จาก Drive-Thru สู่อเมริกา โดยกนวิชญ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา


เจ็ดนาฬิกาฟ้ายังไม่สางเป็นบรรยากาศปกติในช่วงพฤศจิกายน ปลายฝนปนหนาวของประเทศในแถบซีกโลกเหนือครับ

วันนี้หมอกจัด ปนกับฝนปรอย ๆ แต่ค่อย ๆ จางไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น


ระยะที่ใช้เดินทางวันนี้จะตกอยู่ราวหนึ่งร้อยกิโลเมตรหรือราวหนึ่งชั่วโมง ที่จะทำให้ช้าอยู่บ้างเห็นจะเป็นการข้ามจุดผ่านแดนระหว่างแคนาดากับสหรัฐอเมริกา ตรงนี้อาจจะตกราว 10 นาทีหรือ 2 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับจำนวนรถครับ


การเดินทางในแคนาดาและอเมริกา โดยมากคนส่วนใหญ่จะพึ่งแผนที่จาก google หรือ google map ที่เรียกใช้ได้ที่ http://maps.google.com/ ในการวางแผนก่อนเดินทาง เพราะสามารถคำนวณระยะทาง เวลาเดินทาง และพิมพ์แผนที่ออกมาทางเครื่องพิมพ์เพื่อใช้ในการเดินทางและยังสามารถบอกความคับคั่งของการจราจรในขณะนั้น ๆ อีกด้วย


เพียงแค่บอกเป้าหมายระบบก็จะคำนวณให้อย่างง่ายดายครับ หรือจะเลือกให้เห็นจากมุมมองท้องถนนก็สามารถทำได้อย่างง่ายได้ครับ ตรงนี้ก็จะเป็นประโยชน์มากหากต้องนัดเจอกันเช่นเจอกันตรงร้านที่ป้ายสีเขียวมุมถนนนั้นนี้และส่งรูปแลกกันก่อนเวลาพบ


อย่างไรก็ดีอย่าเลือกจุดนัดพบตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นรถยนต์ที่จอดอยู่หรือป้ายก่อสร้างนะครับ เพราะระบบนี้ไม่ได้ทำการอัพเดทระบบทุกนาที นาน ๆ ทีทาง google เขาก็จะส่งรถมาถ่ายภาพถนนและภูมิทัศน์ บางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่ได้อยู่ในจุดนั้น ๆ ตามที่ระบบแสดงผลครับ

ปัจจุบันนี้ผมใช้ระบบที่ google ออกแบบให้ใช้บนโทรศัพท์เคลื่อนที่เรียกว่า google latitude http://www.google.com/latitude ระบบนี้จะใช้ได้ดีกับระบบโทรศัพที่สนับสนุน GPS ซึ่งจะบอกพิกัดขณะนั้น ๆ ของผู้ใช้ลงบนแผนที่ ตรงนี้จะดีตรงถ้าเลี้ยวถูกผิดก็จะทราบทันทีครับ


ระบบ google latitude จะสนับสนุนการแชร์ที่อยู่ปัจจุบันของคุณกับเพื่อนที่คุณด้วยครับ ตรงนี้หลายคนอาจจะกลัวครับ ก็คิดกันให้ดีครับ คนที่คุณอยากให้ทราบก็จะทราบว่าขณะนี้คุณอยู่ที่ได้ไปทำงานต่างจังหวัดจริงไหม คิดกันให้ดีครับหากจะเปิดใช้ระบบนี้ ไม่เสียตังครับแต่อาจเสียใจ เจ้านายจะทราบครับว่าป่วยหรือแอบไปดูหนัง ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่หรือตึกสูง การรายงานผลก็จะเหมือนกับคนสองคนซ้อนกันอยู่ให้น่าสงสัยครับ ตรงนี้ก็ต้องระวัง คิดให้ดีทั้งคนดูการแสดงผลและคนเปิดให้เห็นการแสดงผลครับ

ผมเชื่อว่าในอนาคตทาง google เปิดรายงานผลเป็น 3 มิติเพื่อป้องการปัญหาที่กล่าวมาดังกล่าวครับ อันนี้ก็เป็นความคิดของผมเองเพราะความกลัวของผมเองมากกว่า

อย่างได้ก็ดี ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นส่งที่เราจำเป็นต้องตามครับ หากเราไม่ตาม เราก็ต้องค่อย ๆ ถูกดันมารั้งท้ายครับ เทคโนโลยีไม่มีวันหยุดครับ ตราบใดที่มนุษย์ยังหยุดความตายไม่ได้ สิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์คิดค้นหาก็ต้องทำให้ชีวิตเราเร็วขึ้นเพื่อทดแทนอายุขัยซึ่งเทคโนโลยีให้การยืดเวลาตรงนั้นได้ไม่เร็วทันใจ เราเดินทางเร็วขึ้น ติดต่อสื่อสารเร็วขึ้น ตัดสินใจเร็วขึ้น จะหยุดเวลาและความเชื่อต่าง ๆ ไว้ให้เหมือนความเชื่อในอดีตคงจะทำได้ยากทีเดียวครับ


หลังจากได้แผนที่ที่จะไปชัดเจนก็ถึงเวลาเดินทางครับ อาหารเช้าก็แบบง่าย ๆ ครับ Drive – Thru แมคโดนัล


ผมเชื่อว่าวันนี้รถค่อนข้างแน่นคงจะเป็นเพราะเป็นช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้าซึ่งร้านค้าต่าง ๆ จะทำการลดราคากันอย่างหนักหน่วง 40% กันอย่างต่ำครับ การแข่งขันเพื่อดึงลูกค้าจะสูงมากครับในช่วงนี้ทั้ง brand name และไม่ brand name คนส่วนใหญ่ก็จะเก็บเงินกันเพื่อใช้ในช่วงนี้กันล่ะครับ


จุดที่เราจะเสียเวลามาที่สุดตรงนี้น่าจะเป็นจุดผ่านแดนหรือจุดตรวจคนเข้าเมืองครับ การผ่านเข้าไปอเมริกาทางพื้นดินก็ไม่ต่างกับทางอากาศเท่าไหร่ครับคือสำหรับหนังสือเดินทางไทยเราต้องขอวีซ่าครับ ตรงนี้ไม่มีข้อยกเว้นครับ แม้ว่าเราจะให้อเมริกาเข้ามาเที่ยวบ้านเมืองเราโดยที่เขาไม่ต้องขอวีซ่าแต่สำหรับเขาแล้วเราต้องขอวีซ่าครับ

น่าดีใจแทนประชาชนเกาหลีใต้นะครับที่ปัจจุบันไม่ต้องขอวีซ่าเข้าอเมริกาอีกต่อไปแล้วหลังจากปี 2008 เป็นต้นมาเพราะยกระดับเป็นประเทศพัฒนาแล้วจากประเทศที่ราบเป็นหน้ากลองหลังสงคราม 50 ปีให้หลังเทียบเท่าญี่ปุ่นทีเดียวครับ

ชาวแคนาดาก็ผ่านเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าครับ ผมเองก็ถือหนังสือเดินทางไทยแต่ทำวีซ่าไปตั้งแต่อยู่เมืองไทยก็ผ่านไปรับ I-94 ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ออกโดยตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐแล้วก็ขับรถเข้าไปได้เลยครับ สำหรับ I-94 ก็จะมีอายุหกเดือน สามารถถึงเข้าออกได้ไม่ต้องเสียเวลาขออีกครั้งครับ ทั้งนี้วีซ่าที่ได้ต้องเป็นแบบเข้าออกได้นะครับ ไม่ใช่วีซ่าแบบใช้เข้าครั้งเดียว

ก็ขับรถเข้าไปแบบขึ้นทางด่วนบ้านเราแหละครับต่างกันที่กล้องตรวจจับจะมีหลายตัวมากราวกับเราเป็นดาราฮอลลีวูดทั้งจับหน้าตาเราโดยละเอียดหลายมุม ผู้โดยสาร ทะเบียนรถ และที่สำคัญต้องไปหยุดตอบคำถามจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐที่ยืนอยู่ที่ตู้ก่อนผ่านด่านครับ


อย่าทำเป็นเล่นครับ พกปืนและมีอำนาจที่การควบคุมตัวเราด้วยกำลังได้ครับ ดุกันทุกคนแต่ก็เป็นหน้าที่ครับ คำถามที่ถามก็จะเป็นคำถามซ้ำ ๆ เดิม ๆ ครับ จะไปไหน กลับวันไหน เอาเงินไปเยอะไหม ทำงานอะไร มีผลไม้สด หรือเนื้อสัตว์เข้าเมืองไหม ซ้ำ ๆ วนกันอยู่อย่างนี้ครับ ถ้าเราไม่มีอะไรน่าสงสัยเจ้าหน้าที่ก็จะอนุญาตให้เราเข้าเมืองครับ

สำหรับรถที่ขับเข้าไปควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าประกันที่ใช้ครอบคลุมการใช้หรืออนุญาตให้ขับข้ามแดนหรือไม่ สำหรับใบขับขี่ก็เช่นกันครับ ถ้าเป็นใบขับขี่แคนาดาก็ใช้ระหว่างประเทศได้ครับ

หลังจากจุดนั้นก็ขับกันสบาย ๆ เข้าสู่จุดหมายครับ อีกอย่างที่ต้องปรับสำหรับคนไทยคือป้ายจำกัดความเร็วจะบอกความเร็วเป็นไมล์นะครับ ไม่ใช่กิโลเมตรเช่นในแคนาดา ถ้าป้ายแจ้งไว้ที่ 60 ไมล์ก็ราว 100 กิโลเมตรครับ

ป้ายอีกป้ายที่เราจะสังเกตเห็นได้บ่อยระหว่างทางหลวงเข้าสู่เมืองคือป้ายชูนิ้วโป้งแล้วมีเครื่องหมายห้ามทับอยู่ ป้ายนี้คือป้ายห้ามเรารับคนที่โบกขออาศัยรถไปลงระหว่างทางครับ อันตรายมากครับการจอดรับคนแปลกหน้าขึ้นรถ นอกจากการหยุดบนทางหลวงซึ่งผิดกฎหมายแล้วการรับคนแปลกหน้าขึ้นรถก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ อเมริกาอาวุธปืนหาง่าย ซื้อง่ายครับ ไม่เหมือนแคนาดาซึ่งมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอย่างเด็ดขาด ดังนั้นต้องระวังตรงนี้อย่างมากครับ

ฝนตกปรอย ๆ ตลอดทางครับ แต่เราจะเห็นรถตำรวจทางหลวงอยู่เป็นระยะ ๆ ครับ ตำรวจที่แคนาดากับอเมริกาไม่ใช่เราเห็นแล้วเข้าไปแซงแบบตำรวจบ้านเราที่ขี่มอเตอร์ไซด์มีตะกร้าขนหน้าแข้งโผล่นะครับ เขาเข้มงวด รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีคำว่าหยวน แล้วพูดให้ดูดีกว่าเราเลือกใช้ว่าจะอยู่กันแบบรัฐศาสตร์ ไม่ใช่นิติศาสตร์เสมอไปแบบตำรวจไทยชอบพูดให้เราคนไทยฟังดูแล้วเคลิ้มตามทั้งที่สุดท้ายสุดก็แค่คนบางคนไม่ทำหน้าที่ของตนแล้วบอกให้คนอีกคนทำใจไปก็เท่านั้น


เมื่อเราเห็นรถตำรวจที่นี่ ชะลอครับ ถ้าอยู่หน้ารถเรา ก็ขับตามเขาไปครับ อย่าพยายามไปแซงหรือประกบข้างดูหน้าหน่อย เขาไม่เล่นด้วยครับ ผมพูดอย่างคนมีประสบการณ์รับใบสั่ง ขึ้นศาลสู้ตำรวจ ชนะบ้าง แพ้บ้าง ดีที่ระบบกฎหมายที่นี่เข้าถึงรวดเร็วครับ ทั้งตำรวจ ทั้งศาลตรวจสอบกันอย่างเป็นระบบและรวดเร็ว เราไม่พอใจตำรวจ เราขึ้นศาลได้ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ ผลจากศาลออกมาก็ยอมรับหรืออุธรกันไป แต่เข้าถึงกฎหมายได้เร็วมากครับ แต่ทางทีดีอย่าทำผิดเลยจะดีที่สุดครับ


ที่จอดรถค่อนข้างแน่นทีเดียวครับเมื่อผมมาถึงที่หมาย แต่ก็ได้ที่จอดที่ไม่ไกลพอเกินไป


คนเยอะมากครับสำหรับวันนี้ ร้าน Coach Outlet ลดราคาอย่างคนถึงกับต่อคิวออกมานอกร้านครับ กฎหมายที่นี่จะมีการควบคุมจำนวนคนที่อยู่ในอาหารหรือห้างร้านครับว่าอาคารหรือห้างร้านประเภทนี้รองรับลูกค้าได้มากที่สุดกี่คน ทางผู้ประกอบการก็จะมีการกันคนที่เหลือให้รออยู่นอกอาคาร ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยในกรณีเกิดอัคคีภัยและอนามัยของสถานที่ไม่ให้เกิดความแออัดยัดเยียดจนเกินไปครับ


ในร้านอื่น ๆ ก็คนมากไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าจะเป็น Outlet ของ Banana Republic, Calvin Klein, Nike, Adidas ราคาสินค้าก็ลดราคาแบบครึ่งต่อครึ่งเป็นส่วนใหญ่ครับ ผมเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ประมาณสามชั่วโมงก็ต้องหยุดหาอะไรทานครับ

ทานกันแบบง่าย ๆ ครับให้ศูนย์อาหารของทาง Outlet $10 ครับอาหารจีน แต่ทานคนเดียวไม่หมดนะครับ จานใหญ่มากครับ แต่อยู่ไปเรื่อย ๆ บางคนอาจจะชินครับเพราะตัวเราก็จะใหญ่ตามพร้อมรับอาหารปริมาณมาก ๆ ครับ


ผมเดินเลือกของอีกซักพักก็ได้เวลากลับครับเพราะไม่อยากไปต่อคิวนานในการเข้ากลับเข้าแคนาดาครับ ได้ของไปพอสมควรพอใช้สำหรับผ่านฤดูหนาวปีนี้และอาจพอไปถึงปีหน้า แต่ในราคาที่น่าจะเป็นสองเท่าหากซื้อที่แคนาดา

ประเทศแต่ละประเทศมีจุดดีและด้อยครับ อเมริกาเป็นประเทศหนึ่งซึ่งประสานความดีและด้อยนั้นอย่างกลมกลืนโดยคำว่าเสรีภาพกับประชาธิปไตยครับ อาจเป็นเพราะตรงนี้ครับทำให้ท้ายรถผมเต็มไปด้วยถุงสิ้นค้าที่ราคาถูกมากแต่ไม่มีชิ้นใดเลยที่ตีตรา Made In USA

เรื่อง/ภาพ กนวิชญ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

Facebook Comments