การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องครับ

Brand: TOYOTA Model: 4Runner
Year: 2006 Miles: 0-5000
From: art bee

: vios

1. ตอนนี้ผมใช้รถ vios เพิ่งซื้อได้ไม่ถึงเดือน รถวิ่งได้ 3000 กว่าโล ผมได้ยินมาว่ารถใหม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อวิ่งได้ 1000 กม. แรก เพื่อชะล้างเศษตะกอนที่เกิดจากการเสียดสีกันของเครื่องยนต์ที่ยังใหม่อยู่ ไม่ทราบว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ สำหรับรถ vios ต้องทำการเปลี่ยนใน 1000 กม. แรกหรือไม่ครับ ? (ผมได้ถามเซลที่ขายรถให้ เค้าก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แต่1000 กม.แรก แค่เข้าไปตรวจเช็คอย่างเดียว)
2. รถใหม่ต้องมีช่วงรันอินหรือไม่ครับ เราสามารถขับด้วยความเร็วสูงๆได้เลยหรือไม่ ผมเคยได้ยินมาว่ารถทุกคันได้มีการรันอินมาจากโรงงานแล้วซื้อมาใหม่สามารถเหยียบได้เต็มที่เลย ไม่ทราบว่าขอเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ ??
…………ขอบคุณครับ


สิ่งที่คุณได้ยิน กับความเป็นจริงในปัจจุบัน ต่างกันลิบลับเลยละครับ
เพราะสิ่งที่คุณได้ยินนั้น เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมได้ทำ และได้พูดมา เมื่อราวสามสิบปีก่อนหน้าโน้น สมัยนั้น น้ำมันเครื่องยังแทบจะเป็นน้ำมันธรรมชาติล้วนล้วน ไม่มีส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณภาพใดใด
ใช้ไปกี่พันกิโลเมตร น้ำมันเครื่องก็ยังใสแจ๋ว แต่คราบตะกอนติดตามชิ้นส่วนเครื่องยนต์หนาปึก เหมือนโคลน
สมัยนี้ น้ำมันเครื่องพัฒนามาไกลลิบลับ ทั้งสารให้ตะกอนแขวนลอยในเนื้อน้ำมัน ทำให้ไม่ทิ้งคราบตะกอนเอาไว้บนชิ้นส่วนเครื่องยนต์ สารเพิ่มคุณภาพการหล่อลื่น สารเพิ่งคุณภาพต่อต้านการรวมตัวกับออกซิเจน สารเพิ่มคุณสมบัติในการชะล้าง สารเพิ่ม ฯลฯ
และน้ำมันเครื่องในปัจจุบัน เอาน้ำมันธรรมชาตินะ มาตรฐาน API ไม่ต่ำกว่า SJ ส่วนจะเป็น SL หรือ SM ก็แล้วแต่นั้น สามารถใช้งานกับเครื่องยนต์ใหม่ใหม่ของคุณได้เกินกว่าหมื่นกิโลเมตรทั้งสิ้น
ไม่จำเป็นต้องไปมองน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ หรือน้ำมันสังเคราะห์อีกด้วยซ้ำไป
เครื่องยนต์ ก็ล้ำหน้านำสมัยกว่าตอนสามสิบกว่าปีก่อน ที่ผมยังทำงานเป็นผู้จัดการศูนย์บริการโตโยต้าอยู่โน่น
สมัยนั้น พันกิโลเมตรแรก จะต้องเอาเครื่องยนต์มาถ่ายน้ำมันเครื่อง เพราะมีเศษเหล็กจากการขัดถูของชิ้นส่วนที่ทำมาไม่เข้ากันดีเยี่ยมเหมือนสมัยนี้ ออกจากเครื่องยนต์เสียก่อน ในขณะที่สมัยนี้ ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ทำมาเข้ากันได้ดีกว่าสมัยก่อนอย่างมาก จนแทบไม่มีชิ้นส่วนใดหลุดออกมาในระยะใช้งานตอนแรกเลย
อีกทั้งโลหะการของเครื่องยนต์ก็ดีขึ้นกว่าเดิมหลายสิบ อาจจะหลายร้อยเท่า ความแข็งแกร่งของชิ้นส่วน กับความอ่อนของชิ้นส่วน ถูกจัดไว้ให้เข้ากันได้อย่างดี
รวมถึงการปรับตั้งวาล์วก็ไม่จำเป็น การปรับตั้งจานจ่ายก็หมดสมัย การปรับตั้งจังหวะจุดระเบิดไม่ต้องทำกันอีกแล้ว จึงแทบไม่มีอะไรเหลือให้ปรับตั้งกันในระยะใช้งานแสนกิโลเมตรเลย นอกจากเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกหมื่นกิโลเมตร หรือหนึ่งปี แล้วแต่อย่างไหนจะถึงก่อนกัน
แต่บางหนังสือคู่มือการใช้รถยนต์ ก็บอกว่า หมื่นกิโลเมตร หรือหกเดือนแล้วแต่อย่างไหนจะถึงก่อน
ซึ่ง ก็แล้วแต่ครับ เพราะหนังสือคู่มือ เป็นหนังสือที่ออกมาจากการตรวจสอบ ทดสอบ ของบริษัทผู้ผลิต จึงเป็นข้อแนะนำที่ควรทำตามหนังสือ
เอาเป็นว่า ที่คุณได้ยินมาว่า เปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ 1,000 กิโลเมตรแรกนั้น ล้าสมัยไปนานแล้วครับ
หากคุณเปิดหนังสือคู่มือการใช้รถ ที่เขาแถมให้มากับรถของคุณ อยู่ในเก๊ะหน้ารถนั่นแหละ คุณก็จะเห็นว่า เขาแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งแรกที่ 10,000 กิโลเมตร
ปฏิบัติตามนั้นได้เลยครับ อย่าสงสัยอะไรอีก ทำตามหนังสือบอกได้เลย
2-ช่วง Run-in นั้น ผมสังเกตเห็นรถยนต์ใหม่หลายต่อหลายคัน หลายต่อหลายรุ่น ที่ส่งให้สื่อมวลชนทดสอบ ถูกนำไปขับขี่ด้วยความเร็วสูง จนถึงความเร็วสูงสุดกันทุกคัน ถ้วนหน้าละครับ และทุกครั้งที่ถูกขอยืมไปทดสอบเอาเสียด้วยซ้ำ
ไม่เห็นพัง
อันนี้ ไม่ใช่พังคามือคาเท้านักทดสอบเหล่านั้น หากแต่หมายความว่า ผมเห็นรถที่ผ่านมือนักทดสอบมาแล้วนับสิบ หรืออาจจะถึงร้อยคน ยืมกันไปร้อยครั้ง ร้อยกว่าวัน หรือสองร้อยวัน ถลุงกันหนักหนัก อัดกันสุดสุด
เมื่อมาถึงมือผม อันอาจจะเป็นบุคคลที่หนึ่งร้อย ถ้าเขาอยากจะให้ผมขอยืมนะ
ผมก็ไม่เห็นว่า รถจะมีอาการผิดสำแดงอะไรแม้แต่น้อย ยังคงไม่กินน้ำมันเครื่องจนผิดสังเกต
ยังคงวิ่งได้ดี น่าจะลื่นเสียด้วยซ้ำ แม้บางคันจะเปลี่ยนยางมาแล้ว เพราะไมล์นั้นขึ้นผ่านเลขสามหมื่นก็ยังมี
แต่ทุกคันก็ยังวิ่งดี ตอบสนองดี ใช้การได้อย่างดี
และรถทุกคัน ไม่มีทางได้ Run-in หรอกครับ ออกมาวันแรก ถึงมือสื่อมวลชน ก็โดนอัดดุเดือดทันทีเสมอไป
ดังนั้น ผมจึงมองไม่เห็นความจำเป็น ในการ Run-in รถยนต์ใหม่อีกต่อไปแล้วครับ
แต่หากคุณได้ยิน(อีกครั้งหนึ่งแล้ว) แล้วจะเชื่อเอาเองว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เขาจะยอมเสียเวลาจ้างแรงงาน จ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรันอินให้รถของคุณ ที่เขาประกอบมาอย่างดีเยี่ยม ส่วนกลมก็กลมจริง รับกันจริง ไม่ได้เกือบกลม อย่างแต่ก่อนแล้วละก็นะ ผมว่า คุณก็เชื่อไปก็แล้วกัน
ด้วยว่า ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะค้านความรู้สึกดีดี ที่คุณมีต่อผู้ผลิตรถยนต์จำหน่ายให้แก่คุณนี่นา
เชื่อคำบอกเล่าอย่างนั้น ก็แล้วแต่ครับ เพราะไม่ได้เกิดผลเสียอะไรกับคุณอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ คุณก็ไม่ต้องรันอินรถของคุณอยู่แล้ว อย่างที่ผมบอก
แล้วผมจะไปค้านทำไม
ถึงผมจะเชื่อแสนเชื่อ ว่าไม่มีบริษัทผู้ผลิตใดในโลกนี้ ยอมเสียเงินจ่ายเป็นค่าเชื้อเพลิงเพื่อ Run-in รถให้ผู้บริโภค และที่สำคัญ ต้องจ้างพนังงานมาขับ หรือมาเฝ้าดูการ Run-in เครื่องยนต์ กับรถยนต์ อีกด้วย ก็ไม่เป็นไร
หากคุณจะเชื่อ เพราะผมก็เชื่ออยู่แล้วว่า ไม่จำเป็นต้อง Run-in อีกแล้วครับ-ธเนศร์

Facebook Comments