Yokoso Japan : เก็บตก จากท้องถนนสายอาทิตย์อุทัย…ภาค 4…By : J!MMY
27 ตุลาคม 2007
ล้อหมุนกันแต่เช้า และต้องแพ็คกระเป๋าเก็บข้าวของกันแต่เช้า เพราะคราวนี้เราจะไปเที่ยวที่ Nikko
อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ถือว่าเป็นมรดกโลก เลยทีเดียว
และผมก็ตื่นทัน แต่เก็บข้าวของไม่ค่อยจะทัน เลยลงมาเป็นคนสุดท้าย ปล่อยให้หลายๆสายตามองด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เสียดายที่เราจะต้องจากเมือง Utsunomiya เมืองที่น่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เราเลี้ยวขวาออกจากโรงแรม ตรงมายังสะพานข้ามคลอง ซึ่งไม่อยากเรียกว่าเป็นคลองเท่าไหร่ เพราะกระแสน้ำที่ไหลมาค่อนข้างแรงเอาเรื่อง
แล้วมาเลี้ยวขวา ที่สี่แยกเดิม ร้าน Save On ที่แวะกันเมื่อคืนก่อน ที่นี่ถือเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ ขนาดว่า ร้านแซนด์วิชขนาดเขื่องราคาแพงเอาเรื่อง
อย่าง Subway ที่เรารู้จักกันดี ยังมาเปิดสาขาที่นี่…
ขึ้นสะพานข้ามแยก…
โรงเรียนสอนขับรถในญี่ปุ่น เขามีรูปแบบสนาม ที่แตกต่างจากเมืองไทย มากกกกกกกกกกก และแน่นอนว่า การจะสอบใบขับขี่ในบ้านเขานั้น
ยากเย็นแสนเข็ญกว่าบ้านเรามิใช่เล่น
คงไม่ต้องบอกนะครับว่า อย่างไร ภาพภาพเดียว บอกทุกอย่างไว้หมดแล้ว
โดยที่ผมไม่ต้องเล่าอะไรเพิ่มเติม
เราขึ้นทางด่วน Tohoku อันเป็นทางด่วนสายที่บ่ายหน้าขึ้นเหนือ
และมาแวะพักที่จุดพักรถข้างทางกันเล็กน้อย
จากใบไม้รอบข้าง ทำให้เราพอจะอุ่นใจได้ว่า
ความสวยงามของนิกโก้ ที่รอเราอยู่นั้น มันจะออกมาประมาณไหน
และถ้าผม เล็งกล้องดีๆ มือไม่สั้นกว่านี้สักหน่อย
ฟิต / แจ้ส ันนี้ คงจะออกมาสวยงามกว่าที่เห็นนี้แน่ๆ
จุดพักรถที่นี่ อย่างน้อยต้องมี ห้องน้ำ ตู้ขายเรื่องดื่มอัตโนมัติ Vending Machine และหลายๆที่ จะมีร้านขายอาหารด้วย
มื้อเช้าของผม โคร็อกเกะ ครับ
มันฝรั่งบด จับเอามาขยำๆ ผสมรวมกันกับเนื้อหมู หรือ เนื้อวัว ก็ได้
เป็นก้อนขนาดใหญ่ เรียวๆ ชุบแป้งแล้วทอด ชิเ้นละ 300 เยน
แค่นี้ก็อยู่ท้องได้อย่างเหลือเชื่อ!
จากนั้นรถบัสของเรา ก็ออกเดินทางอีกครั้งและมุ่งหน้าตรงสู่ Nikko กันเลยทีเดียว
แต่รูปแรกที่ผมถ่ายได้ชัดๆ กลับเป็น ความเจริญที่ออกจะขัดตาไปเล็กน้อย
ร้าน ตู้ซักรีดแบบหยอดเหรียญ ทำไมมันดิสนีย์ขนาดนี้ละเนี่ย?
รถของเรามุ่งหน้ามายังจุดหมายแรก ที่นขับรถตั้งใจจะพาไปแวะชม(แต่ไม่จอด
คือใจดี จะพาวนให้ดูเฉยๆนั่นละ…
สถานีรถไฟ Nikko ครับ
สังเกตว่า ปั้มน้ำมันที่นี่ ยังสามารถตั้งได้ กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเลยทีเดียว
ปั้มที่ว่าของ General ครับ
คนขับพาเลี้ยวซ้าย เพื่อให้มาดูอีกมุมหนึ่งที่สวยไม่แพ้กัน…
นั่นคือ สถานีรถไฟท้องถิ่นครับ…ดำเนินกิจการโดยเอกชนนั่นละ
จากนั้น รถพาเราเลี้ยวขวาออกจาก สามแยก
ถึงตอนนี้ ผมเปิดกระจกถ่ายรูป ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา เป็นดังคำพยากรณ์อากาศเป๊ะเลย
ร้านรวงที่นี่ ยังมีทั้งกลุ่มที่พยายามรักษาไว้ให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ
และพวกที่หลุดไปเป็นแนวตะวันตกผสม หรือไม่ก็ประยุกต์
สถานีดับเพลิงของที่นี่ ไฟไหม้เมื่อไหร่ โทรแจ้งที่เบอร์ 119
เริ่มรู้สึกว่าเมืองน่าอยู่บ้างไหมครับ?
ถ้าคิดจะมาอยู่ละก็ หาอพาร์ทเมนต์เช่าอาศัยก็ดี ถ้ามีเงินพอ
เดือนละ 48,000 เยน ไม่รวมมิเตอร์น้ำ แก้ส และไฟ ที่ต้องให้ทางบริษัทผู้เกี่ยวข้อง มาต่อมิเตอร์ให้ และเก็บเป็นรายเดือน
แต่อย่างน้อย ที่นี่มีที่จอดรถให้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีแล้วละ
จุดแรกที่เริ่มทำให้ผมตื่นตะลึงในความงามของนิกโก้ ก็คือสะพานไม้โบราณแห่งนี้
ดูจากตรงนี้ อาจจะยังเฉยๆ…งั้นๆ
มองไปทางซ้าย เห็นออฟฟิศอะไรสักอย่าง…
แต่..พอรถเคลื่อนตัวมา นิดเดียว
นิดเดียวเท่านั้น กำลังรอเลี้ยวซ้ายที่แยกนี้…..
สิ่งที่ผมเคยเห็นแต่ในหนังสือ..กำลังปรากฎความสวยงามและมนต์เสน่ห์ของตน
ให้ผมได้เห็นต่อหน้าต่อตา…..
และเมื่อเลี้ยวซ้ายมาได้ ความสวยงามก็ยังไม่หมดสิ้นลงแต่อย่างใด
พอมาถึงแยกนี้ เราต้องเลี้ยวขวา…
ตึกรามบ้านช่องอันน่าเบื่อ ก็มีให้เราเเห็นได้บ้าง
ภาพนี้ช่างมีบรรยากาศที่ตัดกันอย่างลงตัว
ซีรีส์ 1 สีแดงสดคันนั้น กับร้านอาหารขนาดใหญ่แบบนี้….
อีกสีสันจากสองข้างทาง
ในที่สุด รถบัสของเรา ก็เดินทางมาถึงจุดหมาย….
และเมื่อลงจากรถแล้วเราต้องเดินเข้ามาตามทางเดิน ซึ่งเป็นทิศที่สวนทางกับลูกศร ซึ่งปรากฎเป็นสีแดงอยู่ตรงนั้นในภาพ
และเราก็มาถึงจุดหมายแรกใน สามแห่งของเราวันนี้ครับ
วัด Toshoku
วัดนี้ ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญ และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องแวะเข้าชมเมื่อมาเยือน
อันที่จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั้น ต้องย้อนกลับไปไกลถึง 10,000 ปี ก่อนคริสตกาล
แต่ถ้าขืนจะย้อนนานขนาดนั้น ก็ดูจะเปลืองเนื้อที่เกินเหตุไป เพราะมีหลายยุคมาก
ทั้งยุค Jomon Yayoi Kofun อสุกะ นาระ เฮอัน คามาคุระ มุโรมาชิ เซ็นโกกุ
อสุชิ – โมโมยามะ
ดังนั้น สรุปให้สั้นๆ เข้ามาก็คงจะไล่จากระยะเวลาที่ใกล้เคียงความจริงในปัจจุบัน
คือตั้งแต่ เอโดะ (Edo หรือโตเกียวในปัจจุบันนั่นละครับ) เมจิ ไทโช และโชวะ
ในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่น ปกครองโดยไดเมียว กว่า 200 ตระกูล แต่ ด้วยศึกสงคราม
ต่างๆ ทำให้ โชกุน โตกุกาวะ อิเอยาสุ ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินอาทิตย์อุทัย
และเป็นราชวงศ์ที่สืบทอดอำนาจกันยาวนานถึง 250 ปี
ถือเป็นไดเมียวคนเดียวที่สามารถรวบรวมญี่ปุ่นจนเป็นปึกแผ่นได้ทุกวันนี้
(ทางขึ้นไปชม ค่อนข้างต้องออกแรงเดินกันสักหน่อย แต่สวยสมกับที่ควรจะมาเดินชมเองเลย)
และเมื่อโชกุน กำลังจะลาลับจากโลกนี้ไป ก็ได้สั่งเสียบุตรชายเอาไว้ว่า
ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้น สิ่งชั่วร้าย ภูต ต่างๆ จะเข้ามายังญี่ปุ่นได้ ทางตอนเหนือ
ดังนั้น ท่านจึงขอสั่งเสียให้สร้างวัด และนำอัฏฐิ มาตั้งไว้ทางตอนเหนือของกรุงเอโดะ ซึ่งก็คือโตเกียวในกาลต่อมา
นัยว่า เพื่อปกปักรักษา ให้ญี่ปุ่นแผ่วพานจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ และให้สร้างวัดแห่งนี้ เพื่อไว้ประดิษฐานอัฏฐิ
แต่บุตรชายเองก็สานต่อไปได้ไม่สำเร็จ กว่าที่วัด โตโชกุ แห่งนี้จะสร้างเสร็จ ก็ต้องรอให้รุ่นหลานมาสานต่อ
จนเรียบร้อยอลังการงานสร้างอย่างที่เห็น
เหล้าที่มักบ่มไว้นั้น ทางวัดทำเองครับ
ไม่ใช่ว่า พระที่นั่นขี้เมานะครั้บ แต่ว่า แอลกอฮอลล์ในเหล้าจะช่วยดับความหนาวเย็น ในฤดูหนาวได้
ปกติแล้ว เราไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นชุดกิโมโนกันง่ายๆ
ก็ได้เห็นกันวันนี้ละครับ
วัดนี้ โดยปกติแล้ว ทัวร์มาลงเยอะรับ
ไม่เว้นแม้กระทั่งวันที่ฝนตกพรำๆอย่างนี้ ซึ่งฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งวัน
มีเครื่องลางของขลังขายด้วยครับ
แยกประเภทต่างๆ ทั้งเพื่อสิริมงคล เพื่อเดินทางโดยปลอดภัย
ทั้งสองอย่างรวมกัน หรือเรื่องมั่งคั่งฯลฯ
ถุงเขาทำมาแบบว่าพร้อมสรรพเลย
1 ชั่วโมงที่เดินเล่นในวัดนี้ ได้เข้าไปชมอะไรต่อมิอะไรมากมาย เสียดายว่าเค้าไม่ให้ถ่ายรูป
ข้อแนะนำก็คือ ซื้อตั๋วมาแล้ว ตั๋วทั้งหมดนี้ เขาจะแยกใช้สำหรับการเข้าชม
ในแต่ละโซนของวัด
อย่าทำหลุดหายเชียวนะครับ ไม่เช่นนั้น ต้องจ่ายตังค์ค่าเข้าเพิ่ม
เอาละครับ ได้เวลา่ ไปทานมื้อเที่ยงกันแล้ว
เรารอสมาชิกในกลุ่มมาให้ครบกัน บางคนก็มีบ่นกันบ้าง
แต่ว่าหยุดบ่นแต่โดยดี เมื่อมากันครบ และไม่ทำใครตกหล่นหายไปทั้งสิ้น
เรานั่งรถบัส แล่นออกมาจากทางออกของวัดอีกทางหนึ่ง
แล้วต้องแล่นผ่านอนุเสาวรีย์ ของโชกุน โตกุกาวะ อิเอยาสุ …
สองข้างทางที่เราแล่นผ่านนั้น วิวสวย และปกลุมไปด้วยความชื้นจากไอเย็นของหมู่มวลไม้ที่ปกคลุมโดยรอบ
แล้วเราก็มาถึงภัตตาคาร ที่จะเป็นสถานที่สำหรับมื้อเที่ยงแล้วละครับ
ลานจอดรถ ใช้ร่วมกับอีกหลายสถานที่
ลานจอดรถในญี่ปุ่นนั้น โดยปกติแล้ว ยากมากที่จะพบรถที่มีรุ่น ซ้ำกันเกินกว่า 4 คันในลานจอดรถเดียว
ถ้าเมื่อไหร่ ใน 1 ลานจอดรถ คุณเจอรถรุ่นเดียวกันมากกว่า 3-4 คันขึ้นไป
จงระลึกได้เลยครับ ว่ารถรุ่นนั้นขายดีแน่ๆ
ทางขึ้นร้านอาหาร อาจดูธรรมดา…
แต่ พอขึ้นไปถึงแทบช็อคไปเลยครับ
ที่เห็นอยู่นี้ คือร้านอาหาร สไตล์ ฝรั่งเศส ผสมญี่ปุ่น ครับ
บรรยากาศสวยขนาดไหน ผมไม่ขอบรรยายอะไรเพิ่มเติมไปกว่าปล่อยให้ทุกท่านได้ดื่มด่ำกับความงดงาม
ของธรรมชาติ และการจัดสรรปั้นแต่งของคนไว้ตรงนี้เลยแล้วกัน
ทางเข้าอยู่ตรงนี้ครับ
บรรยากาศเหมือนเรากำลังไปทานอาหารที่บ้านพักชนบทของชาวญี่ปุ่น ลูกครึ่งยุโรปเลยแหะ
…เทอร์เรซด้านนอก…
บรรยากาศในร้าน ไม่แพ้ บ้านเรือนในยุโรป เลยด้วยซ้ำ
โต๊ะที่ผมนั่ง….
เมนูวันนี้ ไล่เรียงตามลงไปเลยนะครับ
ถ้วยเล็กๆ ถ้วยนี้ ธรรมดาครับ รสชาติงั้นๆ
จานนี้ก็ออกแนวสดดี แต่ ก็ยังเฉยๆครับ งั้นๆ
ขนมปัง บาแก็ตต์ พร้อมเนย
ขนมปังธรรมดานี่แหละ แต่ อร่อยสุดยอด!
จานนี้รสชาติดีทีเดียวเลย
เช่นเดียวกับจานนี้ครับ ชืมนิิดนึง รสชาติอร่อยดี
2 จานข้างบนก่อนหน้านี้คือหมูไอบีเรียน นะครับ
แต่ที่ผมว่าไม่ไหวเลยคือข้าวต้มที่หวานเลี่ยนน่ากลัวมาก
ข้ามต้ม กับ "อายุุ" รายการแรกบนเมนูเลย
ส่วน มูสกับโยเกิร์ต และองุ่น Kyuho นี่ หวานดี แต่รสชาติไม่ถูกปากผมเท่าไหร่
สีสันของไม้นานาพรรณ ช่วยให้บรรยากาศ ดูชุ่มฉ่ำใจดีไม่เลวเลยทีเดียว
….จากทางเดินนี้ ตรงเข้าไป….
จะพบกับบ้านสวยๆหลังนี้ รู้สึกว่าข้างในจะมีงานอะไรสักอย่าง
หันหลังกลับมา ก็จะเป็นสวนสวยๆ อย่างที่เห็น
ได้เวลาขึ้นรถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ 2 แล้วละครับ
สองข้างทางก็ยังคงความน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผมอยู่ดี
บรรยากาศหนาวเย็นสบายแบบนี้ หาไม่ไ่ด้ง่ายที่เมืองไทย
เราย้อนกลับมาที่สี่แยกเดิมซึ่งฝั่งตรงข้ามนั้น มีสะพานไม้อยู่
ที่เห็นจากฝั่งซ้ายไกลลิบนั่นคือ โรงแรมนะครับ
เบื้องล่างนั้น กระแสน้ำ ก็ไหลแรงเหมือนกัน
เอาละครับ ย้อนกลับไปดูรูปสะพานไม้ โบราณ สีแดง
ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีนั่น
ตรงขึ้นไปถึุงรูปที่มี รถ Hilux Surf จอดหันหลังนั่นละครับ
คราวที่แล้วเราเลี้ยวขวาเข้าวัด
แต่คราวนี้ เราจะมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ ตามเส้นทางที่คดเคี้ยวเอาเรื่อง
แต่ ยังคงความสวยงามไว้เยอะมาก
รถบัส ขับอย่างชำนิชำนาญ จนเราเสียวแทนว่าจะไปกองรวมกันอยู่ที่ไหล่เขาหรือเปล่า
แต่เขาก็ทำหน้าที่ได้ยอดเ้ยี่ยมดีครับ
ไม่ต้องมีให้ลุ้นแบบ รถบัสของบริษัท ขนส่ง จำกัด
เมืองไทย ใน กทม.
ขึ้นมาถึงลานจอดรถแล้ว
เปล่าครับ ยังไม่ถึงหรอก!
แต่แค่จะให้ดูรถคันสีน้ำเงิน ซึ่งปกติ เป็นรถที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบนถนนทั่วไปเท่าไหร่ สำหรับความแรงในระดับ นิสสัน มาร์ช คันนี้
หลังจากมุดอุโมงค์ และลัดเลาะตามทางโค้งต่างๆ มาอีกพักใหญ่ๆ
เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราครับ…
ทะเลสาบขนาดใหญ่
ถ้าจาก สามแยกนี้ จะเลี้ยวไปยังโรงแรม ที่เราจะเข้าพักกัน ก็แค่ 5 กิโลเมตร
แต่เรายังเหลืออีก 2 สถานที่ ที่น่าไปชม
เราเลี้ยวขวาที่แยกนี้ และเลี้ยวขวาเข้าสู่ลานจอดรถ ก่อนถึงปั้มน้ำมัน Eneos
ที่ชวนให้เป็นงงได้ว่า ขนาดอยู่บนเขาแล้วยังมาตั้งปั้มน้ำมันกันได้เป็นปกติ
สังเกตร้านอาหารนี่แล้วกันครับ
ห้องสุขาสาธารณะอีกรูปแบบหนึ่งของเขา
หันกลับไปด้านหลังกันครับ
ผมกำลังจะพาคุณมายังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 2 ของเราในวันนี้
นั่นคือน้ำตก เคกอน…(Kegon)
การจะลงไปชมน้ำตกนั้น
คุณจะต้องเดินเข้ามาที่อาคารนี้…
เเดินเข้าช่องทางให้ถูก ตามกลุ่มคณะที่คุณมีมาด้วยหรือไม่…
แล้วก็เดินลงลิฟต์ ที่มีความสูง 100 เมตร…..
ด้านบนของลิฟต์ จะมีจอภาพแจ้งข้อมูลข่าวสาร..ทันสมัยจริงๆ เราก็นึกว่าลิฟต์จะโทรมๆหน่อย ผิดคาดแหะ ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังมาดูน้ำตกเลย
ออกจากลิฟต์ ได้ ก็เดินลงไปตามทางเดินอีกนิดหน่อยครับ
ในที่สุดเราก็มาถึง น้ำตก เคกอน!!!!
จุดชมวิว นั้นเค้าจัดสร้างและออกแบบไว้ อย่างดี ให้ผู้เข้าชม สามารถดื่มด่ำทัศนียภาพของน้ำตก ได้อย่างเต็มที่ และยังมี 2 ชั้น
เป็นโครงเหล็กทาสีขาว ขนาดใหญ่เป็นแพล็ตฟอร์ม นี่ละครับ
น้ำตก นั้น คงไม่ต้องบรรยายเพิ่มแล้วกระมัง
ว่าสวย และดูอลังการ ขนาดไหน
หลายๆคน เก็บความประทับใจกันไปตามแต่ใจอยากจะเก็บ
(อันที่จริงรูปมีเยอะกว่านี้มาก แต่ต้องตัดทอนลงเหลือเท่าที่เห็นว่าสวยจริงๆละครับ
ไม่เช่นนั้นแล้ว จะยืดเยื้อมาก)
เมื่อขึ้นจากลิฟต์มาแล้วก็ใกล้เวลาจะออกรถอีกครั้ง
หันไปทางขวา ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีร้านอาหารอยู่ในนั้นด้วย
ซื้อตุ๊กตาลิงมาฝากเจ้าลิงน้อยที่กรุงเทพฯหน่อยดีกว่า…
แล้วก็ โคร็อกเกะอีกสักชิ้น
พอผมซื้อปุ๊บ จำได้ว่า อีกหลายคนเริ่มตามแห่ไปซื้อมากินด้วยคน
อิอิ
จุดหมายที่ 3 ซึ่งไม่ควรพลาดเลย นั่นคือ ทะเลสาบ Chuzenji-ko (ชูเซ็นจิ) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่แปลกมาก คืออยู่บนเขา
ออกจากน้ำตก เคกอน แล้ว มาทางซ้ายมือ ขับตรงมา่เรื่อยๆ
ถ้าเจอ Torii สีแดง อย่างนี้เมื่อไหร่ แสดงว่า มาถึงแล้วละครับ
เสียดายว่า วันนี้ ฝนตกทั้งวัน ทัศนียภาพจึงไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก
แต่ ก็ยังดี ยังพอถ่ายรูปได้บ้างละครับ
ที่นี่ มีเรือเล็กสำหรับให้เช่า เที่ยวชมทัศนียภาพด้วย
และบริเวณท่าเรือตรงนี้ ก็สวยดีอย่างไม่น่าเชื่อ
และเมื่อเข้าไปถึงลานจอดรถแล้ว
โอ้ ใบไม้เปลี่ยนสี สวยมากครับ
รูปบนนี้ผมชอบมากครับ
ได้อารมณ์ตอนถ่ายพอดี
อารมณ์เหงา…..
บรรยากาศทุกอย่างโอเคหมด
เสียอย่างเดียว
ไม่น่ามี ไอ้รถดูดส้วมคันนี้เล้ยยยยยย!
ทั้งน้ำตก เคกอน และทะเลสาบ ชูเซ็นจินั้น อยู่ใกล้กับโรงแรมที่เราไปพักกันครับ
NIKKO Prince Hotel
ที่นี่เป็นโรงแรมที่เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง……
ถามว่าทำไมเดี๋ยวจะเฉลยครับ
แผนที่ทั้งหมดของโรงแรม
ดูเหมือนเล็กนะครับ แต่จริงๆแล้วพื้นที่ใหญ่เอาเรื่อง
ล็อบบี้ ในช่วงหัวค่ำ ฟ้าใกล้ปิด
ข้างหลังเราเป็นเตาผิง….ไม่ได้เห็นของจริงมานานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย
โรงแรมนี้ ค่อนข้างเ็ป็นโรงแรมเก่า และเป็นแบบ Low-rise
จึงไม่มีบันไดเลื่อน หรือลิฟต์ เลย!!
เราก็ใช้วิธีแบกข้าวของขึ้นบันใดนั่นละครับ
มีพนักงานจัดการให้
แต่บรรยากาศของทุกโรงแรมที่ไปพักมาในญี่ปุ่น ซึ่งก็พักมา 5 โรงแรม
ทั้ง Keio Plaza
Le Meridian Grand Pacific
Twin ring Hotel @ Twin Ring Motegi
Hotel Higashi-Nihon
และที่นี่
ผมว่าที่นี่ บรรยากาศดีสุด
สงบสุด และเหงาใช้ได้ที่สุด
ก็แน่ละอยู่ในเมืองท่องเที่ยวมันจะไม่ดีได้อย่างไรกันเล่า จริงไหมครับ?
มาดูห้องพักที่อยู่ในตึก 2 ชั้นหลังนี้กันเถอะ…
ห้องนอน แบบ 2 เตียง ก็ปกติดีเหมือนโรงแรมทั่วไป หัวเตียงมีวิทยุ โบราณ
ที่เปิดฟังได้ทั้งข่าว NHK หรือ สถานีเพลงในโรงแรม ที่เปิดเพลงบรรเลงเก่าๆ
แต่ยังมีรสนิยมกว่าบ้านเราแน่ๆ
หน้าต่างกระจก เปิดออกไปเจอกับวิวทิวทัศน์อย่างเต็มที่
และแถมยังมีบานกระจกเปิดกางออกได้อีกด้วย
วันที่ไปพัก เขาแจกตุ๊กตาไล่ฝนด้วยครับ…
โทรทัศน์ ยังคงเป็นแบบเก่าอยู่ ไม่ใช่ LCD แบบโรงแรมในโตเกียว
เครื่องเล่น DVD VCD ยังไม่มีให้เห็น เพราะที่นี่ มีเครื่องเล่น "Video แบบ VHS" มาให้อยู่เลย
ระบบไวร์เลส อินเตอร์เน็ต ก็ไม่มี….
ส่วนห้องน้ำนั้น ยังคงเป็นแบบเก่าอยู่ครับ
ผนังยังคงไม่ต่างจากโรงแรมบ้านเรา แต่ดูเก่ากว่า
แชมพู ครีมนวดครีมอาบน้ำต่างๆ
ที่นี่ ยกชุดของ POLA มาให้ใช้กันเลยทีเดียว
สุขภัณฑ์บ่งบอกมากมาย ว่ากาลเวลาที่โรงแรมนี้ตั้งตระหง่านอยู่ได้ มันล่วงเลยมากี่ปีแล้ว
แต่สุขภัณฑ์ชิ้นนี้ สวิชต์ อุ่นฝารองนั่ง อยู่ด้านขวา เรียกใช้ได้
แต่ต้องระวังนิดหน่อย ตรงที่ว่า เ้ขาจะอุ่นต่อเนื่องได้เลย หรือยังติดขัดอะไรกันอีก
ได้เวลามื้อเย็นแล้วละครับ
ลงจากทางเดินมาดีกว่า
เข้ามาถึงพื้นที่ขายนของและเสื้อผ้า
ซึ่งจะทะลุไปยังห้องอาหารหลักของโรงแรม
ห้องอาหารที่้นี่ค่อนข้างแปลก
คือมีการค้ำยันตัวตึกด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่โตเอาเรื่อง
จานแรก ฟองเต้าหู้….เละๆแหยะๆ ตามปกติ
จานต่อมา แซลมอน ทำให้ผมมความสุขขึ้นมาทันที
ขั้นเวลาด้วยไวน์แดง 1 ขวด
จานนี้ เล็กและธรรมดามากๆ
แต่ 4 จานที่เหลือหลังจากนี้ค่อนข้างอร่อย ครับ
จานแรกเป็นเนื้อ กับปลา
ชามนี้ นกเป็ดน้ำนะครับ
จานนี้ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันแน่
เนื้อวัวละครับจานนี้ รสชาติโอเคเลยทีเดียว
ของหวาน
ก่อนกลับขึ้นนอน สังเหตเห็นบางอย่าง เลยออกมาดู
รถคันนี้เป็นรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านะครับ และ ที่เหลือเชื่อคือ เป็นรถของนิสสัน…ใช้สำหรับ รับส่งแขกผู้มาพักเป็นหลัก มี 2 คัน
(โปรดเติดตามต่อ ตอน 5 ตอนจบ)