ความเดิมเมื่อตอนที่แล้วของมาสด้า 2ทำยังกับหนังซีรี่ส์เลยนะคะก็คงต้องเป็นแบบนั้นเพราะ presenter คุณเป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ เขาก็ยังมาจากมาสด้า 2 แฮทช์แบ็คแล้วมาสู่ มาสด้า 2 ซีดาน เพราะเครื่องยนต์เหมือนกัน ส่วนหน้าเหมือนกัน ทั้งในส่วนของคอนโซลและตำแหน่งเกียร์ แตกต่างกันเฉพาะในรูปลักษณ์ที่เป็น 5 ประตูและ 4 ประตู และในรายละเอียดอื่นๆ จากวัยรุ่นหน่อยก็เป็นผู้ใหญ่โตขึ้นอีกนิดนึง
ดูความเป็นมาจากตอนที่แล้ว ซึ่งก็ได้ขับมาสด้าแฮทส์แบ็คก็คือตัว5 ประตูดูตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=483
และเมื่อไม่นานมานี้อีกเช่นกัน คุณอุทัย เรืองศักดิ์ พีอาร์หนุ่มที่เห็นหน้าแล้วทำให้ยิ้มได้ ทั้งที่ไม่ใช่นักแสดงตลก ก็ได้นำรถมาสด้ามาให้คุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ได้ทดสอบ มีหรือจะปล่อยให้ผ่านมือไปอีกเช่นเคย ก็ถือโอกาสขับไปส่งคุณอุทัยขึ้นแท็กซี่กลับออฟฟิศ คุณอุทัยถามว่ากระจกหน้ารถเป็นไงบ้าง ก็บอกว่ากว้างดีเห็นชัดเจน ก็มันแบบเดียวกับแฮทช์แบ็คนี่นา เพราะทุกอย่างเหมือนกัน ทำเป็นแกล้งถามไปงั้นแหละ
แล้วตัวฉันก็เอี้ยวตัวไปที่ด้านหลังคนขับ ยังไม่ทันพูดอะไรเลย คุณอุทัยรีบบอกเลยว่า ที่จับราวประตูรุ่นนี้มีครับพี่ แขวนเสื้อได้ครับ แหมรู้ทันไปหมด สาเหตุเพราะคราวที่แล้วได้พูดไปว่าในรุ่นแฮทซ์แบ็คไม่มีราวจับที่นั่งด้านหลัง ซึ่งบางคนก็ใช้เป็นที่แขวนเสื้อผ้าเวลาเดินทางไปต่างจังหวัด เพิ่งขับแค่นิดเดียวก็ได้บอกคุณอุทัยไปว่า ตัวฉันเองถ้าเห็นรถในครั้งแรกจะชอบตัวแฮทช์แบ็คมากกว่าตัวซีดาน เพราะน่ารักกว่า แต่คุณอุทัยบอกว่าตัวซีดานขายดีกว่า แต่แฮทช์แบ็ควัยรุ่นชอบ ก็เลยได้คำตอบในเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตัวเองยังวัยรุ่นอยู่ถึงได้ชอบตัวแฮทช์แบ็ค เป็นงั้นไป และคิดว่าผู้หญิงน่าจะชอบตัวแฮทช์แบ็คมากกว่านะคะ หรือไม่ใช่
มาสด้า 2 ซีดาน เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี. DOHC (ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์) 4 สูบ 16 วาล์ว แรงบิดอยู่ที่ 4,000 รอบ
มีถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า เบรก ABS ทั้งสี่ล้อ (ซึ่งจะมีในทุกรุ่น) ส่วนตัวที่เอามาขับคันนี้จะเป็นรุ่นท็อป
เบาะภายในเป็นสีเบจ คือสีจะออกครีมๆเหลืองอ่อนๆเป็นเหมือนเบาะผ้ากำมะหยี่ เบาะนั่งจะนุ่มกว่าตัวแฮทช์แบ็ค
เมื่อนั่งหลังพวงมาลัยทัศนวิสัยมองเห็นรอบข้างชัดเจน อยู่ที่การปรับกระจก และจากการที่กระจกหน้าบานใหญ่ แสงจะเข้ามาค่อนข้างจ้า บางครั้งต้องเอาที่บังแดดลงไม่ใช่เพื่อบังแดด แต่เพื่อตัดแสงลง
เก้าอี้ก็ปรับสูงต่ำด้วยมือเฉพาะด้านคนขับ ปรับเสียงวิทยุให้ดังหรือเบาก็อยู่ที่พวงมาลัย มีปุ่ม info ปุ่มนี้กดเพื่อเช็คจำนวนน้ำมันที่ใช้ไป เหลือน้ำมันให้วิ่งระยะทางเท่าไหร่ และอีกหลายอย่าง
วิทยุ CD-MP3 6 แผ่น พร้อมช่องเชื่อมอุปกรณ์เสริม AUX สำหรับไอพ็อต
กระจกมองข้างเป็นกระจกไฟฟ้า กดเปิดปิดได้
การตกแต่งภายในจะมีสีเบจแทรกเช่นที่ข้างประตูทั้งสี่บาน สีอ่อนทำให้ภายในดูกว้างขึ้นและสบายตาขึ้น
ที่นั่งด้านหลังของสี่ประตูจะนั่งสบายกว่าตัวแฮทช์แบ็ค เพราะเพดานสูงขึ้นห้องโดยสารกว้างขึ้น เดินทางสี่คนจะได้นั่งอย่างสบายๆ
เบาะหลังก็พับได้ 60/40 ถ้าในห้องสัมภาระ บรรทุกของยาวๆ ก็พับที่นั่งหลังข้างหนึ่ง อีกข้างก็นั่งนั่งได้อีกหนึ่งคน ห้องบรรทุกสัมภาระด้านหลังลึกและกว้างมาก บรรทุกได้สะใจเลยหละ
รถคันที่ขับก็จะสตาร์ทแบบไม่ต้องใช้กุญแจกุญแจจะเป็นแบบที่พกติดตัวเอาไว้ เวลาจะขึ้นรถก็เอามือไปแตะที่ปุ่มดำตรงมือจับดังปี๊ดปี๊ดก็แสดงว่าประตูเปิดแล้ว เมื่อจะปิดก็ใช้มือกดที่ปุ่มดำเช่นเดิม ก็จะดังหนึ่งปี๊ด แสดงว่าประตูปิดแล้ว ที่ฝากระโปรงหลังก็เช่นเดียวกันใช้มือแตะที่ปุ่มก็เปิดออกมาได้แล้ว ระบบกุญแจเป็นแบบ (Smart Keyless Entry and Start System
ยางขนาด 195/45 R 16 ระบบเบรกก็อย่างที่บอกว่าเบรกดีทีเดียว
รูปลักษณ์ภายนอกของรถคันนี้เส้นสายข้างตัวรถทำให้ดูท้ายโด่ง ตัวฉันเองที่เห็นครั้งแรกก็มีความรู้สึกเหมือนรถที่ถูกยกท้ายสูง คล้ายคนเขย่งขา อ้อนึกออกแล้วเหมือนผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูง ไม่สะดุดตาเหมือน 5 ประตู แต่เมื่อได้อยู่กับรถคันนี้ประมาณ สิบวัน เอ๊ะมีความรู้สึกว่ารถคันนี้ยิ่งมองยิ่งสวย ทั้งที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถเลย
การขับขี่ขับง่ายสะดวกสบายคล่องตัว อัตราเร่งดี มีความรู้สึกว่าเร็วกว่าตัว 5 ประตูเล็กน้อย
คุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ใช้เครื่องมือจับดูก็บอกว่าอัตราเร่งความเร็วดีกว่าตัวแฮทช์แบ็คนิดนึง ดูจากกราฟที่คราวนี้คุณธเนศร์เป็นคนขับดูนะคะ กราฟอันแรกเป็นการรวมอัตราเร่ง ส่วนกราฟตัวล่างเป็นระยะห้ามล้อที่มีเมตรอยู่ข้างหลัง
การเกาะถนนเวลาเข้าโค้งของรถคันนี้เกาะถนนดี หนึบหนับเช่นเดิม ไม่มีอาการท้ายปัดเวลาเข้าโค้ง ท้ายรถที่สูงไม่มีปัญหาอะไร
ช่วงล่างเขาเซ็ทแบบสปอร์ต ช่วงล่างจะไม่นิ่มนวลแต่ก็ไม่กระด้างจนเกินไปนักทำให้ขับสนุก ท่านที่สนใจก็ต้องไปลองขับดูว่าท่านรับได้หรือไม่
ราคาของทั้งแฮทช์แบ็คและซีดานเริ่มต้นเท่ากันแต่รุ่นท็อปของซีดานถูกกว่า และที่ว่าซีดานขายดีกว่าในเมืองไทยก็คงเพราะการใช้งานสนองตอบความต้องการได้มากกว่า และในราคาที่เหมาะสม
ส่วนแสงไฟส่องสว่างมองเห็นถนนได้ชัดเจนทีเดียว
น้ำมันที่ใช้ได้ตั้งแต่แก๊สโซฮอล์ E 10 ถึง E 20 คราวนี้ก็ใช้แต่น้ำมัน E 20
ความเร็วที่ใช้จะอยู่ที่ 120 – 145 และ 160 ซึ่งไม่บ่อย แต่จะวิ่งที่ความเร็ว 140 มากกว่า น้ำมันที่วัดได้ 12 กม./ลิตร ซึ่งถ้าวิ่งที่ความเร็ว 110-120 น่าจะกินน้ำมันน้อยกว่านี้เยอะ
แต่อย่างที่ฉันขับนี้เป็นการขับใช้งานตามปกติของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรถขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็จะขับแบบเดียวกัน
มาสด้า 2 ซีดานก็เป็นรถเล็กอีกคันหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม
นี่ก็เอารถมาสด้า 2 ที่ญี่ปุ่นมาให้ดูปิดท้ายเล่นๆค่ะ คันนี้ถ่ายที่เมือง Matsumoto
ส่วนอีกคันถ่ายตอนที่นั่งอยู่บนรถบัส ในย่านชินจูกุที่โตเกียวค่ะ
———————————————
Thunyaluk@caronline.net