Reviews Testdrive ท่องเที่ยว ไปกับผู้หญิงขับรถ All New Hyundai Elantra แม่สอด-ตาก-เมียวดี
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาทางฮุนได ก็ได้เปิดตัว All New Hyundai Elantra Sport ถีง 3 รุ่นด้วยกัน
คือรุ่น 1.8 GL รุ่น 1.8 GLE และรุ่น 1.8 GLS Navi ด้วยเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี. 150 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด
และด้วยราคาพิเศษที่โดนใจในวันเปิดตัวก็คือ 749,000 บาท สำหรับรุ่น 1.8 GL
819,000 บาท สำหรับรุ่น 1.8 GLE และ 898,000 บาท สำหรับรุ่น 1.8 GLS Navi
ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
และเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เฉพาะ รุ่น 1.8 GLS Navi ก็ได้ปรับราคาจาก 898,000 บาทไปเป็น 936,000 บาท ส่วนอีก 2 รุ่นยังคงราคาเดิมอยู่ ที่ฮุนไดสามารถทำราคานี้ได้ก็เพราะเป็นโครงการภายใต้กรอบของอาฟต้าซึ่งได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งช่วยให้ราคาจำหน่ายต่ำลงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลี
การเดินทางไปทดสอบรถในครั้งนี้ ก็ใช้เส้นทาง แม่สอด – จ.ตาก ระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร
โดยช่วงเช้านัดเจอกันที่ดอนเมืองเพื่อเดินทางไปสนามบินแม่สอดด้วย สายการบินนกแอร์ ครั้งนี้ขับรถไปจอดที่อาคารจอดรถชั้นใต้ดินของสนามบิน
ช่วง 7 โมงเช้าที่จอดรถก็เกือบเต็มหมดแล้ว ค่าจอดรถวันละ 250 บาท
สายการบินนกแอร์ที่ไปแม่สอดในครั้งนี้เป็นเครื่องบินลำเล็ก นั่งฝั่งละ 2 คน มี 18 หรือ 19 แถวนี่ละคะ
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชม.มีให้ลุ้นเหมือนกันนะ เวลาเจอเมฆเยอะๆ
เมื่อถึงสนามบินแม่สอดซึ่งก็เป็นสนามบินเล็กๆ ซึ่งต่อไปก็คงขยายเพื่อรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
สถานที่แรกที่ไปก็คือ ไปสักการะศาลของ องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งศาลนี้อยู่ตรงข้ามสนามเทศบาลแม่สอด สร้างเมื่อปี 2545 เพื่อรำลึกถีงพระมหากรุณาธิคุณครั้งเมื่อครั้งที่พระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่เมืองแกลงประเทศพม่าโดยผ่านด่านแม่ละเมา อ.แม่สอดเป็นแห่งแรก
แล้วก็ไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านกาแฟหม้อดิน อาหารเด่นก็คือขนมจีนเป็นขยุ้มๆมาให้ มีแกงใส่เป็นหม้อให้ 4 หม้อ เป็นน้ำยา น้ำพริก น้ำยาป่า และน้ำเงี้ยว มีผัก ไก่ทอด และลูกชิ้นทอด ลูกชิ้นทอดอร่อยดีค่ะ เป็นจานที่ขอเพิ่ม
หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังที่พัก ที่บ้านเคียงจันทร์รีสอร์ท เพื่อเริ่มการทดสอบรถ Hyundai Elantra
รถ Hyundai Elantra ที่ให้ทดสอบครั้งนี้ มี 2 รุ่นคือ GLS ที่เป็นตัวท็อป และ GLE ตัวรองท็อป คันที่ดิฉันได้ขับทดสอบในครั้งนี้ เป็น Hyundai Elantra GLE ซึ่งเป็นตัวรองท็อป
รูปร่างภายนอกก็อยู่ที่รสนิยมของแต่ละคน แต่ดิฉันเห็นแล้วก็บอกว่าสวย ไฟหน้าแบบ LED และมี Auto Light Control คือไฟหน้าเปิดปิดการทำงานโดยอัตโนมัติ มีไฟตัดหมอก ไฟท้ายออกแบบใหม่ ไฟเลี้ยวแบบ LED ติดตั้งที่กระจกมองข้าง
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
พวงมาลัยเป็นแบบ มัลติฟังก์ชั่น ปุ่มปรับฟังก์ชั่นต่างๆของเครื่องเสียง และระบบล็อกความเร็ว รวมถึงจอแสดงผลบนหน้าปัด และระบบ Flex Steer มีปุ่มปรับที่พวงมาลัย
พวงมาลับปรับได้ 4 ทิศทาง
สตาร์ทเครื่องยนต์แบบไม่ต้องใช้กุญแจ เป็นแบบกดปุ่ม กุญแจก็พกติดตัว
ระบบ Flex Steer คือฟังก์ชั่นการปรับความหนัก-เบาและความรู้สึกที่พวงมาลัย 3 ระดับ คือ Comfort ,Normal และSport โดยจากเบาสุดสบายมือและไปที่หนักสุด อยู่ที่ต้องการเลือกโหมดไหนในการขับขี่
ครั้งนี้เดินทางไปกันสองสาวกับคุณแน๊ต รถคันที่ขับเป็นรถ Hyundai Elantra GLE เป็นตัวรองท็อป ที่จะพูดถึงทั้งหมดนี้ก็จะเป็นตัวนี้ค่ะ
ดิฉันเป็นคนขับคนแรก ปรับทุกอย่างให้เข้าที่ทั้งที่นั่งและกระจก โดยจะเป็นแบบมือปรับ สามารถปรับที่นั่งให้สูงต่ำได้ด้วย กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
เก้าอี้นั่งสบายค่ะ เป็นแบบหนังแท้ผสมวัสดุสังเคราะห์ ส่วนแอร์รถยนต์เป็นแบบแยกอุณหภูมิซ้ายขวา
มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า
เมื่อพร้อมก็ออกเดินทางจากบ้านเคียงจันทร์รีสอร์ท อ.แม่สอด จ.ตาก โดยช่วงแรกจะมีรถขับนำออกจากตัวเมืองก่อน จนถึงศาลพระวอ ก็ปล่อยให้ฟรีรัน ก็คือต่างคนต่างไปในเส้นทางเดียวกัน
ศาลเจ้าพ่อพะวอ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแม่สอด ตั้งอยู่บนเนินดินเชิงเขาพะวอ ถนนสายตาก-แม่สอด
เล่ากันว่าท่านเป็นนักรบชาวกะเหรี่ยง ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงแต่งตั้งให้เป็นนายด่านที่ด่านแม่ละเมา เพื่อป้องกันข้าศึกไม่ให้เข้ามาที่เมืองตาก และได้ต่อสู้กับพม่าที่รุกรานเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเพื่อปกป้องเอกราชของชาติ จนตัวท่านเสียชีวิต ในสนามรบแห่งนี่ ด้วยเหตุนี้เพราะเจ้าพ่อพะวอท่านเป็นนักรบ จึงชอบเสียงปืน เพื่อแสดงความเคารพ ผู้ที่เดินทางผ่านทางไปมา มักสักการะท่านด้วยการบีบแตรรถ ยิงปืนหรือจุดประทัด
กลับมาเรื่องขับรถต่อ จับพวงมาลัยครั้งแรกก็รู้สึกถึงความหนักแน่นของพวงมาลัยแล้ว โดยไม่ได้ปรับโหมดพวงมาลัยไปที่โหมดใดเป็นพิเศษซึ่งอย่างที่บอกไว้แต่แรกแล้วว่าพวงมาลัยปรับได้ 3 โหมด งั้นก็หมายความว่า ตอนนี้พวงมาลัยอยู่ในโหมดปกติ
เส้นทางที่ขับไปในครั้งนี้เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างคดเคี้ยว ขึ้นเขาลงเขา การควบคุมรถก็ให้ความมั่นใจ การเกาะถนนต่างๆในโค้งถือว่าดีเลยล่ะ เพราะโค้งเยอะมากจริงๆ พวงมาลัยหนักแน่น โดยอยู่ในโหมดธรรมดา
ถนนส่วนใหญ่จะเป็นถนน 2 เลน ไหล่ถนนเสียอยู่หลายช่วง ก็ต้องถือว่าช่วงล่างของรถคันนี้เซ็ทไว้ดี รับแรงกระเทือนได้ดี เพราะเจอถนนขรุขระหลายช่วงทีเดียว แต่ไม่รู้สึกถึงแรงกระเทือน
ท่านที่ขับรถถนน 2 เลน ก็คงรู้ว่าการเร่งแซงต้องใช้กำลังรถมากเลย ซึ่งตัวดิฉันเองก็ได้ใช้ประโยชน์ในส่วนนี้บ่อย เมื่อเห็นปลอดภัยดีแล้ว ก็เหยียบคันเร่งไปสุดๆเลย กำลังมาแบบต่อเนื่อง ให้ความมั่นใจดีด้วยแรงม้า 150 แรงม้า เกียร์แบบ 6 สปีด มีอัตราเร่งที่นุ่มนวลและราบรื่น โดยดิฉันขับรถเกียร์อยู่ที่โหมด D เพียงอย่างเดียวไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นแบบใดๆเลย ใช้กำลังของรถล้วนๆและกำลังขา
แอร์แบบแยกส่วนเมื่อรู้สึกหนาวก็หมุนปิดในฝั่งของตัวเองได้
บางช่วงของถนนก็ต้องขับตามกันไปเพราะจะมีเสาแบ่งช่องจราจรกลางถนน และจะมีด่านตรวจตั้งเป็นระยะ คงเพราะว่าเป็นเมืองชายแดน ติดกับพม่านั่นเอง
เบรกก็ให้ความมั่นใจค่ะ ไม่หัวทิ่มหัวตำ
แล้วก็ขับรถเข้าตัวเมือง จ.ตากตัวเมืองตากจะมีศาลพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งศาลนี้สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองไทย ซึ่งไม่ได้เข้าไปสักการะ ได้แต่ขับรถผ่านและยกมือไหว้
และได้ไปเยี่ยมท่านผู้ว่าราชการ จังหวัดตาก ที่ศาลาว่าการ
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับมาสู่แม่สอดโดยขากลับเป็นผู้โดยสาร ถึงได้สังเกตว่าฝั่งผู้โดยสารที่ตรงประตูมีแผงค่อนข้างใหญ่สามารถวางพักแขนข้างซ้ายได้
และกลับมาประทานอาหารค่ำที่ร้านข่าวเม่า-ข้าวฟ่าง ที่เป็นร้านยอดนิยมอีกร้านหนึ่งของแม่สอด
อีกเรื่องที่เป็นที่แปลกใจเมื่อช่วงขับรถอยู่บนเขาก็คือ สัญญาณโทรศัพท์ที่ใช้อยู่คือของ Dtac สัญญาณมีบ้างหายบ้าง แต่มีวิทยุอยู่คลื่นหนึ่งบนหน้าปัด สัญญาณดีตลอดทาง ก็เลยไม่ทราบว่าคลื่นเค้าแรง หรือสัญญาณรับส่งของรถคันนี้ดี
เช้าวันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัวเดินทางไปที่เมืองเมียวดี ฝั่งพม่าที่เป็นเมืองชายแดนติดกับแม่สอด โดยใช้แค่บัตรประชาชน ไม่ต้องใช้ Passaport ค่ะ ที่ชายแดนรถเยอะมากทั้งรถขนส่งสินค้าจากไทยและจากพม่า
ไปครั้งนี้ดิฉันเป็นผู้โดยสารค่ะ นั่งที่นั่งหลังไป ที่นั่งตอนหลังก็กว้างขวางสบายค่ะ
มีแอร์ที่นั่งหลังด้วย เย็นสบาย ทำให้ไม่ร้อน
ที่นั่งหลังมีคอนโซลสำหรับเท้าแขน และมีที่วางแก้วน้ำ
เบาะหลังพับได้ 60:40 สามารถขยายพื้นที่เพิ่มสัมภาระได้
ข้ามไปทางด่านเมียวดีพม่า จุดแรกที่ไปก็คือไปไหว้พระที่วัดส่วยมินวุ่น (วัดเจดีย์ทอง)หรือชื่อเต็มว่า” เจดีย์ชเวเมียนโหว่นเซตี้ “นับเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมียวดี มีอายุเก่าแก่ ภายในประดิษฐานพระมหามุนี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ จุดเด่นอยู่ที่องค์เจดีย์สีทองเหลืองอร่าม
การเข้าไปวัดของพม่าเราจะต้องถอดรองเท้าถุงเท้าตรงด้านหน้าก่อนเดินเข้าไป ซึ่งจะเป็นแบบนี้ทุกวัด
หลังจากนั้นก็ไปวัดมิเจากง (วัดจระเข้) วัดนี้มีลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนวัดอื่นตรงที่มีรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่ ความยาวของลำตัวตั้งแต่หัวจรดหางยาวถึง 65 เมตร ทาสีเขียวสดใสทั้งตัว กลางตัวจระเข้จะสร้างเป็นหอไตรกลางน้ำ โดยมีเรื่องเล่ากันว่าในอดีตมีจระเข้เข้ามากินเนื้อพระภิกษุสวฆ์ แต่ท่านแสดงธรรมจนจระเข้เห็นธรรมและเลิกกินเนื้อสัตว์ พร้อมกับจ้องไปที่เจดีย์ทองอยู่เสมอจนสิ้นใจ เนื่องจากอยากไปกราบไหว้แต่ไม่สามารถทำได้ ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างจระเข้ตัวนี้ขึ้นเป็นอนุสรณ์
อีกวัดหนึ่งที่ขับรถฮุนไดเอลันตร้าเข้าไปก็คือ วัดเจ้าโหล่งจี (วัดก้อนหินใหญ่) เป็นวัดที่ตั้งบนลานหินขนาดใหญ่บนเนินเขา โดยมีเรื่องเล่ากันว่าในอดีตมีพระพุทธรูปสายธุดงค์ได้มาจำพรรษาอยู่บริเวณวัดนี้ พอตื่นเช้าขึ้นมามีงูเหลือมมาขดอยู่อยู่ด้านบนหินหินที่ท่านจำพรรษาอยู่ ชาวบ้านผ่านมาเห็นจึงเกิดความศรัทธา และนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่จนมาณภาพ คนไทยที่มาไหว้ที่นี่นิยมมาไหว้พระธาตุ แต่ช่วงที่ไปตอนนี้ สถานที่นี้กำลังบูรณะอยู่ และที่นี่ก็ห้ามผู้หญิงขึ้นไป
จึงเกิดกระแสเรียกร้องกันขึ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงขึ้นไปได้ จึงได้สร้างทางขึ้นมาใหม่อีกด้านหนึ่ง่เพื่อที่จะได้ให้ผู้หญิงขึ้นไปได้
ทริปนี้ก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่สนุกสนานประทับใจ ด้วย Hyundai Elantra GLE ที่เป็นตัวรองท็อป
ส่วนศูนย์บริการทางฮุนได ก็ทยอยเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพื่อรองรับลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
เครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 749,000 บาท ก็ดึงดูดใจได้ดีทีเดียวนะคะ
ลองไปขับดูนะคะ
ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
ผู้หญิงขับรถ
“มหกรรมยานยนต์ …