Reviews ลองขับ All New Suzuki Ertiga 2019 มี Clip

หลังจากการเปิดตัว Suzuki ERTIGA ไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ทางซูซูกิก็ได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะของ All New Suzuki ERTIGA เส้นทาง ที่จังหวัดเชียงราย ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร


โดยSuzuki Ertiga มี 2 รุ่นคือ GX และ GL แต่คันที่ไปขับในครั้งนี้จะเป็นตัว Top ก็คือตัว GX
ก่อนขับก็มาดูรายละเอียดของรถกันก่อนนะคะ
Suzuki ERTIGA เจนเนอร์เรชั่นแรกที่ได้เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2555 คืออีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของซูซูกิในการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ได้รับการยอมรับ และสามารถสร้างยอดขายสะสมจนถึงปัจจุบันได้กว่า 732,000 คันทั่วโลก


และ All New Suzuki ERTIGA เจนเนอเรชั่นที่ 2 ถูกพัฒนาขึ้น ให้เป็นรถ 7 ที่นั่ง ที่มีสไตล์และให้อารมณ์การขับขี่ที่พร้อมปลดล็อกอีกด้านของชีวิตให้โลดแล่นไปสู่ ทุกเส้นทาง

ภายนอก


เส้นสายดีไซน์โฉบเฉี่ยวโดดเด่นด้านข้างตัวรถ ด้วยเส้นสายที่มีส่วนเว้า
กระจังหน้าโครเมี่ยม ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์เข้ากับเส้นสายการออกแบบด้านหน้า
เสริมด้วยไฟตัดหมอกทรงกลม
ไฟท้าย LED และล้ออลูมิเนียมอัลลอยขนาด 15 นิ้ว ยางขนาด 185/65 R15

 

ภายใน

พื้นที่ภายในห้องโดยสารขนาด 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่กว้างขวาง โปร่งสบาย สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่


พวงมาลัย D-shape ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพิ่มพื้นที่วางขามากขึ้น พร้อมฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์ด้วยบลูทูธ เพิ่มความรู้สึกเรียบหรูแต่ดุดันด้วยคอนโซลลายไม้


และมีอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายเช่น ช่องเชื่อมต่อ USB ช่องจ่ายไฟสำรอง 12V ถึง 2 ตำแหน่งคือตรงใต้คอนโซลหน้า และคอนโซลกลาง


พร้อมด้วยระบบ Keyless Entry และ Keyless Push Start

ด้านหน้ามีช่องวางเครื่องดื่มที่สามารถรักษาอุณหภูมิความเย็นของเครื่องดื่มได้นานยิ่งขึ้น

เย็นสบายตลอดการเดินทางด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง ซึ่งมีช่องแอร์อยู่บนหลังคาถึง 4 ช่อง
โดยแอร์จะมีคอมเพรสเซอร์แอร์ 1ตัว แต่มีคอยล์เย็น 2 ตัวอยู่ด้านหน้าและด้านหลัง โดยผู้โดยสารด้านหลังสามมารถปรับความแรงของแอร์ได้ 3 ระดับคือสูงกลางและต่ำ

New Suzuki ERTIGA เครื่องยนต์ใหม่ K15B 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 105/6,000 (แรงม้า/รอบต่อนาที) แรงบิดอยู่ที่ 138 นิวตันเมตรที่ 4,400รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด

มาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิที่ช่วยเพิ่มทั้งสมรรถนะและความปลอดภัย ช่วงล่างทำจากเหล็ก High Tensile เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อความแข็งแกร่งและปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทนทานด้วยโครงสร้างตัวถัง TECT ออกแบบจากเหล็กกล้าทำให้ทนทานต่อการสึกหรอ
ระบบ NVH ให้การขับขี่นุ่มนวล ดูดซับแรงสั่นสะเทือน พร้อมลดเสียงรบกวนตลอดเส้นทาง

 

มั่นใจในความปลอดภัยด้วยระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน พร้อมระบบ EBD ช่วยกระจาย แรงเบรกได้อย่างสมดุล ระบบ ESP ที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวให้เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และ
มีจุดยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX และ Top tether สำหรับเด็กอีกด้วย

ช่วงลองของจริง
การเดินทางช่วงแรก ดิฉันเป็นผู้โดยสารด้านหลัง ที่นั่งด้านหลังก็นั่งได้สบาย เพราะเขาปรับช่วงล้อกว้างกว่ารุ่นเดิม 30 มิลลิเมตรก็เลยทำให้ความกว้างเพิ่มขึ้นด้วย
นั่งด้านหลังก็รู้สึกว่าช่วงล่างหนักแน่น ไม่ถึงกับนิ่มนวลแต่ก็ไม่กระด้าง นั่งแล้วไม่เหนื่อย
มีแอร์มีบนเพดาน 4 ช่อง ปรับได้เย็นสบาย 3 ระดับของพัดลม ที่นั่งแถว สองและ สามไม่ต้องกลัวร้อนเลย

 

เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนคนขับ ก็ขึ้นขับโดยการก้าวขึ้นรถก็ง่ายเพราะถึงจะเป็นรถแบบ MPV ก็ไม่สูงมากนัก
เมื่อขึ้นนั่งขับก็ปรับที่นั่งด้านคนขับซึ่งจะเป็นแบบใช้มือโยกสูงต่ำ ซึ่งดิฉันปรับขึ้นระดับสูงสุดเลย ทัศนวิสัยดีเห็นชัดเจน


กระจกซ้าย-ขวาปรับไฟฟ้า


ปุ่มสตาร์ทรถจะเป็นแบบกดปุ่ม ไม่ต้องใช้กุญแจกุญแจก็ติดตัวไว้
ออกตัวดีค่ะ พร้อมที่จะไปเลย แต่ในช่วงเร่งแซงต้องกดคันเร่งแรงหน่อยนะคะ การเปลี่ยนเกียร์นิ่มนวลไม่รู้สึกเลยว่าเกียร์เปลี่ยน
ส่วนเส้นทางที่ไปจะมีช่วงขึ้นเขาลงเขาและทางโค้ง การเกาะถนนก็ให้ความมั่นใจได้ดีในความเร็วที่เหมาะสม
โดยมีปุ่ม OD ที่คันเกียร์ ซึ่งเราจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้อยู่ที่การขับขี่ของแต่ละส่วนตัวดิฉันก็ใช้ช่วงขึ้นเขาลงเขาเพราะจะได้เหยียบเบรกน้อยหน่อย


พวงมาลัยถึงจะเป็นแบบ D-Shap ก็ควบคุมง่ายเหมือนพวงมาลัยทั่วไป ไม่หนักเกินไปนักเพราะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า
ภายในรถเก็บเสียงได้ดี วิ่งความเร็วประมาณ 120 ยังไม่ได้ยินเสียงลมปะทะ
เบรกอาจจะต้องกดลงลึกนิดหนึ่งในเวลาเบรกแต่มั่นใจได้ เบรกด้านหน้าจะเป็นดิสค์เบรก ส่วนด้านหลังเป็นดรัมเบรก
โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นรถแบบ 7 ที่นั้งที่น่าใช้ ขนาดกะทัดรัด ทั้งโดยสารและบรรทุกสัมภาระ


เวลาถอยหลังก็มีเซ้นเซอร์เป็นเสียงสัญญาณเตือน

ตัวถังของรุ่นนี้ยาวกว่าเดิม ยาวเพิ่มขึ้น 130 มิลลิเมตร ทำให้เบาะนั่งแถวที่ 3 กว้างขึ้นและเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากขึ้น
ที่นั่งแถวที่ 2 พับได้ แบบ 60:40 และที่นั่งแถวที่ 3 พับได้แบบ 50:50 ทำให้ง่ายต่อการใส่และบรรทุกสัมภาระ


ซึ่งตัวดิฉันได้ลองไปนั่งแถวที่ 3 ก็นั้งได้สบาย ขึ้นลงสะดวก ดิฉันความสูง 155 ซม.
ที่นั่งก็พับง่ายตาม คลิปที่ลงไว้

All New Suzuki ERTIGA ที่มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Radian Red, Magma Grey, Pearl White Snow และ Prime Cool Black
เติมน้ำมัน E 20 ได้


โดยมี 2 รุ่น คือ GL (AT) ราคา 655,000 บาท
และ GX (AT)                ราคา 695,000 บาท
ราคานี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2562 นะคะ
ส่วนโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิก็มีกว่า 121 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ

ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
ผู้หญิงขับรถ (อาลองรีวิว)

Facebook Comments