Yokoso Japan : เก็บตก จากท้องถนนสายอาทิตย์อุทัย…ภาค 2…By : J!MMY


(ต่อจากตอนที่ 1)

ผมเดินกลับไปยัง Aqua City อีกครั้ง ไปรอที่หน้าร้าน HMV
เพื่อจะพบกับพี่ตุ้ม ผู้ซึ่งพาผมกลับไปพบกับคณะของเราอีกครั้ง

และพอทันทีที่ไปถึงร้านอาหารแนวปิ้งๆย่างๆ ซึ่งตั้งอยู่เป็นโซนเดียวกันในชั้น 4
ของ Aqua City

แทบทุกคนในกลุ่มของเรา พากัน เฮลั่นร้าน

รู้สึกอาย ขายขี้หน้าเป็นใช้ได้เลยครับ แหะๆ
ไปหลงอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง

แต่ก็ยังดีที่กลับมาทันได้ิชิมรสชาติของพ่อครัวที่นี่ ซึ่งฝีมืออร่อยใช้ได้เลย

ส่วน ปลาหมึกที่โรยอยู่บนจานนี้ ก็ปลิวไสวไปมา เหมือนมีชีวิต บางทีก็ไม่กล้ากินเหมือนกัน

21.30 น. แล้ว ผมนัดกับน้องบอมบ์ เพื่อนคนไทยที่ญี่ปุ่น เอาไว้ว่าจะพบกันสักหน่อย หลังจากที่ไม่ได้พบกันมา 2 ปี

เวลากระชั้นเข้ามา ผมนึกว่า น่าจะพอเดินทางไปหาได้ แค่เวลาครึ่งชั่วโมง…

แต่พอเอาเข้าจริง มันไม่ได้ใช้เวลาสั้นขนาดนั้น…

การเดินทาง จากโอไดบะ ไปยังชินจูกุ นั้น ทางที่สะดวก และเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยจำทางมากที่สุดคือ
ขึ้นรถไฟโมโนเรล สาย Yurikamome

จากสถานี Daiba ไปลงที่สถานีต้นทาง Shimbashi
เป็นเงิน 160 เยน ต่อเด็ก 1 คน
หรือผู้ใหญ่ 310 เยน ต่อ 1 คน

ใช้บัตร PASMO จ่ายแทนได้
แต่ สำหรับคนที่อยากระบายเหรียญออกไปจากกระเป๋าสตางค์
ก็เป็นโอกาสอันดี

หยอดเหรียญลงไปก่อน หรือสอดธนบัตร เข้าไปในเครื่อง
กดเลือกซื้อตั๋วตามระดับราคา รอตั๋วออกมา ตามด้วยเงินทอน
แล้วก็เดินเข้าไปในประตูผ่านตั๋วอัตโนมัติ ทุกช่องที่เปิดอยู่ได้เลย โดยไม่ต้องสนใจว่า จะไปสวนทางกับคนที่เดินออกมาหรือไม่

…จากนั้น เดินเท้าต่อไป จากสถานี Shimbashi…

ไปลงรถไฟ JR Rail สายสีเขียว Yamanote อันเป็นสายสำหรับวนลูปในตัวเมืองโตเกียว เดินทางรวมแล้วใช้เวลาประมาณ 45 นาที

กว่าจะพบเพื่อนคนไทยของผมที่ ชินจูกุ เรามีเวลากันแค่ 15 นาทีเท่านั้น เพราะมิเช่นนั้น จะไม่ทันรถไฟขบวนสุดท้ายกัน
และนั่นอาจทำให้เราต้องหาที่สิงสถิตกันในคืนนั้น เพราะครั้นจะนั่งรถแท็กซี่ ราคาเริ่มต้น ก็ปาเข้าไป 650 เยน
และเมื่อดูระยะทางแล้วค่อนข้างไกลโข ไม่คุ้มต่อการเดินทางเท่าใดนัก

2 ปีที่ไม่ได้เจอกัน มีเวลามาพบกันแค่ 15 นาที
กับน้องคนไทยคนนี้ ที่นิสัยใจคอดี และฝีไม้ลายมือในหน้าที่การงานเก่งใช้ได้
ก็คงต้องรอพบปะกันอีกครั้งในงวดต่อไป..



และร้าน ABC-Mart นี่ละครับ ที่ผมไม่คาดคิดว่า วันกลับ จะได้เดินกลับมาที่นี่อีกครั้ง…

เรานั่งรถไฟย้อนกลับมาถึงโรงแรมในช่วงเที่ยงคืนพอดี

บรรยากาศในชบวนรถไฟ Yamanote ถ่ายแบบเบลอๆ

เรานั่งรถไฟย้อนกลับมาที่สถานี Shimbashi อีกครั้ง

ระยะทาง จาก Shimashi มาถึง Shinjuku นั้น
มันไกลประมาณ ครึ่งหนึ่ง ของเส้นทาง วนลูป รองโตเกียว ของรถไฟสายนี้เลยทีเดียว
จึงไม่แปลกใจที่ใช้เวลาเดินทางกันนานระดับครึ่งชั่วโมง

เราก็รีบพอสมควร กลัวจะไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย

แต่พอได้รู้ว่า รถไฟโมโนเรล ยูริคาโมเมะ นั้น
ขบวนสุดท้าย หมดเอาช่วง เที่ยงคืนครึ่ง…

แทบอยากจะย้อนเวลากลับไป ขอเพิ่มอีกสัก 15 นาทีได้ไหม
อยากไปเดินเล่นแถวชินจูกุให้เต็มอิ่มกว่านี้สักหน่อย

(บรรยากาศของโบกี้รถไฟ โมโนเรล ยูริคาโมเมะ)

ผมยังไม่รู้สึกอยากนอน เลยออกไปเก็บภาพทิวทัศน์ของสะพานเรนโบว์
ยามค่ำคืน ที่สวนสาธารณะ ริมน้ำด้านล่าง ผ่านทางเดินเชื่อมต่อขนาดใหญ่ยกระดับ

จำได้แต่ว่า คืนนั้น ผมเดินไปคนเดียว
แต่ในคืนต่อมาผมเดินไปกับ ตาโจอี้ เพื่อนร่วมทริป จาก The Nation
ซึ่งพยายามจะใช้เกล้องวีดีโอถ่ายทำอะไรสักอย่างอยู่


ทางเดินนี้ นอกจากจะทำออกมายาวต่อเนื่องไปจนถึงสวนสาธารณะริมอ่าวด้านล่างแล้ว…


…คุณยังจะได้พบเห็น เทพีเสรีภาพ เวอร์ชันญี่ปุ่น ตั้งตระหง่านที่นี่อีกด้วย…



สะพานเรนโบว์ บริดจ์ แห่งนี้ เป็นอีกสะพานหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยเปิดช่องทางให้ทั้งรถยนต์ และรถไฟ
โมโนเรล Yurikamome ได้ สัญจรข้ามฟากกัน

…ทัศนีภาพในตอนกลางคืน สวยอย่างไร….

…กลางวันก็สวยได้ไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน…



(รูป จากทริป โตเกียวมอเตอร์โชว์ กับ ฮอนด้า ตุลาคม 2005

ถ่ายบนขบวนรถไฟ ยูริคาโมเมะ นั่นละครับ)



(ภาพชุดฟ้าสว่างนี้จากกล้อง Canon S1-IS ตัวเก่าที่พังไปนานแล้ว)

2 ปีก่อน ที่ถ่ายภาพนี้ไว้ ขบวนรถไฟสายนี้ เป็นอย่างไร
ภายในก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

(เว็บไซต์ของ รถไฟขบวนนี้ สาำหรับเช็คการเดินทาง
http://www.yurikamome.co.jp )

เอาละ กลับสู่กาลปัจจุบัน

ดึกแล้ว แต่ผมยังหิวอยู่เลย

มินิมาร์ท เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ชื่อเรียกยากชิปเป๋ง แห่งนี้ ช่วยได้ในระดับหนึ่งครับ



แต่ในเมื่อ ทางเดินเชื่อมกับล็อบบี้ ปิดแล้ว

เราจึงต้องเดินออกมาเข้าประตูด้านหน้าของโรงแรม….



คืนนี้ ผมก็เลยได้สำรวจรสชาติบะหมี่ถ้วย Nisshin Cup Noodle รสเบคอน
ซึ่งบ้านเราไม่มีขาย ขอบอกว่า มันก็อร่อยอยู่ในระดับพื้นๆ เบสิกๆ
แต่ว่า เบคอนที่ให้มานั้น มัน อันเป็นคำนาม ที่ติดตามพ่วงมากับชิ้นเบคอน เยอะไปหน่อย เลยต้องบ้วนทิ้งไปบ้าง ไม่อยากให้เข้ามาอยู่ในร่างกายเยอะ มันไม่ดี

แต่ที่น่าผิดหวังที่สุด เห็นจะเป็น ขนม สองถุงนี้

หน้าตาสะสวยดี แต่พอลิ้นได้แตะเท่านั้นแหละ

"รสชาติห่วยแตก ไม่ได้เรื่องเลยครับ!"

กินได้นิดเดียวด้วยความเสียดายตังค์ ก็ต้องโยนทิ้งเพราะไม่อาจทนต่อไปได้แล้ว

อย่าให้ความสวย ของแพ็กเก็จ มาหลอกเราได้! หึหึหึ

สำรวจดูรายการทีวี ในสัปดาห์ที่เราไปเยือนกัน มันไม่ค่อยมีอะไรให้ดู
ผิดกับเมื่อปี 1999 หรือ 2005 ที่อย่างน้อย ยังมีรายการแปลกๆ ฮาๆให้ติดตามดูอยู่บ้าง

แต่คราวนี้ ไม่ค่อยจะมี

อย่างมากที่สุด ก็มีรายการสัมภาษณ์สดเจ๊นักร้องอะไรสักอย่างก็ไม่รู้
จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มอกสามศอก หน้าตาดีในสายตาคนญี่ปุ่นเขา
มากัน 4 คน แบกเจ๊ไปเก็บเฉยเลย…

ส่วนละครซีรีส์ นั้น…

เิดไปเปิดมา หาไอ้ที่น่าดูนั้นมีไม่

ที่ฮาไปกว่านั้น คือ ละครญี่ปุ่น สงสัยจะเจอทางตันแบบเดียวกับคนทำละครทีวี
เมืองไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ไอ้มุข ประสบอุบัติเหตุ แล้ววิญญาณเข้าผิดร่างผิดตัว ก็ถูกนำกลับมาทำเป็นละครทีวีของ TBS แล้วเช้นกัน

น่าดีใจแทนคนทำละครทีวีเมืองไทย ที่งานนี้ ญี่ปุ่น เขามารับอิทธิพลมาจากละครไทย ช่อง 3 และ 7 ไปสานต่อกันง่ายๆเลย

(ประชดนะครับ เขียนแปะไว้สักหน่อย กลัวคุณผู้อ่านจะไม่รู้ คริคริ)

งานนี้ วิญญาณพ่อ เข้าร่างลูกสาวจอมเฮี้ยว
วิญญาณลูกสาว เข้าร่างพ่อ จอม มึน

เรื่องก็ยุ่งเหยิงตามระเบียบรัตน์ด้วยประการฉะนี้

สำหรับคุณๆที่สนิทแน่นซี้ย่ำปึ๊กกับผมดี
น่าจะพอเดาออกนะ ว่าผมถ่ายรูปนี้มา เพราะ…อะไร…

หุหุหุ

ชื่อเรื่อง ก็ ประมาณว่า PaPa กะ มูซึเมะ (ก็ประมาณลูกสาว สาวน้อยวัยใส ประมาณนั้น กับ 7 วันสลับร่าง

ผมก็แปลมั่วๆ ตามประสา ภาษาญี่ปุ่นไม่แข็งแรงเลย
อ่านได้แค่ตัวทับศัพท์ คาตาคานะแค่นั้น

คืนนั้น พี่ไปค์ รูมเมทผู้น่าร้าก (ตรงไหน?) ของคนอื่นเขา
ก็นั่งทำงานต่อไป โดยมีผมนี่แหละ ที่ชิงหลับไปเสียก่อนด้วยความเพลีย
เก็บแรงเอาไว้ ลุยงานในวันรุ่งขึ้น


———————————————

24 ตุลาคม 2007
24 ตุลาคม 2007
06.20 น.
Le Meridian Hotel
Odaiba Tokyo Japan

จริงอยู่ว่า คุณผู้อ่านคงได้สัมผัสประสบการณ์ ใน โตเกียวมอเตอร์โชว์กันไปบ้างแล้ว ทั้ง 3 ตอน
และเรื่อวราวของเช้าวันที่ 24 นั้น มีอารัมภบทไปบ้างใน ตอนที่ 1

http://www.caronline.net/Article.aspx?Article_id=116

แต่…ยามเช้าอันน่ารื่นรมณ์ ตลอดการเดินทาง
ไปจนถึงบรรยากาศยามเย็น ที่น่าสนใจพอที่จะนำมาเล่าให้ได้อ่านและเห็นภาพ

คนญี่ปุ่นนั้น เป็นชาติแรกในโลกที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ ขึ้นก่อนชนชาติใด

และพระอาทิตย์ที่นี่ ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ รอยต่อกับฤดูหนาวนั้น ยังคงสวยงาม
ไม่ว่าจะยืนดูจากมุมไหน ของญี่ปุ่น แม้แต่ในห้องพักของเลอ เมอริเดียน แกรนด์ แปซิฟิก แห่งนี้



ต่อให้เป็นเช้าที่ตื่นขึ้นมาอย่างเร่งรีบนิดๆ ปนความตื่นเต้นที่จะได้พบกับกองทัพรถยนต์ต้นแบบ และรถรุ่นใหม่ๆ

แต่ความเร่งรีบนั่นก็ไม่อาจทำลาย อารมณ์แห่งความสุขยามเช้าได้ง่ายหรอก

แ่น่ละ ใครจะอารมณ์ดีจัด ถึงขนาด อาบน้ำ ยามเช้า โชว์หุ่นอันอวบอั๋น (แหวะ) สู่สายตาของ
ผู้ใช้รถใช้ถนนชาวญี่ปุ่นเขาจากชั้นบนของโรงแรมได้อย่างผมบ้างเล่า?

ฮ่าๆๆ



จะว่าไปแล้วผมยังไม่ได้พาคุณผู้อ่านสำรวจห้องน้ำกันเลยนี่แหะ

ห้องน้ำตามโรงแรมในญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่ จะใช้วิธี ตีตู้พลาสติกขึ้นมา
คล้ายกับพลาสติกที่เราเห็๋นในตู้เย็น หรือรถห้องเย็น
แล้วช่างก่อสร้างก็จะบุด้วยกระเบื้องปู ซึ่งมีเหตุผลง่ายๆคือ
ระยะหลังๆมานี้ ห้องน้ำในญี่ปุ่น จะถูกเชื่อมการทำงานของสุขภัณฑ์ักับระบบไฟฟ้ามากขึ้น
อย่างน้อย ก็ที่ฉีดล้างก้นอัตโนมัตินั่นละ ดังนั้น จึงต้องมีการเดินสายไฟ ให้เรียบร้อย และป้องกันความชื้น อันอาจจะเกิดกระแสไฟรั่ว
เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ใช่ว่า พื้นผิวแบบนี้ มันจะไม่ลื่น…

คืนก่อนหน้านี้ ผมก็เผลอลื่นไปเตะถูกราวเหล็ก สำหรับพยุงตัวขึ้นจากอ่างอาบน้ำมาแล้ว

เจ็บจนร้องซะลั่นห้องเลยเชียวละ!


คงจะกลายเป็นมาตรฐานไปแล้วกระมังว่า โรงแรมสมัยนี้ ต้องมีสุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ ที่ฉีดล้างก้นแขกผู้เข้าพักให้สะอาด

แต่ผมกลับไม่ค่อยแน่ใจในความสะอาดของที่ฉีดตูดนี่เท่าไหร่เลย

จะลงมือทำความสะอาดเป็นประเดิมก่อนใช้งาน ก็กลัวว่าน้ำจากระบบฉีดมันจะพุ่งพรวดใส่หน้า เข้าปาก ลงไปถึงคอหอยแล้วจะยุ่ง
ก็เลยต้องจำใจ ทนใช้ไปทั้งอย่างนี้นั่นละครับ

แต่อย่างน้อย สุขภัณฑ์ Toto รุ่นนี้ ก็มีระบบ เลือกฉีดได้ว่าจะฉีดที่ก้น หรือจะฉีดแบบ Bidet อันเหมาะสมกับสุขอนามัยของคุณสุภาพสตรี
นอกจากนี้ยังปรับระดับความรุนแรงกระแทกกระทั้นของสายน้ำที่ทะลุทืะลวงเข้าไปถึงลำไส้ได้
ว่าจะให้มันพุ่งเข้าไปมากน้อยแค่ไหน

แต่ไม่มีระบบอุ่นฝารองนั่ง…

แม้จะมีระบบโทรศัพท์ Intercall ไว้ เผื่อเรียกพนักงานโรงแรมในกรณีฉุกเฉิน เหมือนในโรงพยาบาล อันเป็นมาตรฐานที่ดีและสมควรจะมีอย่างยิ่ง

แต่ผมก็สงสัยมาพักหนึ่งแล้วว่า ทำไมตามโรงแรมใหญ่ๆ ต้องมี ทิชชู สำรองไว้ 2 ม้วน….ใครก็ได้ช่วยตอบผมทีครับ อันนี้ผมโง่จริงๆ

กลับออกมาแต่งตัว เตรียมพร้อมอีกที

เพิ่งมาสังเกตเห็นว่า ถนนที่ต่อเนื่องมาจากภาพด้านบนนั้น มันเป็นอุโมงค์
ที่เชื่อมต่อกับกรุงโตเกียวอีกฝั่งหนึ่ง วางระบบไว้เป็นระเบียบ และดูยุ่งเหยิงนิดๆ
แต่ คนญี่ปุ่นเขาคงจะชินกันแล้ว

รางรถไฟยกระดับที่เห็นทอดยาวนั่น ก็คือรางโมโนเรลของ Yurikamome นั่นเองครับ

มื้อเช้าของที่นี่ มีอยู่ทั้ง 2 ห้องอาหาร แต่ผมเลือกจะทานที่นี่ ด้วยเหตุผลที่ว่า
มันรวดเร็วสะดวกดี บุฟเฟต์ที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก
รสชาติอาหาร ก็โอเค ไม่หนีกันกับ Keio Plaza ที่ผมเคยไปพักเมื่อ 2 ปีก่อนเท่าใดนัก แม้บางเสียงจะบอกว่า Keio รสชาติแย่กว่าก็ตาม

8.00 น. ล้อเริ่มหมุน ตามกำหนดการ

ว่าแล้วก่อนออกจากโรงแรม ก็ต้องพาคุณๆ สำรวจทัศนียภาพโดยรอบ
ในช่วงที่ยังมีแสงแดด กันเสียก่อน


เริ่มจากล็อบบี้ชั้นล่าง…ตอนนี้ จะพาคุณๆมองแต่ฝั่งขวาจากหน้าประตูโรงแรม ตอนเราเดินออกมานะครับ


สถานี Daiba ที่เราใช้บริการกันเมื่อคืนนี้


ทางขึ้น ล็อบบี้หลัก เห็นด้านหลังเป็นตึก Fuji Television


ทางเิิดินเท้าหน้าโรงแรม


ด้านหน้าโรงแรม ที่พัก


เหลียวมองทางซ้ายบ้าง


แหงนมองด้านบน



เอาละครับได้เวลาออกรถกันแล้ว

ออกจากโรงแรม แน่นอนว่าต้องเลี้ยวซ้าย ไปตามทางโค้งนี้ ซึ่งมีรางรถไฟโมโนเรลอยู่เหนือหัว


จะพบกับถนนค่ขนาน ที่ลอยตัวเหนือทางขึ้นอุโมลงค์ ที่ต่อเนื่องจากภาพข้างบนนั่นเอง มองเห็น Mega Web แต่ไกล


จากจุดนี้ ถ้าจะไป กินซ่า หรือ ชินจูกุ ต้องเลี้ยวซ้ายครับ
ข้ามสะพานเรนโบว์ บริดจ์ ไป

แต่เราจะตรงไปทาง จังหวัด Chiba ครับ


เราจะผ่านสี่แยกนี้ไป ถ้าเลี้ยวซ้าย จะเป็น คอร์ทเทนนิสในร่ม Ariake
(อาริอาเกะ เทนนิส พาร์ค) เลี้ยวขวา ก็ตรงไปทางศูนย์แสดงสินค้า Tokyo Big Sight ซึ่งมักใช้จัดงาน Tokyo Auto Salon นั่นเอง

จากนั้น ก็ขับตรงอย่างเดียว แล่นมาตามถนนเส้นขนาบข้างทางด่วน ที่เชื่อมกับสะพานเรนโบว์
ขับมาเรื่อยๆ จนถึง อาคารสนามเทนนิส ในร่ม Ariake Tennis Park ซึ่งตั้งอยู่ที่ สี่แยก Ariake 2


เมื่อถึงจุดนี้ ชิดขวา ขึ้นทางด่วน สาย Higashi-Kanto ซึ่งเป็นทางด่วนเส้นเดียวกับที่จะพาเราไปยังสนามบิน นาริตะ นั่นเอง
ค่าทางด่วนสำหรับรถยนต์นั่งทั่วไป 700 เยน แต่ถ้าเป็นรถบรรทุก หรือรถบัส ก็บวกเพิ่มไปเท่าตัว
เป็น 1,400 เยน ซึ่งค่อนข้างแพงเอาเรื่องเมื่อเทียบกับเมืองไทย


เมื่อขึ้นทางด่วนมาแล้ว ให้แล่นตรงมาเรื่อยๆอย่างเดียว

บรรยากาศ ชวนให้นึกถึง ทางด่วนบ้านเราไม่ผิดเพี้ยน

ฝั่งที่เรามุ่งหน้าไปอยู่นี้ คือ ออกจากกรุงโตเกีัยวนะครับ


มาดูรถรอบข้างกันดีกว่า

ในญี่ปุ่นนั้นถ้าคุณอยากเห็นรถรุ่นไหน บางที แทบยังไม่ทันนึก
มันก็จะมาปรากฎตัวให้คุณเห็นได้โดยง่ายมาก

เช่้น Toyota HiLux โฉมไทเกอร์ แต่เป็นประบะเหล็กพร้อมฝาข้างพับได้
แบบที่สากลโลกนิยมใช้ แต่้เมืองไทย ส่วนใหญ่ ส่ายหัวไม่เอา


Renault Kangoo รถอเนกประสงค์ ที่ไม่คิดว่าจะเห็นในญี่ปุ่น ก็ได้เห็น


Volkswagen Touran ที่นั่นขายในชื่อ Golf Touran คือยังต้องยืมชื่อ กอล์ฟมาช่วยขายกันสักหน่อย

ฝั่งขวารถคันโปรดอีกรุ่นของผมในแบรนด์เรโนลต์ เจ้า Megane 5 ประตู

ไกลลิบฝั่งขวา 911 Targa เป็นรถอีกยี่ห้อที่เห็นได้บ่อย


รถของฮอนด้า นั้น ก็เห็นได้เรื่อยๆครับ แน่นอนว่า แจ้สหรือในญี่ปุ่นชื่อ Fit เห็นเยอะสุด

แต่ Stream ใหม่ ก็มีมาให้เห็นบ้างเหมือนกัน เห็นได้เนืองๆ ไม่เยอะนัก
แต่ก็ไม่น้อย


ซีวิค ใหม่ ขนาดว่าในญี่ปุ่นขายได้น้อยมากๆ
เดือนละ ตอนนี้เหลือแค่ 300 คันเท่านั้น

ก็ยังมีให้เห็น 4 คัน ตลอดทริป 6 วันครั้งนี้

รุ่นนี้ 1.8 ลิตร สีม่วง คาดว่าเป็นรุ่นปีแรกๆ


Corolla จริงอยู่ว่าเป็นรถขายดีที่สุดของญี่ปุ่น

แต่พอเอาเข้าจริง รุ่นที่ผมเห็นบ่อยสุดกลับเป็นรุ่นแวกอน Fielder

และเวอร์ชันแวนส่งของ

(รุ่นนี้เป็นรุ่นล่าสุด)


ส่วนรุ่นซีดาน ตัวถังแคบกว่าบ้านเรา
เห็นได้บ้าง แต่ไม่มากอย่างที่คิด

(รุ่นนี้เ็ป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์รอบ 3 ก่อนเปลี่ยนเป็น Axio ใหม่)


Yaris?

ขายในญี่ปุ่นชื่อ Vitz ปริมาณบนท้องถนน พอกับ Fit
แต่ยังไงๆ Fit ก็เยอะกว่า


ถ้ารถไม่ติด และใช้ความเร็ว ประมาณ 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ประมาณ 15 นาที บนทางด่วน
จะพบทางออก ฝั่งซ้าย เป็นป้ายเขียนว่า Narashino Makuhari


หรือถ้าไม่แน่ใจ มองเห็นฝั่งขวา เป็นตึก TOKYO Interior เมื่อไหร่ ก็ชิดซ้ายได้แล้วครับ



ออกจากทางด่วนที่ทางออก Wangan-Narashino ซึ่งจะมีป้ายบอกทางเป็นภาษาญี่ปุ่นปนอังกฤษว่า Makuhari MESSE สีน้ำเงินดังรูป
จ่ายค่าทางด่วนอีก 700 เยนสำหรับรถเก๋ง และ 1,400 เยนสำหรับรถบัส รถบรรทุก


จากนั้นก็ขับช้าๆ ชิดซ้ายเข้าไว้ ตรงมาตามป้ายบอกทางสีน้ำเงินด้านบนได้เลย ว่าให้ชิดเลนซ้ายไว้ก่อน
อย่าได้เผลอกลับขึ้นทางด่วน Higashi-Kanto สาย 357 อีกเชียวละ เพราะถ้าขับหลุดเข้าไปคราวนี้ กู่ไม่กลับเลยจริงๆนะเอ้า!


ถึงตรงนี้ ก็มีเรื่องฮาคั่นเวลาเล็กน้อย

หลายๆคน คงคิดว่า คนญี่ปุ่นขับรถมีระเบียบเรียบร้อย ไม่ทำผิดกฎจราจรกันหรอก
เคารพกฎ ดี๊ดี ดีแสนดี

ผมจะบอกว่า พวกส่วนน้อย ที่ทำอะไร ใน"แบบไทยๆ" เรา
ก็มีเหมือนกันนะครับ! ไม่ใช่ไม่มีเลย

ดูอย่าง Nissan Serena คันนี้เป็นตัวอย่างนั่นปะไร

มาจากไหนไม่รู้ ชาวบ้านเขาต่อคิวกันอยู่ดีๆ
พวกเล่นจะมาแทรกแถวเฉยเลย…


แถมไฟล้งไฟเลี้่ยว นี่ ก็ไม่เปิดซะดื้อๆ
แทรกตัวเข้าไปหน้าตาเฉยเลย!!

หลายคนที่เห็นรูปนี้ ต่างพากันถามว่า
เฮ้ย รถคันนี้ คนไทยขับกันเองหรือเปล่าวะ?

……. สรุปแล้วผมควรจะขำดีไหมเนี่ย?


ที่นี่ เราตรงมาอีกนิดแล้วจะเลี้ยวขวาที่สี่แยกแห่งนี้ อันมีชื่อว่า สี่แยก Hamada


เมื่อเลี้ยวขวามาแล้วก็ขับตรงผ่านสี่แยกไฟแดง ซึงมีสะพานลอยอยู่เหนือศีรษะ


มองไปทางซ้ายจะเห็นสำนักงานใหญ่ของ BMW Japan
อันถือว่าเป็นบริษัทที่น่าอิจฉาที่สุดในงานนี้ เพราะตั้งสำนักงานใหญ๋ใกล้พื้นที่จัดงาน ราวกับนกรู้
เดินทางไปมา สะดวกเลย แค่เดินก็ยังไหว



ขับชิดซ้ายขึ้นสะพานโค้งขวา แล้วตรงไปตามป้ายลูกศร เพื่อเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถ

จำเซเรน่า คันนั้นได้ไหมครับ

เป็นคันเดีัยวกับที่แทรกแถวเมื่อสักครู่นี้แหละ

แล้วเขาก็ไปได้ไม่เร็วไปกว่าเราเท่าไหร่เลย…. ทั้งที่ท่าทางเขาจะรีบด้วยนะนั่น

แหงละครับ ที่นี่ญี่ปุ่น ไม่ใช่เมืองไทย ที่คุณแทรกแล้วจะไปได้เร็วกว่าจริงๆ



ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ไม่แนะนำให้เอารถส่วนตัวมาครับ เพราะที่จอดรถหนะ ไม่พอแน่ๆ ผู้จัดงานเองก็ย้ำเตือนว่า ขนส่งมวลชนสะดวกกว่า
ทั้งรถไฟ และรถเมล์

ถึงตรงนี้ ใครที่ยังไม่ได้เข้าไปชมในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คงต้องขอแนะนำให้เข้าไปเยี่ยมชมงานในบทความดังนี้

ตอนที่ 1 Honda Toyota Lexus Nissan Suzuki
http://www.caronline.net/Article.aspx?Article_id=116

ตอนที่ 2 Mazda Mitsubishi Subaru Daihatsu
http://www.caronline.net/Article.aspx?Article_id=115

ตอนที่ 3 รถยุโรป รถเกาหลี และอเมริกันทั้งหมด รวมทั้งเก็บตกบรรยากาศงาน
http://www.caronline.net/Article.aspx?Article_id=114

———————————————

16.00 น.

เรากลับมานัดพบกันอีกครั้ง บริเวณพื้นที่ทางเดิน เพื่อขึ้นรถบัส
มุ่งหน้าไปยัง จุดหมายพิเศษ นอกเหนือกำหนดการทัวร์…

เป็นสถานที่ ที่ผมตั้งใจจะไปเองอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อลูกทัวร์หลายคนก็อยากจะไปกัน
ทางฮอนด้า กับ JTB ก็เลยประสานงานว่า จะพาไปแวะสักครึ่งชั่วโมง
ก่อนไปทานอาหารเย็น…


ที่เห็นอยู่นี้ คือรถในบูธ Nissan ทั้ง 3 คัน เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะได้เห็นกันในงานวันที่ 25 ซึ่งจะมีพื้นที่จัดแสดงใกล้เคียงกับรอบประชาชนทั่วไป
3 คันนี้ เอาขึ้นเทรลเลอร์มา จอดรอนอกงาน ห่างไกลผู้คน รอเวลางานเลิก แล้วจึงจะส่งเข้าไปจอดในพื้นที่บูธกัน


มาดูรถบนท้องถนนกันก่อนจะไปพบสถานที่ต่อไปดีกว่า

นี่คือรถที่ พอจะเห็นได้บ้างแต่ไม่เยอะนักบนถนนญี่ปุ่น Nissan President รถรุ่นหรูสุดของนิสสัน
อันเป็นเจเนอเรชันต่อเนื่องจาก เพรสซิเดนท์ ที่มีขายในบ้านเรา
รายละเอียดต่างๆ ขอไม่พูดนะครับ หาเสริชกันในเน็ตเอาเอง มีเยอะอยู่แล้ว


จะว่าไปแล้ว นิสสันก็คิดแปลกๆ หวังลดต้นทุน เอา Cima คันนี้มาดัดแปลง เล่นง่ายไปหน่อยหรือเปล่านิสสัน?
อย่าคิดแต่จะลดต้นทุน เพราะท้ายที่สุด Toyota Century ก็จะเอาไปกินตามเคย



เมื่อเช้าเราได้เห็น 911 Targa รุ่นเก่า

มาคราวนี้ เราได้เห็น 911 Targa รุ่นที่ใกล้เคียงปัจจุบันมากกว่า



โชว์รูม BMW นี่ไปที่ไหน ก็เป็นมาตรฐานการตกแต่งตาม Corporate Identity เดียวกันทั่วโลกเลยแหะ

โชว์รูมนี้ ใกล้กับ Makuhari Messe แต่ตั้งอยู่ริมถนนคู่ขนานกับทางด่วน Higashi Kanto 357 นั่นเอง


ปั้มน้ำมัน ENEOS อันจืดชืด เหมือนปั้ม Esso / ปตท. โทรมๆ ตามต่างจังหวัดบ้านเรา

รถคันสีเงิน นั่น คือรถ Toyota Probox ที่คนญี่ปุ่นมักซื้อไปเป็นรถบริษัท
ใช้งานกันสมบุกสมบัน ขนาดของมัน ก็พอกันกับโคโรลล่า นั่นละครับ
แต่วางเครื่อง 1NZ-FE แบบ Vios / Yaris

Honda ในญี่ปุ่น มี Partner ซึ่งก็เอา Airwave มาตัดออพชัน มาขายแข่ง

นอกจากนี้ Nissan ก็มี AD Van ซึ่งก็คือการนำ Wingroad มาตัดออพชัน เปลี่ยนหน้าปัด มาขาย

Mitsubishi มี Lancer Wagon
Mazda มี Familia Wagon ซึ่งก็ซื้อ Nissan AD ไปแปะตราตัวเองขาย
Subaru เคยมี แต่เดี๋ยวนี้จำได้ว่า ไม่มีแล้ว

คนญี่ปุ่นชอบทำรถประเภทนี้ออกมาขายครับ เพราะว่ามันใช้งานคล่องตัว
ประหยัดน้ำมัน และไม่ต้องปรับตัวในการขับขี่มากเท่ารถบรรทุก อีกทั้งยังคล่องตัวเอาเรื่อง



ใครจะเชื่อว่า เราจะได้เห็น Citroen C6 ในญี่ปุ่น ก่อนเมืองไทย??

ในญี่ปุ่น ซีตรองขายได้เรื่อยๆครับ สบายๆ ชิลๆ แต่ไม่ถึงกับดีนัก

สมัยก่อน ให้มาสด้า ช่วยขายอยู่พักนึง ช่วง 1990

ปรากฎว่าไปไม่รอด

ไม่ใช่ซีตรองนะครับ

แต่เป็นมาสด้าต่างหากที่ไม่รอด…เจ๊งบ๊งไปตามระเบียบ



ใครเก่งภาษาญี่ปุ่น ช่วยอ่านทีเถิดครับว่า มันแปลว่าอะไร

แน่ใจนะว่านี่ภาษาญี่ปุ่น ไม่ใช่ภาษาอาหรับ!!
ตัวอักษรมันเหมือนมีดดาบเลย ฟันกันช้งเช้งๆไปมา น่ากลัวมากสำหรับผม!



สำหรับการจราจรบนทางด่วนแล้ว ด่านเก็บเงิน ETC (Electronic Tolled Control) เป็นสิ่งที่จะพบเห็นกันทั่วไป

และผู้ผลิตรถสมัยนี้ ก็มีอุปกรณ์ออพชันนี้ ติดตั้งมาให้

การจ่ายเงิน ใช้วิธีซื้อบัตร หรือเติมเงินเอา จะด้วยวิธีไหนก็ตามแต่
เสียบเข้ากับเครื่องอ่านสัญญาณ

พอขับรถแล่นเข้าไป อย่าให้ความเร็ว เกิน 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ไม้กั้นจะเปิดออกเองอัตโนมัติ

ทุกครั้งที่เราแล่นเข้าใกล้ไม้กั้น ผมละเสี๊ยวเสีัยว

เสียวว่าจะชนไหมทุกที แล้วไม้กั้นก็เปิดยกขึ้นทันเวลาพอดีทุกทีสิน่า!

ซึ่งช่วยลดปัญหาการจราจรหน้าด่านเก็บเงินลงไปได้เยอะทีเดียว
เพราะด่านเก็บเงินบนทางด่วนที่นี่ เก็บกันถี่ยิบ สะบั้นหั่นแหลกยิ่งกว่าบ้านเราเสียอีก!


จู่ๆ ผมก็ได้เห็นรถคันที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น

Nissan Silvia Varietta

รถคันนี้ ก็คือ S15 เปิดประทุน หลังคาแข็งไฟฟ้าพับได้นั่นเอง
สีผ้าเบาะใช้สีปีกแมลงทับ Morpho Blue-Green
จำได้เลยว่า ตอนเขียนต้นฉบับรถคันนี้ ลงใน Thaidriver เมื่อช่วงหลายปีก่อน
ผมจะต้องไปค้นคว้าจนเลยเถิดไปไกลถึงเรื่องของ เจ้าแมลงทับ ในเขตลุ่มน้ำอเมซอน ตามมาด้วยอีกต่างหาก


แฟน Suzuki คงได้ดีใจ
ถ้าผมถ่ายรูปคันนี้มาให้ได้เห็นด้วย

Swift Sport
ซึ่งตัวนี้ เป็นรถรุ่นเก่า แล้ว



ตอนนี้ ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระหว่าง การสร้างทางด่วน ให้เชื่อมันเป็นระบบวงแหวนสมบูรณ์แบบ เพื่อจะช่วยลดปัญหาการจราจรในกรุงโตเกียวลงไปอีก
และช่วยให้ ผู้ขับรถไม่ต้องวิ่งเข้ามากลางใจเมือง โดยไม่จำเป็น

กว่าจะเสร็จคงต้องรอกันอีกสัก 2-3ปี ถึงจะครบระบบโครงข่ายอย่างแท้จริง



ใกล้ถึงที่หมายของเราแล้วก็พบ Evolution คันหนึ่ง
ผมไม่แน่ชัดว่าเป็น 8 MR หรือว่า 9 กันแน่ เพราะอยู่บนรถ
และแสงก็น้อยลงแล้ว…



ที่แน่ๆ รถคันนี้ มีจุดหมายที่เดียวกับเรา เพราะเขาเลี้ยวนำเราไปก่อนแล้ว

ถึงแล้วครับ

Super Autobacs สาขา Shinonome ที่ Tokyo Bay !!



เมือ่ปี 2005 ผมก็เคยมาที่นี่แล้วรอบนึง
เหตุผลเดียวที่ผมจะมาที่นี่ ก็๋เพราะจะซื้อแค็ตตาล็อกรถเก่าๆนั่นเองครับ
และที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะ พอๆกับของแ่ต่งรถทุกรูปแบบ อันเป็นกิจการหลักของที่นี่นั่นเอง….

(รูปบนนี้ ถ่ายเมื่อปี 2005)



ตอนขึ้นบันไดเลื่อน อยากบอกว่า ใจผมลอยไปไกลถึงจุดหมายของผมแล้ว…


นั่นก็คือ ร้านหนังสือรถยนต์ ลินด์เบิร์ก ที่มาเช่าพื้นที่ของ Super Autobacs อยู่นี่นั่นเอง



ที่นี่ถือเป็นแหล่งรวมหนังสือรถ ทั้งใหม่และเก่า ไปจนถึงแค็ตตาล็อกรถรุ่นเก่าๆ
มีขายแทบทั้งหมด แบ่งตามยี่ห้อ หมวดหมู่ครบทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น

Motor Fan ฉบับเก่าๆ ก็มี

ส่วนชั้นวางลิ้นชักนั่น แค็ตตาล็อกเก่าล้วนๆครับ แต่ทุกวันนี้เหลือน้อยลงเยอะกว่า 2 ปีก่อนมากแล้ว


ผมเหมาแค็ตตาล็อกเก่าๆ กลับมา 28 เล่ม

บอกพนักงานว่า มีงบประมาณ 2 หมื่นเยน เกินได้นิดหน่อย

ได้แค็ตตาล็อก Nissan Pao มาในราคาที่ถูกมาก จากปกติ 3 พันเยน งวดนี้ เขาไม่ได้ติดราคาเอาไว้
อันเป็นความผิดพลาดของเขาเอง
ผมเลยโชคดีได้มาในราคามาตรฐานเล่มละขั้นต่ำ 700 เยน

ยังได้ Honda Accord Aero Deck แล้วก็ Legend Coupe ตัวแรก
Nissan Silvia S13 เล่มแท้ ปั้มทอง
Skyline Japan Ti ปี 1979
Skyline R31 GTS Coupe
Galant รุ่นโบราณกาล
Corona TT130 ซีดานและคูเป้ เวอร์ชันแรก
ไปจนถึงอีกสารพัดรุ่นมากมาย

ต่อรองราคากัน เค้าปัด 25 เล่ม ให้เหลือ แค่ เล่มละั 700 เยน
แต่ พวกที่เหลือ ซึ่งมันจำเป็นต้องแพง ก็ต้องตามนั้น

สรุปแล้ว ได้มาในราคา 21,000 เยน รวมภาษี พอดีเป๊ะเลย!

สะจายยยยยยยย



ได้เวลาทานมื้อเย็นกันแล้ว
เรานั่งรถบัสเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป


ผ่านไปเจออู่แท็กซี่แห่งหนึ่งเข้า

จอดรถได้เป็นระเบียบดี ชนิดที่เจ้าของอู่บ้านเราน่าจะทำดูบ้าง


ตอนนี้เรามาถึงจุดหมายของเราแล้ว

ฝั่งตรงข้ามเป็นสำนักงานใหญ่ของ Canon
และเป็นสถานีรถไฟ ซึ่งผมก็จำชื่อไมไ่ด้แล้วว่า สถานีอะไร

รู้แต่ว่า จุดหมายของเราคือ….


โรงแรม Prince Hotel Shinagawa …..


ที่นี่ เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างจะดูเหมือนเก่าไปสักหน่อย

แต่นั่นคืออาคารดั้งเดิม

เพราะทางเข้าของอาคารใหม่นั้น คนละเรืองกันเลย…

อย่างที่เ็ห็นอยู่นี้


เราเดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ…เพื่อจะพบกับ…


ห้องอาหารที่ชื่อว่า HAPUNA


ซึ่งชื่อของร้านนั้นแปลว่าอะไรผมไม่แน่ใจ

แต่ถ้าแผลงเป็นไทยละก็.."หาปูนา"..!?


เมื่อเดินเข้ามาในร้านแล้วจะพบกับบรรยากาศอัน cozy เสียเหลือเกิน

หลังคาสูงโปร่งโล่งสบาย


ที่นี่เป็นภัตตาคาร บุฟเฟต์ ที่เมื่อจ่ายเข้ามาแล้วใครอยากจะทานอะไร "เชิญ"!

แม้กะทั่งของที่แพงที่สุดในร้าน จำพวกปู ก็มีให้กินกันอย่างอิ่มหนำ


และถ้าคุณสังเกตจากรูปข้างบน จะเห็นว่า ไวน์ เซลลา มีขนาดใหญ่โตมากเอาเรื่องเลยทืีเดียว และคิดว่า ที่นี่น่าจะต้องเชี่ยวชาญด้านไวน์ในระดับหนึ่งบ้าง ไม่มากก็น้อย


อาหารมีให้ตักกันอย่างตามสบาย บรรยากาศ ก็ กึ่้งจะหรู แต่ก็ดูเป็นกันเอง


ซูชิ ที่นี่ รสชาติสด แต่ยังไม่ถึงกับดีนัก แค่ทานได้ และดีกว่าเมืองไทย ก็เท่านั้น

ปู ที่เห็น แนะนำให้ลองนะครับ ขนาดผมไม่ใช่คนชอบทานปู ยังชอบเลย


ส่วนรายการอาหารประเภทอื่นๆ ก็ถือว่าอยู่ในระดับ ค่อนข้างดี
รสชาติตามสไตล์ ภัตตาคารตามโรงแรมหรูทั่วไป ที่อยู่ในเกรดดีหน่อย


แต่ที่ออกมาดีอย่างผิดคาดนั่นคือ หมูจิ้มจุ่ม นั่นละครับ
อร่อยเลยละ! เนื้อก็หมักดี


ซูปเห็ด สำหรับคนรักสุขภาพ…แต่ไม่ค่อยถึงกับดีนัก ในแง่รสชาติ


นอกจากนี้ ยังมีสลัดบาร์ ของหวาน และอาหารนานาชาติ แบบต่างๆให้เลือกมากมาย


ภายใต้บรรยากาศโปร่งโล่ง สบาย ใต้กระจก


สรุปถ้าถามว่าร้านนี้จะให้คะแนนเท่าไหร่ ก็คงให้สัก 8.5 เต็ม 10 ครับ

เอาละ ตอนนี้เราก็ได้เวลาต้องกลับกันแล้ว

คงต้องแวะเก็บบรรยากาศภายนอกไว้นิดนึงดีกว่า

ฝั่งตรงข้ามเป็นสถานีรถไฟ


มองไปอีกที เห็นว่ามุมร้านนี้สวยดีเลยเก็บมาฝากกัน


แปลกว่า Mercedes-Benz S-Class มีทำแท็กซี่
แต่ผมยังไม่เห็นฮอนด้า เป็นแท็กซี่ในญี่ปุ่นเลยแหะ

อาจมีครับ และมั่นใจว่ามี แต่ผมยังไม่เห็นเลยจริงๆ


แต่ที่แน่ๆ แท็กซี่คราวน์ แอธลีธ คันนี้เปรี้ยวเกิน….


สำหรับค่ำคืนนี้ คงต้องกลับโรงแรมที่พักกันเพียงเท่านี้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Facebook Comments