Yokoso Japan : เก็บตก จากท้องถนนสายอาทิตย์อุทัย…ภาค 1…By : J!MMY


23 ตุลาคม 2007
6.00 น.
อาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

2 ปีแล้วสินะ กับการไปเยือนญี่ปุ่นครั้งหลังสุด วันเวลา ช่างหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปย่างว่องไวเหมือนอย่างจิตใจคนที่ผันแปร
และวันนี้ ผมก็ได้รับโอกาสให้ไปร่วมเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 10 ปี คราวนี้ มีโอกาสร่วมคณะไปกับ กลุ่มสื่อมวลชนไทย
และบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ผมออกอาการงงเล็กน้อย เมื่อลากกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ 1 ใบ ซึ่งมีกระเป๋าลากใบเล็ก แฝงตัวอยู่ในนั้น มาถึงจุดนัดพบกัน
แล้วไม่พบเห็นสมาชิกคนใด ร่วมคณะทัวร์ จนเริ่มนึกเลยเถิดไปว่า เอ เรามาผิดวัน ผิดเวลานัดหรือเปล่า

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชาวคณะ ต่างเริ่มทะยอยเดินทางมาพร้อมหน้าพร้อมตากันจนครบ ทำให้ใจชื้นขึ้นว่า
วันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดี



แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ใช้บริการที่นี่ แต่มาวันนี้ สนามบินสุวรรณภูมิ ดูกว้างขวางใหญ่โต ทันสมัย และตกแต่งด้วยรูปแบบ
โครงสร้างเหล็ก กับ ปูนเปลือย ซึ่งไม่แน่ใจว่า เป็นความตั้งใจของคนออกแบบ หรือเป็นความพยายามในการลดต้นทุน
ของใครบางคนกันหรือเปล่า?



หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนออกเมือง และช้อปปิ้งในร้านค้าปลอดภาษี Duty Free แล้ว ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องบิน



ท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง บรรยากาศแจ่มใส ทำให้การเดินทาง ราบรื่นด้วยดี กัปตันบินได้นุ่มนวล จากที่คาดเอาไว้ว่า ผมต้องเมาเครื่องบินแน่ๆเลย
เพราะไม่ว่าจะไปไหนมาไหนทางอากาศ รวมทั้งทริปญี่ปุ่นสองครั้งก่อนหน้านี้ ที่ผมขึ้นเครื่องบิน ของสายการบิน JAL แทบจะทุกเครื่องมักมีอาการเมาเครื่องบินปนมาด้วย ไม่น้อยก็มาก

กลับปรากฎว่าไม่เมาบนเครื่องบินของ ANA ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี

บรรยากาศในเคบินห้องโดยสารชั้น Economy นั้น
หลังผ่านการใช้งานมาได้สักระยะหนึ่ง ร่องรอยแห่งกาลเวลาก็ปรากฎให้เห็นบ้าง
จากสวิชต์ชุดมอนิเตอร์ ระบบความบันเทิงส่วนตัวสำหรับผู้โดยสาร
ไปจนถึงหูฟังที่บ่งบอกถึงสภาพที่โดนกระทำย่ำยีอย่างแสนสาหัส
ในเที่ยวบินก่อนๆ

แต่บรรยากาศ และกลิ่นในห้องโดยสาร ก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกมึนเมาแต่อย่างใด
ผิดกับการบินไทย และ JAL ที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้

ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ครึ่งชั่วโมง
แอร์โอสเตส สาว (เหลือน้อยกันเสียส่วนใหญ่) ก็เริ่มเสริฟเครื่องดื่ม
และเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ก็เริ่มแจกเมนูอาหารให้เราเลือก
ว่าจะทานอะไรดี

มีให้เลือกสองอย่างตามที่เห็น…



ผมเลือกจะเสี่ยงดวงกับ ข้าวสวย หมูตุ๋น ซึ่งก็มีเครื่องเคียงมาให้เหมือนเช่นอีกเมนูหนึ่ง
นั่นคือสลัดมันฝรั่งหมูแฮม เค้กช็อกโกแล็ต
รสชาติช็อก คนกินด้วยความหวานจนไม่กล้าทานต่อ
ขนมปังพร้อมเนย และน้ำดื่มตรา ANA

รสชาติ ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ครับ



ขณะที่ แอบชิม ข้าวหญ้าฝรั่น กับปลาโอเฮียว ของโต๊ะข้างๆ
รสชาติ ละมุนลิ้นกว่า ไม่มีรสของซอสมะเขือเทศแยงขึ้นมาให้รู้สึกเหมือนถาดที่ผมทานอยู่

แต่รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เลือกทานหมูตุ๋น ^_^



เวลาตั้ง 6 ชั่วโมงบนเครื่องบิน
จะหลับ ก็หลับไม่ลง ตื่นมาแล้วนี่ ทำไงได้ละ
หาหนังดู หาเพลงฟังอัพเดทเพลงใหม่ๆจากฝั่งญี่ปุ่นกันดีกว่า
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรโดนใจผมเท่ากับ เพลงที่ผมกำลังฟังอยู่นี้
เป็นเพลง My Heart draws a dream ของวง L-arc on ciel ซึ่งจังหวะจะโคน และสไตล์การร้องโหยหวน
เหมาะอย่างยิ่ง กับบรรยากาศบนเครื่องบิน ยามที่มองออกไปบนท้องฟ้าภายนอก (ใครอยากฟังว่าเพลงนี้เป็นอย่างไร
เชิญหาดาวน์โหลด ภาพยนตร์โฆษณา Subaru Legacy ของญี่ปุ่น เรื่องล่าสุด ใน Youtube ได้เลยครับ เพลงนี้ ถูกนำไปใช้ในหนังโฆษณา
เรื่องดังกล่าว ในขณะนี้)



เครื่องบิน Boeing 777-400 ของสายการบิน ANA เที่ยวบินที่ NH915 พาคณะสื่อมวลชนไทยและทีมงานของ ฮอนด้า
รวมแล้ว ประมาณ 20 กว่าคนเศษๆ มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติ นาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ราวๆ 16.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น
อย่างเรียบร้อย ปลอดภัยไร้ปัญหา แม้ว่า ช่วงแล่นลงจอด อาจจะมีอาการเป๋นิดๆ ชวนให้มีเสียวอยู่บ้างก็ตาม



กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และกว่าจะรับกระเป๋ามาได้ ก็ใช้เวลาไปพอสมควร แต่นั่นไม่ชวนให้ผมหนักใจมากเท่ากับต้องมาพบว่า
กระเป๋าของผมนั้น ล้อเลื่อนพังชำรุด และหลุดหายออกไป จนเห็นข้าวของข้างในโผล่ออกมาเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่ผมเท่านั้น
หากแต่ พี่แอน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของฮอนด้าเอง ก็ดูเหมือนจะเจอปัญหากระเป๋าเดินทางชำรุดเสียหายเช่นกัน ทาง คุณชัย
และ คุณเอสึกะ ไกด์ทัวร์ของพวกเรา จากบริษัท JTB จึงนำเราทั้งสองคน ไปยังแผนกรับเรื่องเคลมกระเป๋าของสายการบิน ANA

หลังการเจรจา อยู่นานเกือบๆครึ่งชั่วโมง ทางเจ้าหน้าที่ของ ANA ก็สอบถามราคาว่า กระเป๋าของผมใบนั้นซื้อมาราคาเท่าไหร่
ทางคุณชัย บอกไปว่า 5,000 บาท และนั่นทำให้ผมได้รับกระเป๋าใบใหม่ ขนาดใหญ่และดีกว่าใบเก่าชนิดเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว เป็นการทดแทน
ขณะที่กระเป๋าของพี่แอน นั้น ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า ซ่อมได้ และขอซ่อมให้แทน ซึ่งคงต้องเจรจาประสานงานกันต่อ แม้กระทั่งเดินทางไปถึง กทม.แล้ว

เมื่อเรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางโดยรถบัส ใช้เส้นทางออกจากนาริตะ มุ่งหน้าไปตามทางด่วนสาย Higashi-Kanto

เพื่อไปยัง
โรงแรม เลอ เมริเดียน ย่าน โอไดบะ อันเป็นที่พักของเรา ในช่วง 2 คืนแรก

ย่านโอไดบะ (Odaiba) นั้นถือว่าเป็นบริเวณเมืองใหม่ ของมหานครโตเกียว ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่เกิน 20 ปีมานี้เอง เป็นการถมทะเลโดยใช้ขยะอัดแน่น
และฝังลงไป เพื่อสร้างเขตเมืองใหม่ บริเวณอ่าวโตเกียว (Tokyo Bay) ปัจจุบัน กลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว และช้อปปิ้ง
ของทั้งชาวญี่ปุ่น และต่างชาติ มีโรงแรมขนาดใหญ่ 2 แห่ง

คือ โรงแรม NIKKO Tokyo…

…ศูนย์แสดงสินค้าของ Panasonic รวมทั้ง ศูนย์การค้า Palette Town ซึ่งมี โชว์รูม โตโยต้า ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
พร้อมสวนสนุกในชื่อ Mega Web ไกลจากนั้น ไปอีกนิดเดียว คือตึก Tokyo Teleport…

…ห้างสรรพสินค้า DECKS …

…ซึ่งที่นี่จะมีศูนย์เกม Joypolis ของ SEGA ตั้งอยู่ที่ชั้น 3…



***อาคารสำนักงาน บริษัทห้างร้านต่างๆ ***

รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของ Showa-Shell บริษัทน้ำมันร่วมทุนของเชลล์
ซึ่งเปิด Shell Museum ไว้ที่ชั้นล่างของตึกนี้


จากจุดนี้ ถ้าเลี้ยวซ้าย ก็จะตรงไปยังสวนสาธารณะ Odaiba Kaihin Park

แต่ถ้าตรงไป ก็จะเป็น ย่าน Ariake (อาริอาเกะ อันมีคอร์ทเทนนิส ในร่มขนาดใหญ่ รวมทั้งยังมีด่านเก็บค่าผ่านทาง สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับระบบทางด่วน สาย Higashi-Kanto และสามารถเลี้ยวซ้ายออกไปยังทางด่วนสายเหนือ Tohoku ได้ และเส้นทางนี้ สำหรับคนบ้ารถแล้ว
ยังสามารถเดินทางไปถึง Super Autobacs สาขา Shinonome Tokyo Bay ได้อีกด้วย

แต่เราจะยังไม่ไปไหนทั้งสิ้นในค่ำคืนนี้ เพราะผมจะพาคุณกลับหลังหัน จากจุดนี้
กลับไปยังบริเวณโรงแรมที่พักของเรา Le Meridian Grand Pacific Hotel….

…ซึ่งมีอาคารของ สถานีโทรทัศน์ Fuji Television …

ทีี่เปิดให้คนทั่วไปเดินเข้าไปชมได้ หรือแวะมา กรี๊ดสลบกับดาราศิลปินที่ชื่นชอบได้ ตามแต่จังหวะและโอกาสอำนวย

(รูปจาก ทริป Tokyo Motor Show กับ Honda ตุลาคม 2005)

(ตึก Fuji Television ยามค่ำคืน)

ตึกนี้ ตั้งอยู่ ฝั่งตรงข้ามของ ศูนย์การค้า AQUA City อันมีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟโมโนเรลยูริคาโมเมะ และโรงแรมที่เราไปพัก…

คืนแรกที่ผมไปถึง ก็ไปก่อความเดือดร้อนให้แก่ชาวคณะโดยไม่ตั้งใจ เรื่องมีอยู่ว่า เรานัดกันจะไปทานมื้อเย็น ที่ศูนย์การค้า AQUA City นั่นเอง
เมื่อถึงจุดนัดพบ เรานัดกันว่า อีก 10 นาที มาพบกันที่จุดนัดพบ ก่อนจะเดินไปยังร้านอาหารพร้อมๆกัน ระหว่างนั้น สบโอกาสครับ
ที่ AQUA city แห่งนี้ มีร้าน HMV ซึ่งเป็นเครือข่ายจำหน่าย ซีดีเพลง และ DVD ต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งสาขาอยู่ด้วย เลยตัดสินใจ
ไปเลือกหาซีดี เพลงใหม่ๆของญี่ปุ่น พักหนึ่ง ด้วยวิธี สอบถามกับพนักงานขาย ถึงศิลปินที่ทำงานในแนวเพลงที่ผมชอบ และกำลัง
ได้รับความนิยมในตอนนั้น คือใคร อัลบั้มไหน ซึ่งผมมักใช้วิธีนี้ทุกครั้งที่มาร้าน HMV กระนั้น แม้คำนวนเวลาถูกต้องแล้ว ว่าทันเวลาไปพบกันพอดี
แต่เมื่อโผล่ออกจากร้านไป ก็ต้องต๊กกะใจ ไปเล็กน้อย…พี่ๆ ทั้งหลาย เขาหายไปไหนกันหมดละเนี่ย?

กระบวนการตามล่า หากรุ๊ปทัวร์ ก็เริ่มขึ้นในสมองผม ด้วยการเดินวนๆ ในสถานที่ละแวกใกล้เคียงเดียวกันก่อน
เมื่อดูแล้ว หมดหนทางแน่ๆ พวกเขาหายไปหมดแล้วทั้งกลุ่มเลย ผมจึงมองว่า ต้องหาเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนในกลุ่มทัวร์
จึงตัดสินใจเดินกลับไปยังโรงแรม……


ออกทางประตูนี้ แล้วเดินตรงอย่างเดียว ฝ่าสายลมอันเย็นสบายสำหรับผม
แต่อาจจะหนาวจับสั่นสำหรับหลายคน

ซึ่งห้างนี้ กับโรงแรม ก็ใกล้กันแค่ทางเดินเชื่อมถึงกัน อากาศกำลังเย็นสบายใช้ได้ จึงไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าใดนัก



เดินเลี้ยวซ้ายไปตามทางเดินที่เห็น ผ่านพื้นที่จำหน่ายตั๋ว ของสถานีรถไฟ Monorail Yurikamome สถานี Daiba ซึ่งตั้งอยู่หน้าโรงแรมนั่นละครับ

เดินผ่านไปยังทางเดินเชื่อมกับบริเวณพลาซ่าของโรงแรม…

เดินตรงไปตามทาง เลี้ยวขวา ตรง มินิมาร์ท 24 ชั่ีวโมง ที่มีคนเดินเข้าไปนั่น



มินิมาร์ทแห่งนี้ เข้าไปใช้บริการมาแล้วทั้ง 2 คืน
เดี๋ยวจะบอกว่า เป็นอย่างไร
ตอนนี้ กลับไปห้องพักให้ได้ก่อน


เดินตรงมา ยังเคาน์เตอร์ ชั้น 2 (รูปนี้ถ่ายตอนเช้า คนจึงเยอะ)


…ซึ่งต้องเิดินผ่านบันไดวน…


ที่ลงไปยังพื้นที่ รอรถบัสในตอนเช้า

…และผมก็ขึ้นลิฟท์ ไปจนถึงห้องพักในที่สุด…



โทรทัศน์ในห้องพัก ของที่นี่ มีระบบรับสัญญาณจากสถานีหลัก ด้วยระบบ ดิจิตอล แล้ว

มาตรฐานของ โทรทัศน์ที่นี่ ในตอนนี้คือ ภายในปี 2011 ทุกสถานี จะเปลี่ยนการส่งสัญญาณออกอากาส จากระบบ อนาล็อก มาเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด

และภาพที่ออกมา ก็ชัดเจนดีเสียด้วย ชัดพอให้ผมถ่ายรูปเป็นภาพนิ่งได้สบายๆ

ผมขึ้นห้องพัก ไปค้นเบอร์โทรศัพท์ แล้วเดินลงลิฟต์ มายังตู้โทรศัพท์
ซึ่งตั้งอยู่ในซอกหลืบของล็อบบี้

และก็เริ่มงุนงงกับการใช้งานนิดหน่อย

เรื่องของเรื่องก็คือ ก่อนที่คุณจะโทรศัพท์
คุณควรซื้อบัตร Pre-paid เสียก่อน

และต้องเลือกให้ถูกต้องกับประเภทของการสนทนาด้วย



ถ้าคุณจะโทรศัพท์ในประเทศ
ให้หาตู้ขายบัตร Phone-card ที่มีหน้าตาแบบนี้
หยอดเงินขั้นต่ำ 1,000 เยน ใส่เข้าไปในช่อง
แล้วไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า รอให้เครื่อง มันส่งบัตรออกมาทางช่องรับบัตรให้คุณ



บัตรที่ได้มา จะใช้ได้เฉพาะ โทรศัพท์ สาธารณะ ตู้สีเขียว
แสดงว่า โทรในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเดียว

การใช้งาน ก็แค่ยกหู เสียบบัตร หรือหยอดเหรียญเข้าไปก็ได้
ขั้นต่ำๆก็ 10 เยน กดเลขหมายที่ต้องการ
ถ้าจะเพิ่มระดับความดังหรือเบา ก็มีปุ่มสามเหลี่ยมเร่งหรือลดความดัง
จากหูฟังเอาเอง

วางหูเมื่อไหร่ รับบัตรคืนเมื่อนั้น…



แต่่สำหรับตู้โทรศัพท์ ระหว่างประเทศ นั้น ตั้วตู้จะเป็นสีเีข้ม

การใช้งานก็คล้ายกัน คือต้องสอดบัตรเข้าไปยกหู แล้วกดโทรออก

แต่สิ่งที่จะแตกต่างก็คือ นอกจากตัวเครื่องจะเป็นระบบ ISDN แล้ว ตัวบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศนี้ละ ก็ยังใช้งานผิดกันอีกด้วย


บัตรที่ใช้ ถ้าจะโทรออกต่างประเทศในราคาที่ พอรับได้ ก็คงต้องเป็นบัตรของ KDDI

ซึ่งหาซื้อได้จากตู้นี้
ราคาขั้นต่ำ 1,000 เยน เปิดฝาครอบ สอดธนบัตรเข้าไป
กดปุ่ม รอให้บัตรไหลออกมา

บัตร จะมีแผ่นพับวิธีใช้ เป็นภาษาไทยมาให้ด้วย
แต่ อาจจะสับสนสักหน่อย

อ่านและทำความเข้าใจในนั้นเอาได้เลยครับ

วิธีใช้ ก็ กด 0055 แล้วรอให้ สัญญาณสายไม่ว่าง มันหายไปเอง ใช้เวลาแป๊บเดียวครับ จากนั้น ใส่ หมายเลขบนบัตร 10 กว่าตัวนั่นละครับ
แล้วจากนั้น ระบบจะเช็คสอบยอดเงินให้ จากนั้นกดรหัสประเทศ
(ไทยเราใช้ 66 ตามด้วย รหัสท้องถิ่น เช่น โทรเข้าบ้าน ก็ กด แค่ 2 พอ ไม่ต้องกดก 02 แต่ถ้าจะโทรเข้ามือถือ กด 08 ครับ
แล้วจึงตามด้วยเบอร์ที่ต้องการ

มีระบบภาษาไทยด้วยครับ



ผมใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วโมง พยายามโทรหาคุณชัย หัวหน้ากลุ่มทัวร์ของเรา ปรากฎว่า ติดต่อไม่ได้ แถมยังต้องมานั่ง
คลำวิธีใช้บัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศของ KDDI อย่างมึนงงเป็นที่สุด
ได้แต่โทรกลับไปยังที่บ้าน และเบอร์ของน้องอีกคนหนึ่ง เพื่อเช็คดูว่า ใช้การได้ไหม

แต่พอนึกได้ว่า พี่แอน พีอาร์ของฮอนด้า
ใช้โทรศัพท์ที่โรมมิ่ง กันได้ จึงโทรไปเป็นรายสุดท้าย หลังจากเวลาผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง และเสียงปลายสายนั้น
ดูท่าจะดีใจว่าในที่สุด ผมก็ติดต่อเข้าไปจนได้

แต่ที่ ฮาไปกว่านั้นคือ กว่าที่ทั้งคณะ เขาจะรู้ว่า ผมหายตัวไป นั่นต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมง!!
และคนที่ทำให้พวกเขารู้ตัวกันได้ นั่นคือ คุณ จิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้ประกาศข่าวจาก T i t v นั่นเอง
ผู้ซึ่งนั่งพินิจพิจารณาว่า หน้าของผม เหมือนกับตากอล์ฟเพื่อนผู้สื่อข่าวอีกคนในคณะของเราอย่างมาก
จนเริ่มรู้สึกตัว ว่า ผมหายตัวไป จนอุทานออกมา "เออ แล้วจิมมี่มันหายไปไหนวะ?"

นี่ถ้าไม่มีใครรู้สึกตัวกันเลย แล้วผมจะทำยังไงดี
ก็คงต้องเลือกจะเดินทางไปหานายบอมบ์ เพื่อนคนไทยในญี่ปุ่นของผม ที่นัดกันไว้ ณ สถานีรถไฟ ชินจูกุ เป็นแน่แท้

คราวนี้ ผมเลยเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เคยมานั่นละครับ

ผ่านล็อบบี้กลางอีกครั้งหนึ่ง


ผ่านหน้า มินิมาร์ทเดิมแล้วเดินย้อนกลับไปยัง Aqua City อิีกครั้ง

เพื่อไปพบกับพี่ตุ้ม พงษ์ศักดิ์ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของฮอนด้า
ที่จะพาผมกลับไปเจอพรรคพวกในกลุ่ม กันที่ร้าน แนวปิ้งๆย่างๆ
อยู่ที่ชั้น 4 ของAqua City นั่นเอง ซึ่งไม่ได้ระบุเอาไว้ในตารางทัวร์
และดีแต่ผมไมไ่ด้โทรเข้าไปที่ร้านนั้น มิเช่นนั้น คงมึนงงหนักหนาไปกว่านี้แน่ๆ

Facebook Comments