และ่ค่าทำสี)

– ปลอกสวมปลายท่อไอเสีย ฝั่งขวา ชิ้นนี้ 6,410 บาท (ไม่รวม VAT)



มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง

ประตูคู่หน้ามีขนาดใหญ่โต การก้าวข้าวออก เป็นเรื่องสบายๆ
แต่การเปิด-ปิดประตูรถนั้น ถ้าอยากจะรักษาความสบายไว้
คำแนะนำเดียวของผมคือ อย่าเปิดมันกว้างจนเกินไป ถ้าไม่จำเป็น
และถ้าเปิดออกไปแล้ว ดันไปให้ตรงกับล็อกที่ต้องการจนมั่นใจเสียก่อน
เพราะประตูที่หนักแน่นดีตามสไตล์วอลโว และเปิดกางออกได้
บางทีมันอาจทำร้ายคุณได้เหมือนกัน

เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบการตกแต่งที่แตกต่างกัน

หากคุณจ่ายเงิน 2,399,000 บาท สิ่งที่คุณจะได้ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรถคันสีแดงนี้



และถ้าเพิ่มเงิน เลือกออพชันกันอีกสักนิด
คุณก็จะได้ภายในห้องโดยสาร แบบนี้



และถ้าเป็นรุ่นที่ตกแต่งในแบบ R-Design
อันเป็น กลุ่มอุปกรณ์ตกแต่งขั้นสูง (แต่ยังไม่สุด)
ก็จะมาในแบบที่โฉบเฉี่ยวขึ้น อย่างรุ่น 1.8F คันสีขาวล้วนคันนี้



ในรุ่นมาตรฐาน เบสิกๆ
เบาะนั่งคู่หน้าของทุกคัน จะปรับตำแหน่งต่างๆ ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
และมีหน่ายความจำตำแหน่งที่ปรับเอาไว้มากถึง 3 ตำแหน่ง

ที่สำคัญก็คือ มีมาให้ครบทั้งเบาะคนขับ และเบาะผู้โดยสารด้านข้าง!!

พนักพิงศีรษะ เป็นแบบ ป้องกันการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลัง จากการสะบัดตัวของศีรษะ
WHIPS (Whiplas Protection System) มาพร้อมเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด และเป็นแบบ
ลดแรงปะทะ พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ (Pyrotechnical pretensioners and Load limiter)
ครบทั้ง 4 ที่นั่ง!

อ่านไม่ผิดครับ ทั้ง 4 ที่นั่ง…



ที่วางแขนบนแผงประตูนั้น วางได้สบาย กำลังดี
และตำแหน่งนั่งขับนั้น ไม่ทำให้ผมรู้สึกเมื่อยแต่อย่างใด
แถมเมื่อขึ้นรถมาแล้ว ยังปรับให้ลงตัวกับสรีระและความต้องการส่วนตัวของผมไม่ยาก

หากจะเข้าออกเบาะนั่งแถวหลัง มองหาสวิชต์ไฟฟ้า ปรับเลื่อนชุดเบาะขึ้นมาข้างหน้า
แล้วดึงก้านโยกที่ติดตั้งใกล้ๆกันนั้น ยกขึ้น โน้มพนักพิงเบาะไปข้างหน้า



ในรุ่น R-Design เบาะนั่งจะมีลวดลายติดสปอร์ตมากขึ้นอีกนิดอย่างที่เห็น
ตั้งข้อสังเกตว่า เข็มขัดนิรภัยนั้น ต้องเอื้อมมือไปดึงมาคาด มากพอสมควร ยังไม่ค่อยสะดวกนัก
แม้จะมีตัวล็อกสายเอาไว้กับชุดเบาะแล้วก็ตาม

แต่ถ้าให้ออกแบบถึงขั้นมีแขนไฟฟ้ายื่นออกมาอย่าง Mercedes-Benz หรือ BMW
อันนั้น ก็ดูจะเกินเหตุไปสักหน่อย ลองไปหาทางแก้ปัญหากันดู เอาเองนะวอลโว
เพราะถึงตอนนี้ ผมก็ยังนึกหาทางออก ไม่ออกเหมือนกัน ถ้านึกออกได้ คงบอกไปนานแล้ว



เบาะหลัง นั้น ดูเหมือนจะเล็กคับแคบ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า พอเอาเข้าจริงแล้ว หุ่นอย่างผม
ยังสามารถจะเข้าไปนั่งได้อย่างสบายๆ
ไม่อึดอัด แถมมีพื้นที่เหนือศีรษะ เหลืออีกอย่างเยอะแยะ



อีกทั้งยังมีพื้นที่วางขา ให้พอสบาย ต่อให้ปรับเลื่อนเบาะหน้ายังไงก็ตาม
ถ้าคนนั่งด้านหน้า ตัวไม่สูงมาก จนรต้องปรับเบาะหน้าถอยหลังมาจนสุด
ยังไงๆ พื้นที่วางขาด้านหลังก็จะยังเหลือเลี่ยนเตียนโล่ง วางขาได้สบายแน่ๆ

ที่วางแขนบนแผงประตูด้านข้าง มีช่องใส่ของจุกจิกเล็กน้อยมาให้ด้วย



ที่พักแขน กลางชุดเบาะหลังนั้น
มีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ ช่วยบดบังพฤติกรรมของผู้คนในรถ
จากสายตาของผู้ร่วมสัญจรได้



เพราะข้อเสียอย่างนึงก็คือ
การออกแบบให้กระจกบังลมหลัง เป็นฝากระโปรงท้ายในตัว ทั้งบาน
โดยไม่มีพื้นที่เหล็กอยู่เลย จะทำให้ ห้องโดยสาร โปร่งมากกกกกก
หากมองจากรถคันที่ขับตามมา

และหากคุณจับมือกับแฟน หรือคิดจะทำอะไรพิเรนทร์มากกว่านั้นละก็
รถคันที่ตามมา เขาจะเห็นฉากรุกขอความรักของคุณจนหมดเปลือกกันเลยทีเดียว!

ยิ่งถ้าพับพนักพิงเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังแล้ว
ไม่ต้องคิดต่อเลยครับ…รู้น่า ว่าคิดอะไรอยู่! หึหึหึ



ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะสวีทหวานกับคนรักของคุณ ระหว่างขับรถ
ควร ตรวจเช็คให้แน่ใจว่า คุณมีผ้าใบคลุมพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังมาให้เช่นนี้ด้วย



รถรุ่นนี้ ไม่มียางอะไหล่มาให้ มีแต่ชุดปะยางติดแถมมากับตัวรถ
กับเครื่องมือซ่อมบำรุงฉุกเฉินประจำรถมาให้ ดังนั้น ขับกันระวังๆหน่อยนะครับ

พื้นห้องเก็บของด้านหลังนั้น ยกขึ้นมาแล้ว จะมีขอรั้งไว้ที่แผงพลาสติกบริเวณซุ้มล้อคู่หลัง
อย่างที่เห็นนี้



แผงหน้าปัดหน้าตาคุ้นๆ ว่ามันเคยติดตั้งอยู่ใน C70 รวมทั้ง S40 และ V50
เน้นการใช้งานง่าย User friendly และยังคงโดดเด่นด้วยการออกแบบแผงคอนโซลกลาง
ให้ลอยออกมา มีพื้นที่วางกล้องถ่ายรูปแบบ Prosumer ด้านหลังได้ 1 ตัว
เป็นสไตล์การออกแบบที่วอลโว ได้แรงบันดาลใจมาจาก ชุดเครื่องเสียงของ BANG & OLUFSEN

หากคุณลองกดลงไปบนแผงหน้าปัด คุณจะพบว่า มันยุบตัวได้เยอะมากกว่าที่เจอใน
แผงหน้าปัดของรถทั่วๆไป ข้างในมันบุด้วยฟองน้ำ และวัสดุสังเคราะห์
เพื่อลดโอกาศการบาดเจ็บจากการกระแทกของอวัยวะ



ซึ่งดีกว่า ฟอร์ด โฟกัส ฝาแฝดร่วมแพล็ตฟอร์ม ตรงที่ว่า
หากคุณลองทุบเข้าไปเบาๆ มือคุณจะเด้งกลับมา
ไม่เหมือนของ โฟกัส ที่ถึงขั้นเจ็บมะเหงกกันได้
ทั้งที่มันก็ยุบตัวได้คล้ายกับ C30 นี่ละ

และที่ไม่เหมือนใครก็คือ คุณยังตกแต่งแผงคอนโซลกลาง ด้วยลวดลายแบบของคุณเองได้
หรือถ้าจะใช้ ลวดลายของวอลโว ที่เรียกว่า Surf Pattern ที่เห็นอยู่นี้เลยนั้น
คุณต้องจ่ายเพิ่มถึง 17,000 บาท!!!

และถ้าอยากได้พวงมาลัยทรงสปอร์ต
พร้อมลายอะลูมีเนียมแปะอยู่ด้านบน
ซึ่งจับกระขับมือกว่าพวงมาลัยมาตรฐานนิดหน่อย
อย่างที่เห็นในรุ่น 1.8 F Flex Fuel 5MT R-Design คันนี้
คุณต้องจ่ายถึง 24,560 บาท (ไม่รวม VAT อีกตามเคย)

2 อันนี้ละ แพงเกินเหตุ โดยไม่จำเป็นเลย



ชุดมาตรวัดของเวอร์ชันที่ทำตลาดในไทย



ชุดมาตรวัดของเวอร์ชันสหราชอาณาจักร จะมีหน่วยวัดเป็น ไมล์/ชั่วโมง
และมีพื้นด้านหลังเป็นสีฟ้า

ภาพรวมของชุดมาตรวัด ยังคงอ่านง่ายตามสไตล์วอลโว
จัดเรียงตำแหน่งสัญญาณไฟเตือนไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่เกะกะ
มีมาตรวัดความร้อนมาให้



การติดเครื่องยนต์ ใช้รีโมทกุญแจ แบบ Immobilizer เสียบเข้าไปในร่อง
แล้วหมุน เหมือนติดเครื่องยนต์รถทั่วไป

พวงมาลัยเป็นแบบ Multifunction มีระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control บนฝั่งซ้าย
และสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง บนฝั่งขวา



การออกแบบสวิชต์ บนแผงควบคุมกลาง เน้นการลดสายตาผู้ขับขี่จากพื้นถนน
โดยแยกสวิชต์ที่คาดว่าจะใช้งานหลักบ่อยๆ 4 ชิ้น ออกมาเรียงตำแหน่งกันเป็นพิเศษ
สะดวกต่อการขับรถไปคลำหาไป ขณะที่สวิชต์อื่นๆ ก็จัดวางในรูปของสวิชต์บนแป้นโทรศัพท์

เครื่องปรับอากาศเป็นแบบปรับอุณหภูมิแยกฝั่งได้ ซ้าย-ขวา
และใช้จอแสดงข้อมูลร่วมกับ ชุดเครื่องเสียง ติดรถยนต์จากโรงงาน
แบบ High Performance 8 ลำโพง 4x 40 วัตต์ เล่น CD ได้ 6 แผ่น
ซึ่งให้คุณภาพเสียงประเสริฐมากๆ

และถ้าให้พูดกันตรงๆ ถ้าคุณไม่ใช่นักฟังหูชุบทองคำขาว
เครื่องเสียงมาตรฐานจากโรงงานของวอลโวในแบบเดิม
มันก็เกินกว่าคำว่าเพียงพอแล้ว สำหรับการรับฟัง



ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องอัพเกรดเป็นชุดเครื่องเสียงแบบ Premium Sound
อันประกอบด้วย ชุดเครื่องเสียง แบบซับวูฟเฟอร์ 5 x 130 วัตต์ พร้อมระบบ
Dolby Pro Logic II Surround…



…และ ลำโพง Dynaudio รอบคันมากถึง 10 ชิ้น! แต่อย่างใด

เพราะราคาสำหรับการอัพเกรดชุดเครื่องเสียงนั้น..

ปาเข้าไป “130,000” บาท !!!!!

ส่วนหัวเกียร์นั้น บางคนสงสัยว่าทำไม มีสีเงิน กับสีดำ

ถ้าสีดำ เป็นหนัง มันติดรถมากับรุ่นเบสิก

แต่ถ้าอยากได้หัวเกียร์สีเงิน

จ่ายเพิ่มอีก 6,410 บาท ไม่รวม VAT

โอ้ย พระเจ้า อะไรกันเนี่ย! แพงเกินเหตุแล้วมั้งแค่หัวเกียร์สีเงินเนี่ยนะ?
แล้วไหนจะชุดเครื่องเสียงระดับเลี่ยมทองนั่นอีก??

เก็บไว้เป็นของแถมให้ลูกค้า ของแต่ละดีลเลอร์ ดีกว่าไหม?



ส่วนชุดซันรูฟ เปิด-ปิดด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ตรงแผงไฟส่องสว่างในห้องโดยสารนั้น
สามารถดีดกลับได้ เมื่อมีสิ่งกีดขวาง เพียงแต่ว่า แรงปะทะก่อนดีดกลับเองนั้น
ทำให้ผมเจ็บกำปั้น ที่ยกขึ้นไปบังรอไว้เพื่อทดลองว่ามันจะดีดกลับหรือเปล่า
อยู่พักนึง

ถ้าอยากได้ ก็จ่ายเพิ่ม 50,000 บาทพอดี
ดูเหมือนว่า จะมีแค่ซันรูฟกระมัง ที่มีราคาดูจะสมเหตุสมผลกว่าใครเพื่อน



ในเมื่อตัวรถนั้น มีความเป็นผู้หญิงมากๆ
ดังนั้นผมจึงคิดว่า ควรจะให้ สาวๆ สักคน มาลองนั่ง
และให้ความเห็นกับรถคันนี้สักหน่อย

ผมเลือกเธอคนนี้ครับ
เธอชื่อ น้องริน วิรุฬห์ทรัพย์

โปรไฟล์ ที่พอจะบอกคุณได้ก็คือ
เธอเป็น พี่สาวคนโต ของบ้าน
มีน้องชายคนเล็ก ชื่อน้องเพชร ภาสกร วิรุฬทรัพย์
ซึ่งร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “รักแห่งสยาม”

เธอมีความสามารถในงานด้าน มัณฑนศิลป์
และงานตกแต่งภายใน

ผมไปรู้จักเธอมาได้ ก็เพราะเจ้าน้องชายตัวดี อย่างน้องเพชร
มาบอกว่า พี่สาวเค้าอยากคุยกับผม ปรึกษาเรื่องจะซื้อรถกัน
ก็เลย แอด msn คุยกัน

ไปๆมาๆ ก็เลยกลายเป็นเพื่อนรุ่นน้องคนใหม่ของผมไปโดยปริยาย

และต่อไปนี้ คือความเห็นของรถคันนี้ จากน้องริน
ในแง่การออกแบบของมัน ว่าสอดคล้องกับความต้องการของผู้หญิงมากน้อยแค่ไหน…

ละต้องขอบอกกันไว้ก่อนว่า
เนื่องจากน้องริน ใช้ชีวิตในต่างแดนมานาน
การพิมพ์ไทย คือสิ่งที่เธอกำลังหัดอยู่
ดังนั้น เราจึงเลือกถามเป็นไทย และให้เธอตอบเป็นภาษาอังกฤษแทน
และเธอจะตอบในฐานะของลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งก็มีรถคันนี้เอาไว้ในตัวเลือกที่สนใจจะซื้อ…

14/6/2551 2:45:26 J!MMY : อ่ะ ในความรู้สึก จากที่นั่งมาวันนี้ เต็ม 10 ให้เท่าไหร่ดี
และมีฟังก์ชันอะไรที่ คิดว่าผู้หญิงน่าจะชอบและไม่ชอบบ้าง อยากฟังมุมมอง

14/6/2551 2:45:52 La Dolce Vita : umm….. 8.5 dai pa??? I don’t like the Belt na i think it’s too hard working wa
14/6/2551 2:46:10 J!MMY : อ่าฮะ ได้ เพราะความจริงคือ มันไม่มีรถคันไหนถึง 10 หรอก เหอๆๆ
14/6/2551 2:46:17 La Dolce Vita : like too complicated, Imagine when you are in the fucking hurry di, Damnn it!!!
14/6/2551 2:46:38 J!MMY : ช่าย มันไกลไป

14/6/2551 2:46:49 La Dolce Vita : what the fuck with the belt and the Whole on the chair
I mean you know right?? on side of the chair arr basicly it’s ok too fat some how,
and I think the consol in the front is too high… like I just told you

14/6/2551 2:48:21 J!MMY : เอ่อ พี่ลืมบอกรินไปว่า พี่ปรับตำแหน่งเบาะให้ริน ที่ระดับต่ำสุดนะ
14/6/2551 2:48:35 La Dolce Vita : 5555555555555555 Damnnn it!!

14/6/2551 2:48:40 J!MMY : รินอาจจะรู้สึกว่ามันสูงไป เพราะพี่ปรับเบาะกดลงต่ำเลยไง อิอิ
14/6/2551 2:48:41 La Dolce Vita : That’s ok, so skip that point, and mostly I told you I can’t remember…5555
14/6/2551 2:49:41 La Dolce Vita : Ohhh Damnnnnnn iPod Stuff!! AUX and sure that the car
was made to hits the women !! absolutly, eventhough the 3rd sexual can tell 555555

14/6/2551 2:52:51 J!MMY : ขอบคุณมากมายริน ชอบคอมเมนท์มาก โดยเฉพาะเรื่องกล่องใส่เครื่องสำอางค์ ของลังโคม
14/6/2551 2:53:18 La Dolce Vita : but sorry na if the things i though are too stupid, I ain’t the expert waa

14/6/2551 2:54:40 J!MMY : มันไม่สติวปิดหรอก มันเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ชอบ เพราะว่านี่คือสิ่งที่แตกต่างไป และเชื่อแน่ว่า ไม่มีใครคิดคำนึงถึงเรื่องนี้!
14/6/2551 2:57:38 La Dolce Vita : มากด้วย actually it’s fit to the every Basic cosmatic’s boxes na,
and trust me the Box of Shoe can be fits also. try it! u know, like the Cosmatic box that the make up artist carry arrr sure! loey



บางที ผมก็มองข้ามเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไปด้วยเหมือนกัน
เรื่องเล็กน้อยที่ผู้ชายมองไม่เห็น แต่ผู้หญิงมองเห็น!

ก็ใครจะไปคิดละครับ ว่าจู่ๆ ริน จะบอกกับผมว่า กล้องเก็บของนั้น มันมีขนาดพอดีๆ กับการใส่กล่องเครื่องสำอางค์ของ Lancome
ชนิดว่า พอดีเป๊ะ! แถมยังบอกว่า มันใส่รองเท้าส้นสูงได้ 1 คู่พอดีอีกด้วย พูดไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังแสดงให้ดู โดยถอดรองเท้าส้นสูงของตน
ใส่เข้าไปให้ดูกันเลย ว่ามันเป็นอย่างที่เธอพูด!



แถมเจ้าตัว ยังพยายามควานหาช่อง AUX เพื่อจะเสียบเครื่องเล่น iPod
ซึ่งปรากฎว่า ช่องเสียบหนะมันมี มันซ่อนอยูในคอนโซลกลาง
ซึ่งที่วางแขนบนกล่องเก็บของคอนโซลกลางนั้น วางแขนได้ในตำแหน่งพอดี
และช่องเก็บของก็มีขนาดพอจะใส่กล่องซีดีได้แบบเบียดๆกัน

ไม่ครับ ไม่ได้อยู่ในช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง แบบมีฝาปิดเลื่อนได้นั่น
ใครจะเอา แจ็ค AUX ไปติดไว้กับที่วางแก้วน้ำกันละ?

แถมยังมีช่องวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้เป็นช่องเล็กๆนั่นอีกด้วย



แต่ว่า ไม่ยอมทำงานร่วมกับ
เครื่องเสียงในรถคัน E85 เนี่ยสิ?



แต่จุดที่ควรปรับปรุงนั้น มีอยู่เรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือทัศนวิสัย…

ทัศนวิสัยด้านหน้า ก็ดูจะโปร่งตาดีอยู่



ส่วนด้านหลัง ถือว่าปลอดโปร่งตามากกว่าที่คิด จนหายห่วงไปเลย
(ยิ่งถ้าเอาพนักศีรษะ อันใหญ่โตเท่าบ้านนี้ออกไปให้พ้นสายตาด้วยแล้วละก็
อย่างโล่งเลยเชียวละ)
เห็นอาแป๊ะยังเดินอ้อยอิ่งได้ ในมุมนั้น ก็ไม่ธรรมดาแล้ว



แต่เมื่อมองมาทางด้านข้าง กระจกมองข้าง
นอกจากว่ามันจะมีขนาดเล็กไปหน่อยแล้ว

มันยังดูเหมือนว่ามีตำแหน่งเตี้ยกว่ารถทั่วๆไป

ความจริง เปล่าเลย มันติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วต่างหาก

แต่เป็นเพราะ การออกแบบแผงประตูด้านข้าง ที่ ทีมนักออกแบบ
พยายามจะให้มันมีแนวเส้นต่อเนื่องกันจากแผงหน้าปัด
ซึ่ง แทนที่จะหลบมุมลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ทัศนวิสัยของกระจกมองข้าง
ไม่โดนแผงประตูบดบังด้านล่างของกระจก อย่างที่เป็นอยู่นี้
กลับปล่อยให้เดินเส้นเป็นแนวยาวต่อเนื่อง จนการมองกระจกมองข้าง
จากฝั่งตรงข้าม ถูกบดบังด้านล่างไปเล็กน้อย อย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น



ด้วยเหตุนี้ ถ้าคุณไม่พอใจกับทัศนวิสัยนัก
คุณยังมีทางออกอยู่บ้าง

ด้วยการเลือกติดตั้งระบบ กล้องจับตำแหน่งรถที่จะมาจากทางด้านข้าง
แล้วแจ้งเตือนด้วยสัญญาณไฟสีส้ม BLIS เช่นเดียวกับที่มีมาให้ใน S80 นั่นเอง



แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า
ในวันที่ฝนตกมากๆ
หากมีคราบน้ำ หรือสิ่งสกปรก มาบดบังตัวกล้องวงกลมด้านใต้กระจกมองข้างนี้แล้ว
ในบางครั้ง เมื่อขับๆไปอยู่ดีๆ ระบบ BLIS จะทำงานผิดพลาดไปบ้าง
และท้ายที่สุด ก็จะกระพริบไฟเตือนขึ้นมาถี่ๆ ให้คุณรำคาญเล่น จนต้องกดปุ่มปิดระบบไปเสีย
ซึ่งปุ่มก็อยู่ที่บริเวณแถวๆแป้นคันเกียร์กับเบรกมือนั่นละ

ถ้าจะให้มันทำงานอีกครั้ง ไม่ยาก ดับเครื่อง เพื่อ Reset ค่า
แล้วติดเครื่องยนต์ใหม่ ระบบก็จะทำงานได้ตามปกติ

ดังนั้น ควรตรวจสอบการติดตั้งให้ดี ก่อนเซ็นรับรถนะครับ

และค่าระบบ BLIS (Blind Spot Information System)
มันจะมาพร้อมกับ ระบบควบคุมเสถียรภาพ DSTC
(Dynamic Stability and Traction Control)

2 ระบบนี้ ราคารวมกันแล้ว 85,000 บาท

ถือว่า แพงไปหน่อย แต่ยังพอรับได้ เพราะถ้าแยกติดตั้ง
ระบบนึงก็ มีแถวๆ 2-3 หมื่นบาทอยู่แล้ว

นี่ยังไม่นับ ว่า ถ้าคุณอยากได้แป้นเหยียบ Sport Padel คุณยังต้องจ่ายเพิ่มอีก 5,550 บาท

เอ ผมชักจะเริ่มมองว่า Buffet Program มันจะเริ่มไม่เข้าท่า
เพราะว่าแต่ละชิ้น ราคามันแพงเกินเหตุเนี่ยสิ…



เอาน่า ยังดีว่า วอลโวยังให้ ถุงลมนิรภัย คู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัย IC มาให้
รวมแล้ว 6 ใบ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่นเบสิกอยู่แล้ว

นั่นหมายความว่า
ถ้าคิดแค่จะซื้อรุ่นเบสิก แล้วใส่ของเล่นเข้าไปเท่าที่จำเป็นต้องใช้ เพียงพอไหม

คำตอบที่ผมมีให้กับตัวเองคือ ก็พอได้อยู่นะ

ส่วนการพับเก็บกระจกมองข้างนั้น คุณต้องกดปุ่ม L และ R พร้อมกันทั้งคู่ มันถึงจะพับเก็บให้คุณ
ผมก็หลงโง่งมโข่ง คลำหาปุ่มพับกระจกมองข้างอยู่ตั้งนานนม…

สวิชต์เปิดฝาถังน้ำมัน เป็นสวิชต์ไฟฟ้า ผ่าไปติดตั้งรวมศูนย์
เอาไว้กับชุดเปิด-ปิดไฟหน้า เปิด-ปิดไฟตัดหมอกหน้า-หลัง
และปรับความสว่างของชุดมาตรวัดยามค่ำคืน

มีที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง พร้อมที่ฉีดน้ำมาให้
สวิชต์เปิด-ปิด อยู่ที่ก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝนนั่นละครับ



ส่วน Bluetooth คุณอาจต้องสั่งซื้อเพิ่มเติม
และข้อแนะนำก็คือ ถ้าใช้โทรศัพท์ที่มีระบบ Hands-free อยู่แล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่ม ไม่เช่นนั้น ไปขอเป็นของแถมเอากับเซลส์นั่นละเป็นดี

รายละเอียดอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ไปเปิดอ่านดูเอาเองใน
http://www.volvocars.com ซึ่งจะมี Link เชื่อมโยงมายั่งประเทศไทย
อีกทั้งยังมีคู่มือผู้ใช้รถทุกรุ่นใหม่ให้ดาวน์โหลดมาอ่านเล่นได้อีกด้วย ในเว็บ International แถมยังมีช่องทางให้สั่งซื้อคู่มือผู้ใช้รถ
และคู่มือซ่อมบำรุงของรถรุ่นเก่าๆหงำเหงือกของวอลโวแทบทุกรุ่นอีกด้วย
มีเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก คุณจะเจอแน่นอน
ถ้าคุณหามันดีๆ อย่างใจเย็นๆ



********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในประเทศไทย วอลโว นำ C30 มาทำตลาดด้วย 2 ทางเลือกขุมพลัง

เครื่องยนต์ตัวหลัก เป็นรหัส B5244S4
บล็อก 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2,435 ซีซี
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด SFI
(Sequential Fuel Injection)
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 91 x 96 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.3 : 1
จุดระเบิดตามลำดับห้องเผาไหม้ 1-2-4-5-3

กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร หรือ 23.43 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที
รอบเดินเบา 720 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด 6,500 รอบ/นาที



ในเวอร์ชันไทย จะเชื่อมเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
พร้อมโหมด บวก-ลบ ของ AISIN – Borg Warner รุ่น AW 55-51
มีอัตราทดเกียร์ดังนี้

เกียร์ 1………………..4.657
เกียร์ 2………………..3.032
เกียร์ 3………………..1.982
เกียร์ 4………………..1.341
เกียร์ 5………………..1.018
เกียร์ถอยหลัง………..5.114
อัตราทดเฟืองท้าย……2.440

(ขอย้ำ ้าอยากเปลี่ยนหัวเกียร์ จากสีดำ มาเป็นหัวเกียร์ อะลูมีเนียม หุ้มด้วยหนัง จ่ายเพิ่มตั้ง 6,410 บาท ไม่รวม VAT แพงเลือดสาดๆๆๆๆ)



ส่วนรุ่น 1.8 ลิตร FlexFuel เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้นั้น
ในช่วงแรกนี้ ยังเป็นเพียงแค่รถยนต์ตัวอย่าง และยังไม่จำหน่ายแต่อย่างใด
แต่วอลโวบอกว่า พร้อมขายได้ทุกเมื่อ ถ้ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนด้านภาษี
ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

ใช้เครื่องยนต์ รหัส B4184S8
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด SFI
(Sequential Fuel Injection)
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 83 x 83.1 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.8 : 1
จุดระเบิดตามลำดับห้องเผาไหม้ 1-3-4-2

กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 165 นิวตันเมตร หรือ 16.81 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
รอบเดินเบา 700 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด 6,500 รอบ/นาที



พอเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมา รู้สึกเอะใจ…ทำไมหน้าตามันคุ้นๆ จังเลยแหะ

พอยกฝาพลาสติกที่มีโลโก้วอลโว ขึ้นมาเท่านั้นแหละครับ
บางอ้อ ในบัดดล ก็นี่มันเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ตัวเดียวกันกับที่วางอยู่ใน
Ford FOCUS เลยนี่นา เอ ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาร่วมกันโดย
Mazda กับ Ford ละสิเนี่ย

ก็แน่ละ ในเมื่อใช้ พื้นตัวถังร่วมกับโฟกัส และมาสด้า 3 / Axela แล้ว
ก็ควรจะใช้ประโยชน์จากงานวิศวกรรมร่วมกันให้ได้มากที่สุดด้วย
จะเป็นการประหยัดต้นทุนได้ดีมาก



ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
รุ่น MTX 75 B4 มีอัตราทดเกียร์ดังนี้

เกียร์ 1………………..3.67
เกียร์ 2………………..2.14
เกียร์ 3………………..1.48
เกียร์ 4………………..1.11
เกียร์ 5………………..0.85
เกียร์ถอยหลัง………..3.73
อัตราทดเฟืองท้าย……4.07

ทั้งสองรุ่นเป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้า ล้วนๆ
แบกน้ำหนักตัวเปล่า 1,495 กิโลกรัม ในรุ่น 2.4 ลิตร
และ 1,400 กิโลกรัมในรุ่น 1.8 F แต่เมื่อรวมน้ำหนักบรรทุก
ทั้งคนขับ และของเหลวในระบบต่างๆ จะอยู่ที่ 1,900 กิโลกรัมเท่ากัน

เราทดลองหาอัตราเร่ง ด้วยวิธีการเดิม
คือ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ใช้เวลากลางคืน เปิดไฟหน้า
และผู้จับเวลาให้ ก็ยังคงเป็นน้องกล้วย
(ล็อกอิน น้องชายคนเล็ก pantip.com ห้องรัชดา)
รวมน้ำหนักตัวผม และน้องกล้วย 138 กิโลกรัม

ตัวเลขที่ได้ มีดังนี้



เมื่อลองเปรียบเทียบกับตัวเลขจากโรงงาน ของรุ่น 2.4 ลิตร
ที่ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเฉลี่ย 8.8 วินาที
ท็อปสปีด 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และรุ่น 1.8 F ที่ทำอัราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 10.8 วินาที
ท็อปสปีด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวเลขของทั้ง 2 รุ่น ถือได้ว่า
ทำได้ใกล้เคียงกับตัวเลขจากโรงงาน

รุ่น 2.4 ลิตร มีแรงดึงเล็กน้อย ตอนออกตัว อาจจะดึงไม่มากเท่ากับ
เครื่องยนต์ดีเซลของวอลโว แต่แน่นอนว่า เครื่องยนต์เบนซิน ตัวนี้
เมื่อวางลงในบอดี้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าใครเพื่อนในตระกูลเช่นนี้
ก็ย่อมเพียงพอจะทำให้เกิดแรงดึงได้นิดหน่อยเป็นธรรมดา

การเร่งแซง นั้น รุ่น 2.4 ลิตร ถือว่าทำได้ดีมาก ไม่ต้องลุ้นนาน
และแทบไม่ต้องไปยนุ่งกับโหมด บวก-ลบที่มีมาให้บนคันเกียร์เลย
แค่เพียงกดคันเร่งจนสุดจมมิดเท่านั้น เดี๋ยวเครื่องยนต์
ก็จะประเคนอัตราเร่งมาให้ ตามแต่กำลังเท่าที่มันพอจะเอาใจคุณได้

ส่วนรุ่น 1.8F E85 นั้น กลับไม่อืดอาดเลยอย่างที่คิด
ก็ชวนให้แปลกใจอยู่บ้างว่า ทำไมเครื่องยนต์ของ โฟกัส 1.8 ลิตร
เป็นบล็อกเดียวกัน แต่กลับยังไม่กระฉับกระเฉงเท่า C30
ส่วนหนึ่งแน่นอนละว่า ได้เกียร์ธรรมดามาช่วยเพื่อความสนุกในการขับขี่
แถมคันเกียร์ยังเข้ากระชับ ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป
คลัชต์เบากำลังดี ไม่เบาหรือหนักมากเกินไป
เพราะเครื่องบล็อกนี้ พอเชื่อมเข้ากับเกยร์อัตโนมัติแล้ว
ความสนุก ก็จะหดหายไปในบัดดล

อัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
เราใช้เกียร์ 3 เป็นหลัก
เนื่องจากว่า หากใช้เกียร์ 4 ตัวเลขจะไปโผล่เอาแถวๆ 11 วินาทีเศษๆ
ซึ่งดูจะห่างไกลเกินความจริงที่มันทำได้ไปสักหน่อย
แต่ในการใช้งานจริง สำหรับคนที่ขับรถทางไกล
แล้วมีรถบรรทุกอยู่ข้างหน้า คุณต้องชะลอความเร็วลงมาจนเหลือราวๆ
80 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 แล้วไล่ความเร็ว แซงขึ้นไป
ถามว่า อัตราเร่งจากเกียร์ 4 เพียงพอไหม
ตอบได้เลยว่า ก็พอไหวอยู่นะ
แต่เวลา 11 วินาทเศษๆี ก็นานไปนิด
ดังนั้น ถ้าจำเป็น เข้าเกียร์ 3 แล้วกดปรู๊ดแซงขึ้นหน้าไปอย่างรวดเร็วเลยจะดีกว่า

ทุกรุ่นใช้ระบบลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า และการตอบสนองของคันเร่งนั้น
ก็ยังคงมีอาการช้าของคันเร่งไฟฟ้าเหลืออยู่นิดนึง
แต่ยืนยันว่า ไม่ตอบสนองช้าหนักหนาจนน่ารำคาญ
เหมือนอย่างคันเร่งของ S80 ใหม่ แน่ๆ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต
คอยล์สปริง ช็อกอัพ ไฮโดรลิก
ด้านหลังแบบ อิสระ พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพ ไฮโดรลิก
พร้อมเหล็กกันโคลง ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
ถูกปรับเซ็ตมาให้หนึบและแน่น แข็งกว่าวอลโวทุกรุ่นที่ผมเคยเจอมา
ทว่ายังคงหลงเหลือบุคลิก นุ่มและนิ่งเอาไว้ให้สัมผัสอย่างชัดเจน
การผ่านลูกระนาดต่างๆนั้น แน่นอนว่ารุ่นล้อ 16 นิ้วเบสิก
จะให้ความนุ่มนวลกว่ารถที่ใส่ล้อ 18 นิ้วอย่างชัดเจน
แต่กระนั้น รถที่ใส่ล้อ 18 นิ้ ก็ยังขึ้นลงลูกระนาด ได้แข็ง
แต่ตอนช่วงลงจากลูกระนาด จะติดนุ่มมาให้นิดนึง
ใกล้เคียงกับ มาสด้า MX-5 แต่ไม่แข็งเป็นบ้าอย่างที่ Mini Cooper & Cooper S เป็น

พวงมาลัยแร็คแอนด์ พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ ให้ความนิ่งในการเดินทางได้เป็นเยี่ยม
อันเป็นปกติของพวงมาลัยวอลโวในยุคหลังๆที่ผมชื่นชม ไม่ค่อยบ่นเท่าใดนัก
(ยกเว้น S80 ใหม่ที่ผมไม่ประทับใจ เพราะมันเบาเกินกว่ารถรุ่นก่อนไปสักหน่อย)

แถมยังบังคับเลี้ยวได้คล่องแคล่ว ว่องไว และมีน้ำหนักหนืดกำลังดี ในแบบที่
รถสปอร์ตคอมแพกต์ จากยุโรปทั่วๆไปควรจะเป็นกัน ทั้งในความเร็วต่ำ
บางคนอาจบอกว่า หนืดไปหน่อย แต่ผมว่ากำลังดีแล้ว มันพอกันกับ
BMW ซีรีส์ 3 E90 320d และหนืดกว่า Ford Focus กับ Mazda 3
พี่น้องร่วมแพล็ตฟอร์มของมันนิดนึง อีกทั้ง ระยะฟรี ก็มีไม่มากนัก

แต่สำหรับการเข้าโค้งนั้น บอกไว้ก่อนว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากสวมด้วยยางมาตรฐานติดรถมา
ก็พอมีอาการหน้าดื้อ อันเป็นอาการปกติของรถขับล้อหน้าโผล่เข้ามาให้ได้รับรู้กันเล็กน้อย

แต่พอเปลี่ยนมาใช้ยาง Pirelli P-Zero Rosso อันเป็นยางมาตรฐาน
สำหรับลูกค้าที่คิดจะเปลี่ยนมาใส่ล้อ 18 นิ้วแล้ว

การตอบสนองดีขึ้นเป็นรถคนละคันไปเลย!
ตัวรถจะจิกเข้าโค้งอย่างหนักแน่นและมั่นใจได้

แล้วอย่าหวังว่าจะพบเจอเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากยางชุดนี้
ต่อให้คุณสาดโค้งหนักๆ เว้นแต่คุณจะเล่นมากเกินเหตุเสียจนรถแทบจะหลุดออกนอกเส้นทาง
เสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดถึงจะเริ่มดังขึ้นเล็กน้อยให้คุณพอรับรู้

มันเป็นยางติดรถยนต์ ที่ดีที่สุดชุดหนึ่งที่ผมเคยเจอมาเลยทีเดียว!

แต่ถ้าคุณอยากได้ คุณงามความดีของมัน คุณอาจต้องมีขนหน้าแข้งเยอะเป็นพิเศษ จะได้ไม่ระคายเคืองโดยง่าย
เพราะค่าตัวของล้ออัลลอย ลาย Altreus แบบ Diamond Cut สี Dark Grey 18 นิ้ว ซึ่งเขาจะขายพร้อมกับ
ยาง Pirelli P Zero Rosso ขนาด 215/45R18 93W ครบทั้ง 4 เส้น นั้น

!!!!!!!!!! 135,000 บาท !!!!!!!!!!
และราคานี้ ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ค่าแรง และค่าถ่วงล้อ….

ถือว่าแพงจนเลือดสาดเต็มฝาผนัง!

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ
คู่หน้า หนา 25 มิลลิเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 300 มิลลิเมตร พร้อมครีบระบายอากาศ
ส่วนคู่หลัง หนา 11 มิลลิเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 280 มิลลิเมตร
เสริมด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Break Assist

ตัวเลขจากโรงงาน เคลมว่า ระยะจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงจุดหยุดนิ่งสนิท ใช้ระยะทาง 38 เมตร

พอใช้งานจริง ถือว่า แป้นเบรกนั้น นุ่มนวลดี หน่วงความเร็วได้ดี
ทั้งในการขับขี่ตามปกติในเมือง หรือในภาวะคับขัน
แต่เกือบจะสมบูรณ์แบบ เพราะเมื่อเทียบกันแล้วระบบเบรกใน S60 D5
และ S80 ใหม่ ทำงานได้น่าประทับใจกว่า ทั้งการหน่วงความเร็ว และความละเมียดของแป้นเบรก
ที่สามารถสั่งให้แป้นเบรกจับตัวได้ด้วยแรงหนักเบาเท่าที่ต้องการ

กระนั้น ก็ยังถือว่า มั่นใจได้อยู่ดี คือ เหนือจากระดับ ไว้ใจได้ ขึ้นมาแล้ว



********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง **********

คราวนี้ เรายืมรถมาทั้งสิ้น 3 คัน แต่จะทดลองเพียง 2 คันเท่านั้น
นั่นคือรุ่น 2.4 ลิตร สีแดง และ 1.8 ลิตร E85

และยังคงใช้วิธีการทดลองแบบเดิม ตามมาตรฐานเดิม
คือเติมน้ำมันเบนซิน 95 จากปั้มเชลล์ ถนนพหลโยธิน ปากซอยอารีย์



ขับไปขึ้นทางด่วน ด่านพระราม 6 มุ่งหน้าออกไปยังปลายสุดสายทางด่วนเส้นเชียงราก
ที่อยุธยา ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่งกัน 2 คน
น้ำหนักรวมประมาณ 150-170 กิโลกรัม
แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม มาลงตรง ทางแยกพระราม 6
ลัดเลาะเข้าซอยอารีสัมพันธ์ กลับมาเติมน้ำมันที่ปั้มเดิม และหัวจ่ายเดิม



คันแรกนั้น มีแขกรับเชิญ มานั่งเป็นผู้ข่วย

นาย จั๊ก สิโรดม หล่อกันภัย

ผู้เป็นเพื่อนของผมมาตั้งแต่ สมัย เรียน มัธยมศึกษาตอนปลาย
ที่ รร. กรุงเทพคริสเตียนฯ
ผ่านงานละครเวทีมาบ้าง
ปัจจุบันนี้ เป็นสมาชิกวง 5U
ซึ่งเป็นวงประสานเสียง 5 คน แบบ Acapella

สมัยก่อน คนตั้งชื่อวงนี้
ก็คือ พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค
สมัยที่ วง 5U นี้ กำลังทำเพลง “เปรี้ยวใจ”
ในฐานะแขกรับเชิญของ “นิโคล เทริโอ”

ที่ผมรู้ ก็เพราะวันที่พี่ดี้คิดชื่อนี้
ผมก็นั่งอยู่ตรงนั้น กับพวกเขา
บนชั้น 30 ปลายๆ ของตึก CMIC เก่า นั่นละ….

ผลงานล่าสุดที่เพิ่งมีไป ก็คือ ซิงเกิลที่ชื่อว่า “ดีอยู่แล้ว”
ในอัลบั้ม Love Makers กับ ค่าย RS
(อัลบั้มเดียวกับที่มีซิงเกิลใหม่ของ เจนิเฟอร์ คิ้ม และ ฟอร์ด สบไชย ไกรยูรเสน นั่นละครับ)
และวง 5U กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมงานอัลบั้มเต็มครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา
ในแนว R&B ประสานเสียง Acapella ที่จะมีแนวดนตรีติดกลิ่น J-Pop และ K-Pop มาบ้าง
อัลบั้มของพวกเขามีกำหนดจะวางแผงกัน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
(คือมันเลทมานานแล้วละ)

เกริ่นช่วยเพื่อนโปรโมทอัลบั้มใหม่ของพวกเขามามากพอแล้ว
สมควรแก่เวลาจะวกกลับเข้ามายังเจ้าแดงแร่ด กันเสียที



ระยะทางบนมาตรวัด 92.0 กิโลเมตร



ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.23 ลิตร



และนี่คือตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย ของรุ่น 2.4 ลิตร ที่ออกมา

14.76 กิโลเมตร/ลิตร

ประหยัดกว่า วีออส ยาริส เอวิโอ
ประหยัดกว่า มาสด้า 3 เครื่อง 2.0 ลิตร รายละเนิดหน่อย
และประหยัดเท่าๆ กับ ซีวิค 2.0



ส่วนรุ่น 1.8 F E85 นั้น เราก็ยังใช้วิธีการเดียวกัน
เส้นทางเดียวกัน รุปแบบเหมือนกัน
และผมยังใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในการทดลอง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเบื้องต้น
เพื่อเก็บข้อมูลไว้

และกำลังอยู่ในระหว่าง วางแผนจะนำมาทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
หากใช้แก็สโซฮอลล์ E10 และ E20 โดยใช้เส้นทางเดียวกัน ในลำดับต่อไป

และนายหลุยส์ ร้านเป็ดย่างแมนดาริน ซอยทองหล่อ เจ้าเก่า
ก็มานั่งเป็นหุ่นในการทดลองขับในครั้งนี้ แทน น้ำหนักของ จั๊ก กับหลุยส์ ไม่ต่างกันมากนัก
เมื่อน้ำหนักรวมแล้วจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 160-170 กิโลกรัมเช่นเดิม



แต่วันนี้ เอาผลตัวเลขเมื่อเติมเบนซิน 95 ไปก่อนนะครับ

สภาพการจราจรและสภาพอากาศปลอดโปร่ง
รักษาความเร็วด้วย Cruise Control กันได้ต่อเนื่อง



เนื่องจากตัวรถ ที่ผลิตจากเบลเยียม คันนี้
เป็นรถสเป็ก อังกฤษ
หน่วยการวัดตัวเลขต่างๆ บนชุดมาตรวัด
จึงมีหน่วยเป็น ไมล์/ชั่วโมง

ดังนั้น เราจึงต้องแปลงค่าต่างๆ กลับมาเป็นหน่วยกิโลเมตร/ลิตร

ระยะทางจากมาตรวัด อยู่ที่ 56.8 ไมล์



ซึ่งเมื่อแปลงเป็นค่าตัวเลขในรูปแบบหน่วยกิโลเมตรแล้ว
จะได้ 90.88 กิโลเมตร



ปริมาณน้ำมันที่เติมกลับเข้าไป 6.27 ลิตร

และนี่คือ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ของ C30 1.8F E85
เมื่อใช้น้ำมันเบนซิน 95

14.49 กิโลเมตร/ลิตร
ด้อยกว่าที่คาดเอาไว้เล็กน้อย
แต่ก็ไม่แปลกใจ
เพราะใน โฟกัส 1.8 ลิตร หรือ 2.0 ลิตร ที่จูนมาให้เติม E20 ได้จากโรงงานนั้น
เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ ก็ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ 12.1 กิโลเมตร/ลิตร

แล้วถ้าถามว่า หากเติมน้ำมัน E85 ละ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน่าจะเป็นอย่างไร
แค็ตตาล็อก ภาคภาษาอังกฤษของวอลโว เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนในหน้า
ข้อมูลทางเทคนิคว่า

“As bio-ethanol contains less energy than petrol,
fuel consumption is about 40% higher”

หรือแปลง่ายๆคือ วอลโวบอกว่ามันจะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น 40 เปอร์เซนต์ โดยประมาณ หรือ กินน้ำมันมากขึ้น 40 เปอร์เซนต์นั่นละ



********** สรุป **********
***** ถ้าคิดจะซื้อ มินิ แต่ยังไม่ได้รักจนหมดใจ ไปลองขับ C30 ก่อนไหม? *****

“พี่ต่าย ผมยืนยันนะ ในภาพรวมแล้ว รถของพี่มันไม่เลวร้ายหรอก แถมมันยังน่าสนใจไม่แพ้มินิ เลยทีเดียว!”

ประโยคนี้ คือคำตอบหลังจากที่ผมใช้ชีวิตกับ C30 ใหม่ มากถึง 3 คัน 3 บุคลิก
ต่อเนื่องกัน 13 วัน 12 คืน ซึ่งมันทำให้ผม ได้เห็นวอลโวในมุมมองที่ต่างไปจากเดิมนิดหน่อย

C30 ในสายตาของผม มันไม่เลวร้ายอย่างที่ใครๆด่ามันเลย
ตรงกันข้าม มันขับสนุกมากกว่า และออกแนวดิบเล็กๆ
มากกว่า วอลโวทุกๆคันที่ผ่านมือผมมา

อีกทั้ง คุณงามความดีของมันยังมีแอบซ่อนไว้ชนิดเส้นผมบังภูเขา ก็หลายประการ



ข้อแรก รถคันนี้ นั่ง 4 คนได้อย่างสบายๆ แถมคนที่นั่งเบาะหลัง ก็คือผม ซึ่งคุณๆก็รู้อยู่แล้วว่า สรีระของผมนั้น
มันก็ไม่ได้ตัวเล็กบอบบางสุดสลิมทิ่มประตู อย่างที่ผู้คนรอบข้างผมเขาเป็นกัน

ก็ยังมุดเข้าไปนั่งได้อย่างสบาย และไม่อึดอัดเลย!

ข้อต่อมา สมรรถนะของเครื่องยนต์ การบังคับเลี้ยว การควบคุมรถ รวมทั้งการดูดซับแรงสะเทือนต่างๆนั้น
ต้องบอกว่า รถคันนี้ ติดสปอร์ต มากกว่าวอลโวรุ่นอื่นๆที่เคยถูกส่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราตอนนี้
(ถ้าไม่นับ 850 T5R สีเหลือง 20 คันในไทย ล็อตนั้นด้วยแล้วนะ)

และ ถ้าผมจะบอก ว่า ผมหาข้อเสียของรถรุ่นนี้ได้เพียง นับนิ้วมือฝั่งขวา เพียงมือเดียวได้เองละ?



ข้อแรก คุณก็ควรจะเข้าใจไว้เสียก่อนในเบื้องต้นว่า แม้บุคลิกรถผู้ใหญ่อันนุ่มนิ่ม ไม่กระฉับกระเฉง
ค่อยๆย่างกราย จะเยื้องย่างแต่ละทีก็ระมัดระวัง และเคลื่อนตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของวอลโว
จะจางหายไปจากรถรุ่นหลังๆ รวมทั้ง C30 รุ่นนี้ ไปเยอะแล้วก็ตามที

กระนั้น บุคลิกของผู้ใหญ่ สไตล์ นุ่มๆ แต่นิ่ง และใจเย็นพอที่จะคอยปรามๆคุณอยู่บ้างในบางเวลานั้น
มันก็ยังคงแฝงตัวแอบซ่อนมาให้พบเจออยู่ใน วอลโว ทุกรุ่นทุกคันอยู่ดี ไม่เว้นแม้แต่ C30 คันนี้ ก็ตาม



ข้อต่อมา อุปกรณ์ประจำรถที่ให้มา ในรุ่นพื้นฐาน จริงอยู่ว่า เหมือนจะให้มาครบถ้วนดีแล้ว
แต่อุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ ที่มีให้เลือกในรายการบุฟเฟต์ นั้น ราคาออกจะโหดร้าย เชือดเฉือน
กระเป๋าสตางค์ไปไม่เบาเลยทีเดียว

รวมทั้งกระจกมองข้างที่ถูกแผงประตูบดบังทัศนวิสัยไปบ้าง ทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย



ขณะเดียวกัน รุ่น 1.8 F Flex Fuel E85 นั้น ถือเป็นทางเลือกที่ดี ของวอลโว
ในภาวะราคาน้ำมันแพงก็จริงอยู่ แต่ หากรัฐบาลไม่สามารถลดภาษี
ให้กับรถประเภทนี้ได้ จูงใจทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคมากกว่าที่เป็นอยู่
ก็ต้องบอกเลยว่า น่าเสียดาย เพราะราคาขายของรถคันนี้ที่ควรจะเป็นนั้น
มันควรจะอยู่ที่ 1.7-1.8 ล้านบาท ไม่น่าเกินไปกว่านี้

ส่วนการที่ผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่นจะแสดงความไม่เห็นด้วยนั้น
ก็ชวนให้สงสัยว่า อันที่จริงแล้ว การทำรถขนาดเล็ก อีโคคาร์
ก็สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E10 E20 หรือถ้าจะเซ็ตให้เติม E85 จากโรงงานเลยนั้น
มันก็น่าจะทำได้ ควบคู่กันไปเลย ผมจึงนังนึกไม่ออกว่า แล้วผู้ผลิตรถยนต์พวกนั้น
จะออกมาบ่นกันทำไม? หรือบ่นเพียงเพราะตัวเองยังไม่ได้เตรียมแผนรองรับ
การการเร่งรัด ระยะเวลาการใช้น้ำมัน E85 ที่ร่นเข้ามาหรือเปล่า?



แต่กระนั้น คนที่ควรจะต้องทำตัวให้กระจ่างกว่านี้คือรัฐบาล
ผมถามจริงๆเถอะนะ จะเอาอย่างไรกันแน่
แค่ทุกวันนี้ น้ำมัน E20 ยังหาเติมกันยากเย็นแสนเข็ญ นับประสาอะไรกับ E85?

นโยบายด้านพลังงานของบ้านเรา ต้องชัดเจนกว่านี้ ว่าจะไปในทางไหน
สนับสนุนตัวไหน อย่างไรบ้าง ไม่ใช่ จับผีลุกปลุกผีนั่งกันไปวันๆอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้!

เอาละ ในเมื่อ เรื่องของน้ำมัน แก็สโซฮอลล์ E85 ดูจะยังห่างไกลจากข้อสรุปกันอยู่
ก็คงต้องหวนกลับมาพูดถึง รุ่น 2.4 ลิตร กันเป็นการส่งท้าย



ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่า หากตัดข้อเสียทั้งหมด ที่เห็นมาแค่ 3 ข้อในเบื้องต้นออกไป
ผมก็มองว่ารถคันนี้ยังน่าใช้เป็นรถสำหรับคนโสดและผองเพื่อนที่รู้ใจอีก 3 คน อยู่ดี

เมื่อถึงคำถามที่ว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง Mini กับ C30 ถ้ามีเงิน 2.5 ล้านบาท พอกัน
จะเลือกคันไหน?

สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังหรือนัดหมายก็เกิดขึ้น
เพื่อนๆทั้ง 5 คน ที่ได้สัมผัสรถรุ่นนี้ไปกับผม ต่างพูดเหมือนๆกัน และเต็มปากเต็มคำว่า

จะเลือก C30 โดยลืม มินิ ไปเลย…

ดังนั้น อย่าเพิ่งตั้งอคติ ทันทีที่เห็นว่า มันเป็นวอลโว

รถคันนี้ มันเปรี้ยวพอที่จะทำให้คนที่คิดจะซื้อ มินิ ใหม่
ถึงกับชะงัก และหันมามองมันได้…

ถ้าคุณเปิดใจให้กว้าง…แค่นั้นเลย



มันเหมือนกับอาหาร ร้านดัง ระดับเชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรำ
หรือหมึกแดง ฯลฯ ถ้าคุณชิมแล้วบอกว่า ไม่อร่อย
ก็ไม่ได้หมายความว่า อาหารร้านนั้น ไม่ดี

แต่แค่ว่า รสชาติไม่ถูกปากคุณ แค่นั้นเอง

และมันก็ไม่ใช่เหตุที่จะต้องถึงกับทำร้ายเข่นฆ่ารถรุ่นนั้นกันให้อาสัญ

แม้ว่ารถคันนั้น อาจจะไม่ได้ดีเลิศในสายตาคุณก็ตาม

เพราะรถคันนี้ คือรถอีกรุ่นหนึ่ง ที่มีคุณงามความดีซ่อนอยู่
ชนิดที่ว่า ถ้าคุณไม่ลองขับ คุณจะไม่มีทางได้รู้

ถึงผมพูดขนาดนี้ ก็ยังยืนยันว่า อย่าเพิ่งเชื่อผมอยู่ดีครับ

เชื่อความรู้สึกของตัวคุณเอง ตอนที่ขึ้นไปลองขับรถกันเลยดีกว่า

—————————————-///——————————————–



ขอขอบคุณ
คุณ ฉันทนา วัฒนารมย์
และ คุณต่าย
บริษัท วอลโว คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ (ทั้ง 3 คัน)
และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ



J!MMY
11 สิงหาคม 2008
10.09 น. -13.28 น.

Facebook Comments