REVIEW Toyota Crown
โดย เอกภาพ เศวตบดี (THE JOE)
รถยนต์อีกรุ่นที่คนไทยคุ้นเคยและคุ้มค่าต่อราคาในตลาดรถยนต์รวมทั้งรถมือสอง
รถอะไรอะ ราคาเท่ารถหรูตระกูลดังฝั่งยุโรป ขับเบนซ์ไม่ดีกว่าเหรอออออ……
อ่าๆๆ อย่าพึ่งดูถูก รถ Made in Japan รุ่นราคาแพงๆก็มีดีเหมือนกันและดีกว่าในบางเรื่องด้วย
และนี่ก็คือคำพูดจากปากของคนเคยใช้ Toyota crown คือ Benz ญี่ปุ่น (ซึ่งต้องเทียบกับ s-class ด้วยนะ เพราะคลาสอื่นไม่นิ่มเท่า ฮี่ๆๆๆๆ) ทำไมนะเหรอ หลักๆเลย ความนุ่มนวลของช่วงล่างที่มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน ความสบายผ่อนคลายขณะขับทางไกล ความโอ่โถงและบรรยากาศในห้องโดยสาร
ออฟชั่นล้ำหน้าคู่แข่งที่ให้มากกว่ารถระดับเดียวกัน ความทนทานของตัวรถและระบบต่างๆ ตั่งแต่รุ่นเก่ายันเกือบรุ่นปัจจุบัน
…..อ่าแล้วถ้าใครเคยขับรถญี่ปุ่นบ้านๆแล้วไม่เคยลองขับรุ่นตระกูลสูงๆของญี่ปุ่นอย่าเพิ่งไปบอกว่ารถญี่ปุ่นไม่ดี
คุณกำลังคิดผิด!!
ลองเปลี่ยนทัศนะคติ ล้างความรู้สึกเก่าๆ ต่อรถญี่ปุ่น หารถญี่ปุ่นรุ่นที่มีราคาเท่ากับรถยุโรป
แล้วค่อยมาเทียบข้อดีข้อเสียกันอีกที แต่ที่แน่ๆ รถญี่ปุ่นที่มีราคาเดียวกับรถยุโรปจะต้องมีดีกว่ารถยุโรปในบางเรื่องอย่างแน่นอน
แต่ก็นะ ใครจะไปรู้หละว่ารถของค่าย Toyota ที่แปะป้ายตรา Toyota ไม่ใช่ Lexus เช่น Crown จะมีราคา หลายล้าน และเป็นรถที่ดีขนาดนี้
ก่อนอื่นผมขออนุญาตโม้นิดหนึ่งคือเมื่อก่อนสมัยผมเรียน ปวส.ผมจบจากโรงเรียนเทคโนโลยียานยนต์โตโยต้า
(Toyota automotive school)
เวลาเรียนจะมีบางวันที่เป็นคาบวิชาปฏิบัติ ก็จะมีวิชาที่เกี่ยวกับ Overhaul รถยนต์ ก็ มียกเครื่อง เกียร์ ช่วงล่าง รถที่มีให้ Overhaul นี่ ก็มีพวก Toyota Corolla Toyota Corona Toyota Soluna รวมถึงรถกระบะของโตโยต้าอีกสองสามรุ่น รวมถึงรุ่นที่ส่งออกไป Australia เวลารื้อประกอบก็มีแต่รถเดิมๆ ขันนู่นขันนี่เดิมๆจนเกลียวขาดไปหลายคัน ฮาๆๆๆ แล้วก็มี Lexus ls-400 รุ่น top ช่วงล่างถุงลม อีกคัน คันนั้นไม่เคยได้รื้อเพราะให้แต่ทดสอบ ลองขับ อย่างเดียว ขับแล้วรู้สึกไม่ได้ติดใจอะไรมาก
พอมีช่วงหนึ่ง ทางโรงเรียนได้เอารถคันเก่าๆหน้าตาก็ดูเชย ๆ แก่ ๆ มา 2 คัน เป็นรถรุ่น Toyota Crown
เป็นรหัส JZS-133 ปี 1993 มาให้นักศึกษาได้ทำการทดสอบกัน ช่วงแรกตั้งแต่ที่ไขกุญแจเข้าไปบิดครั้งเดียวจะสั่งให้เปิดเฉพาะด้านคนขับ พอปิดสองครั้ง จะทำงานแบบเซ็นทรัลล็อก เปิดประตูเข้าไปนั่งเท่านั้นแหละ รู้สึกชอบมากๆในความเป็นรถญี่ปุ่นระดับหรู ภายในห้องโดยสารวัสดุดูมีคุณภาพสูงทุกๆส่วนของภายในตัวรถ
………เริ่มจากก้าวแรกที่ขึ้นรถ มีไฟส่องสว่างใต้เท้าคนขับกับข้างคนขับ จากนั้น
ความรู้สึกแรกเมื่อก้าวขึ้นรถ เฮ้ยเบาะนั่งสบายดีแฮะ
เป็นเบาะกำมะหยี่ที่สัมผัสแล้วนิ่มสุดๆ ไม่เหมือนกำมะหยี่ในรถราคาตลาดล่างกับกลาง โดยเบาะมีขนาดใหญ่มาก นั่งแล้วรู้สึกสบายเหมือนโซฟาห้องรับแขก มีความกระชับของตัวเบาะที่เข้ากับผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ดี ทำให้นั่งแล้วไม่รู้สึกเมื่อยล้า คอนโซลหน้าตั้งแต่บนจรดล่างเป็นโฟมอัดขึ้นรูปหมด กดแล้วนิ่มดีมีคุณภาพ แผงข้างประตูก็มีโฟมอัดรูปกับกำมะหยี่ รวมทั้งเสาด้านหน้ารถและเสากลางแผงบังแดดหน้าทั้งสองด้านซึ่งมีไฟส่องหน้าแสงสวย ก็หุ้มด้วยกำมะหยี่ที่ดูมีคุณภาพสูง ทำให้นั่งแล้วรู้บ่งบอกถึงการออกแบบดีไซด์ที่อบอุ่นของตัวรถ ซึ่งในส่วนนี้เป็นเอกลักษณ์ของคราวน์ในทุกๆรุ่นเท่าที่สัมผัสมา พอบิดสวิทช์กุญแจตำแหน่ง Start ก็ยิ่งทำให้รู้ว่ารถรุ่นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
……….เสียงเครื่องยนต์แทบไม่เล็ดลอดเข้ารบกวนภายในห้องโดยสารเลย…………..
และก็ไม่มีความสั่นของเครื่องเลย แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าติดเครื่องอยู่
อันเนื่องมาจากตัวเครื่องและการดีไซด์ตำแหน่งยางรองแท่นเครื่องต่างๆที่ดี อาจจะฟังดูธรรมดากับรถสมัยนี้แต่อย่าลืมนะนี่คือรถปี 1993 ผ่านการใช้งานมาเป็นแสนกว่ากิโลเมตรแล้วด้วย
พอเปิดแอร์ปุ๊บเย็นปั๊บ ซึ่งเป็นมาตรฐานของคราวน์ทุกรุ่นเลยที่ผมเคยสัมผัสมา คือเย็นจริงๆ ส่วนหนึ่งมาจากคอมแอร์ที่พ่วงมากับเครื่อง ตระกูล JZ ที่มีขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพการใช้งานเลยเย็นเร็วดี และอีกส่วนหนึ่งก็ขอมอบให้กับ Nippon Denso ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพองค์ประกอบรวมที่ดี จึงเย็นเร็วและฉ่ำกว่ารถญี่ปุ่นบางค่ายและรถยุโรป
ฮี่ๆๆ ว่ากันต่อ พอมาสังเกตคอนโซลตรงกลางมีแอร์สวิงด้วย ส่ายไปซ้ายขวาได้ด้วย ว้าวว แอร์ตรงกลางปรับอุณหภูมิและความแรงแบบออโต้ และยังมีปุ่มปรับควบคุมแอร์ตอนหลังได้ด้วย ไฟหน้าก็เปิดปิดแบบอัตโนมัติ มีเบาะไฟฟ้าด้านหน้า ซึ่งปรับได้เรียบเนียน ไม่สะดุด ไม่ดัง เสียงมอเตอร์ของเบาะดูทำงาน ได้ดีกว่ามอเตอร์มีคุณภาพกว่าของรถยุโรปบางรุ่นโดยเฉพาะ Benz ซึ่งทุกรุ่น
จนถึงรุ่น W211 ตั้งแต่ผมนั่งมาทำงานไม่ค่อยจะละเอียด อันนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเจ้า Benz นี่ ขอให้มีคุณภาพในส่วนเล็กๆแบบรถรุ่นอื่นๆบ้างไม่ได้เหรอ รวมทั้งรีเลย์เวลาเปิดไฟเลี้ยว เสียงก็เหมือนรีเลย์ถูกๆฟังแล้วไม่นุ่มหูเหมือน BMW เลย ….อ่าพูดต่อและยังมีปุ่มปรับสวิทช์ควบคุมเบาะไฟฟ้าหลังจากตอนหน้าได้ด้วย
เปิดเก๊ะออกมาปั๊บก็เจอกับปุ่ม On Off เพื่อทำหน้าที่ล๊อค หรือ เปิดปิดฝากระโปรงหลัง ที่ปกติแล้วกดจากแถวแผงคอนโซลซึ่งเป็นปุ่มเปิดปิดกระโปรงหลังแบบไฟฟ้า เมื่อกดปุ่ม On ให้ทำงาน เวลากดปุ่มฝากระโปรงหลังก็จะไม่เปิดให้กันคนขโมยมือดีขโมยเอกสารของผู้บริหารไปมั๊ง
……………อ่าลองสัมผัสด้านหน้าหมดแระ
ลองมานั่งด้านหลังดูบ้าง เข้ามาปั๊ปบ่งบอกได้ทันทีว่ารถรุ่นนี้ตั้งใจทำมาให้ท่านประธาน ผู้บริหารระดับสูงนั่งหลังกัน พอมองแผงด้านข้างประตูหลังมีปุ่มปรับกระจกไฟฟ้าและปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าของที่นั่งด้านหลังอยู่ติดกัน และก็ยังมีที่เขี่ยบุหรี่ทั้งสองฝั่งด้านหลังเวลาเปิดออก จะมีแสงสว่างส่องขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่ารถรุ่นนี้เข้าถึงทุกรายละเอียดเล็กๆน้อยจริงๆ เบาะหลังแบบไฟฟ้าทั้งสองตัวทำงานได้อย่างราบเรียบ และปรับเอนได้ทั้งชุดคือพนักพิงหลังและส่วนรองก้นเบาะ คือทั้งด้านบนและด้านล่าง ถัดมาเป็นแอร์ราว อยู่บนเพดานทั้งซ้ายและขวา ซึ่งเป่าทิศทางกระจายได้ดีกว่าแบบรถยุโรปที่มีช่องเป่าแอร์อยู่ตรงคอนโซลกลางรถ
ที่ตรงคอนโซลกลางจะมีปุ่มควบคุมหลายอย่างเช่น ระบบแอร์ เปิดปิด เร่งความแรงพัดลมรวมถึงอุณหภูมิ และปุ่มควบคุมวิทยุจากด้านหลัง โดยไม่ต้องไปง้อคนขับให้เปิดให้จากด้านหน้า ว้าว ชอบจริงๆ ยังไม่แค่นั้น ด้านหลังยังมีตู้เย็นอีกด้วย
และก็เย็นเจี๊ยบแบบได้ใจจริงๆ เหมือนตู้เย็นบ้านยังไงอย่างงั้นเพราะมีคอยล์เย็นแยกทำงานกับชุดด้านหน้า จึงเป็นชุดตู้เย็นแท้ๆไม่ใช่ใช้แอร์เป่าธรรมดา ในช่องไว้แช่กระป๋องเบียร์ได้สัก 3-4 กระป๋อง
ก็มีหลายๆอย่างเหมือนกันครับที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะของ Crown
ที่ไม่มีรถระดับเดียวกันมีหรือทำมา แม้กระทั้ง Nissan President ซึ่งอยู่ในตระกูลสูงกว่าคราวน์ เทียบชั้น Toyota Century ในสมัยนั้น ก็ยังไม่สามารถทำบรรยากาศห้องโดยสารให้ความรู้สึกโอ่โถง ดูอบอุ่น น่าเข้าไปนั่งและสัมผัสในแบบนุ่มๆในทุกส่วนได้แบบนี้ หรือ S-Class BMW Series7 ในปีเดียวกันนั้นก็ยังไม่มีออฟชั่นบางอย่างที่ผมพูดมาใน Crown ให้เห็น
คราวนี้บรรยายภายในหมดแล้ว ก็เลยเริ่มทดลองขับบ้าง ความรู้สึกแรกคือ Crown เป็นรถที่มีทัศนวิสัยดีมาก ทั้งมุมมองตรงเสาหน้ารถ ความรู้สึกที่มองไปยังกระจกหน้าและด้านข้าง รวมถึงความรู้สึกของมุมมองจากผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ให้ความรู้สึกที่โปร่ง โล่งสบายดีครับ ไม่มีจุดบอดให้เห็น
ลองมาขับบ้าง ตั้งแต่เปลี่ยนเกียร์ N มา D จะรู้สึกว่าช่วงล่างหลังนั้นมีการยุบตัวมาก สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของช่วงล่างซึ่งเป็นปกติของคราวน์รุ่นเก่าๆ จนมาถึงคราวน์รหัสตัวถัง
ปี 1996 เป็นต้นมาที่ใช้เครื่องยนต์รหัส JZ-VVTi ท้ายจะไม่ยุบตัวแล้ว
เพราะมี Sensor กำหนดกล่อง ECU ให้ทำงานในตำแหน่งเกียร์ 2-3 ก่อน แล้วค่อยมาเกียร์ 1
เพื่อให้รถออกตัวได้นิ่มนวลเพิ่มขึ้นและลดอาการกระตุก
และยืดอายุการเฟืองท้ายให้มีการใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย
อ่า เข้าเรื่องต่อ หลังจากเหยียบคันเร่งออกตัว ความรู้สึกแรกที่ได้รับคือ
ตัวรถมีความนุ่มนวลมาก เป็นความนุ่มนวลและความมั่นคงผสมกัน
ในแบบที่ไม่เหมือนรถตลาดทั่วไป หรือรถระดับเดียวกันบางยี่ห้อ ความรู้สึกของคราวน์ ท่านที่สงสัยว่าความรู้สึกในช่วงล่างของคราวน์เป็นอย่างไร ให้ลองนึกถึง รถทัวร์ Scandia คราวน์จะมีลักษณะเหมือนนั่งอยู่บนรถทัวร์ แต่จะมีความนุ่มนวลของช่วงล่างมากกว่าและไม่เวียนหัวเหมือนรถทัวร์ที่ใช้ระบบช่วงล่างแบบถุงลม คราวน์จะเด่นที่ตัวรถ เหินๆ เหมือนพรมวิเศษยังไงอย่างนั้น ถ้าเทียบกับ LS-400
คราวน์จะให้ความรู้สึกนิ่มนวลได้ดีกว่า Lexus ls-400 พอสมควร
การดูดซับแรงสะเทือนก็ทำได้ดีมากในลูกระนาบตัวหนอน แต่ถ้าเป็นข้อต่อตามถนน จะมีความรู้สึกได้ชัดเจนกว่า LEXUS
เมื่อทดสอบอัตราเร่ง จะพบว่าเครื่องยนต์ รหัส 2jz-ge ตัวนี้ มีการทำงานที่นุ่มนวลราบเรียบ และ มีอัตราเร่ง ที่ตอบสนองได้ดีคือขึ้นแบบนุ่มๆ เอาใจผู้บริหาร ไม่ถึงกระชากเหมือนเคริ่อง Turbo
แต่ก็หลังติดเบาะได้เหมือนกัน อัตราเร่งทำได้ดีทุกช่วงความเร็ว โดยที่ใช้รอบเครื่องยนต์ค่อนข้างต่ำ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อขับรถทางไกลด้วยความเร็วสูง
………..ความเร็วสูงสุดที่ Crown ทำได้คือ 220 km/hr…………
โดยตัวรถยังมีความมั่นคงในแบบผสมผสานกับความนุ่มนวลได้อย่างลงตัว
และยังสามารถให้ความมั่นใจได้ทั้งในส่วนของช่วงล่างและพวงมาลัย
โดยทางตรงในความเร็วสองร้อย ยังมั่นใจนิ่งกว่า Benz w124 ในปีเดียวกัน
ในโค้งความเร็วสูง ๆ ตัวรถก็ยังมั่นใจควบคุมได้ดี ส่วนพวงมาลัยพาวเวอร์ในรุ่นนี้ให้ความรู้สึกที่นิ่ง ไม่มีอาการวอกแวกทุกช่วงความเร็ว ความรู้สึกกำลังดี ไม่หนักเกินไปในช่วงความเร็วต่ำหรือเบาเกินไปในช่วงความเร็วสูง ขับแล้วให้ความรู้สึกคล่องตัวเหมือนเป็นรถขนาดเล็ก คือขับแล้วไม่รู้สึกเลยว่าตอนนี้ขับรถขนาดใหญ่อยู่ แรงสะเทือนที่สะท้อนขึ้นมาจากพื้นถนนน้อยมาก ตกหลุม หรือ เจอผิวถนนไม่เรียบจะไม่มีอาการสะบัดหรือสะเทือนจากพวงมาลัยให้รู้สึก คือ ขับแล้วไม่ค่อยรับรู้สภาพของพื้นผิวถนนเท่าไหร่ ส่วนนึงผมคิดว่าอาจจะมาจากแร๊คพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ยังเป็นแบบกระปุกลูกปืนหมุนวน ก็ดีในบางเรื่องครับ ขับแล้วรู้สึกว่าไม่เครียด ส่วนคราวน์รุ่นใหม่ๆที่เป็นพวงมาลัยแบบเฟืองสะพานแล้ว จากการที่เคยขับ ความรู้สึกจากพวงมาลัยจะต่างกันครับ รับรู้อาการมากกว่า และระยะฟรีของพวงมาลัยน้อยกว่า
ในส่วนของระบบช่วงล่างนั้นส่วนนึงก็ต้องยกความดีให้ ช่วงล่างที่เป็นแบบ Double wishbone ปีกนกอิสระ 4 ล้อ
ที่พอยกรถขึ้นดูจะพบว่าล้อหลังเมื่อล้อหลังเริ่มลอยพื้นเพิ่มขึ้นเท่าไหร่จะพบว่าล้อจะทำมุมเป็นมุมแคมเบอร์บวกเพิ่มขึ้นเท่านั้น เพื่อเน้นความนุ่มนวลของช่วงล่าง และเมื่อเวลาตัวล้อแตะพื้นจะเริ่มขยับมาทำมุมแคมเบอร์ลบลงเรื่อยๆเพื่อมีระยะหน้ายางสัมผัสพื้นถนนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าโค้งแรงๆ
ส่วนปีกนกทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีขนาดใหญ่และหนา
บูชปีกนกลูกหมากดูทนทาน ใช้ได้นานหายห่วง โดยส่วนของช่วงล่างของคราวน์รุ่นนี้ มี Platform ที่เป็นแบบ SUB FRAME คล้ายๆรถกระบะ เพราะฉะนั้นความทนทานจึงไว้วางใจได้เลย
โดยที่ความเร็วประมาณ160 ก็ยังรู้สึกเหมือนประมาณ 120 ด้วยความนิ่งของช่วงล่าง และการเก็บเสียงที่ดี พูดถึงเรื่องการเก็บเสียง เป็นรถที่เก็บเสียงได้ดีมาก ทั้งเสียงจากช่วงล่าง เสียงยางบดถนน และเสียงลมปะทะ โดยเสียงลมปะทะเริ่มเข้ามาด้านเสาหน้ารถเมื่อความเร็วเกิน 140 km/hr
ขออนุญาตเทียบกับ Lexus ls400 อีกครั้ง การเก็บเสียงภาพรวมที่เข้ามาในห้องโดยสารมีความเงียบพอๆกันครับ โดยที่ Lexusทำได้ดีกว่านิดหน่อยคือเสียงจากยางที่สะท้อนเข้ามาในห้องโดยสาร
ถ้าจะเทียบคราวน์กับรถฝั่งยุโรป เช่นเทียบกับ E-CLASS ในปีเดียวหรือปีใหม่กว่า หรือแม้กระทั่งใน Benz W211ที่เคยลองขับ คราวน์ก็เก็บเสียงได้ดีกว่ากันพอสมควรเลยทีเดียว ไม่น่าเชิ่อ!!
เรื่องระบบเบรคจากการที่ได้สัมผัสมาช่วงเวลาสั้นๆ คราวน์ มีประสิทธิภาพในการเบรคได้ดีพอสมควร
ความรู้สึกจะไม่เหมือน Toyota รุ่นใหม่ๆอย่าง แคมรี่หรือ wish ที่มีประสิทธิภาพดี เบรคเป็นเบรค จับเป็นจับ ปล่อยเป็นปล่อย แต่ทำงานค่อนข้างแข็ง ไม่นุ่มเท้า แต่คราวน์เองเวลาเหยียบเบรค นุ่มเท้าจริงแต่เบรคค่อนข้างลึกอยู่เหมือนกัน ต้องปรับตัวสักหน่อย ในส่วนของอัตราเร่งโดยรวม หรืออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงรวมถึงประสิทธิภาพของตัวรถโดยรวม
ผมจะขอ testdrive แบบเต็มรูปแบบกับรถที่บ้านผมเอง คือ toyota crown majesta รหัส JZS-177 รุ่นดังภาพอ้างอิงด้านล่าง รอติดตามชมกันนะครับ
Toyota crown เป็นรถที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับทางบริษัท Toyota เป็นอย่างมาก โดยเคยได้ชื่อว่าเป็นรถที่ขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
คราวน์ถือว่าเป็นรถรถยนต์หรูหราขนาดใหญ่ของค่าย Toyota เป็นรองแค่ Toyoa Century ซึ่งเป็นรถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสายพานการผลิตของค่าย Toyota
ซึ่งคราวน์เองสมัยก่อนภาพลักษณ์ของคราวน์จะถูกวางตัวให้เหนือมีระดับกว่า Lexus
โดยเฉพาะ Toyota crown majesta ซึ่ง ในสมัยนั้น Toyota crown majesta ทำมาดึงภาพลักษณ์ให้อยู่เหนือกว่า Toyota Celsior หรือ Lexus ls-400 นั่นเอง
โดยที่อุปกรณ์ต่างๆมีเยอะกว่า Lexus และดูมีคุณภาพกว่า
โดยในสมัยนั้นรุ่น majesta ถูกวางตัวยกระดับให้เทียบชั้นกับ
Jaguar XJ, Mercedes S-Class, Infiniti Q ,BMW series 7
และต่อไปนี้จะเป็นคราวน์รุ่นต่างๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งนับว่ามีประวัติอันยาวนานมาก
และเป็นรถที่มีรุ่นย่อยต่างๆเยอะมาก
โดยในรุ่นที่ผลิตในปีเดียวกัน จะมีรหัสรุ่นย่อยต่างๆอีกหลายรุ่น แบบจำกันไม่ไหวรวมถึงเวอร์ชั่นที่แบบเป็นแวกอนด้วย
โตโยต้า คราวน์ เริ่มผลิตครั้งแรกเป็นรถซีดานใน ค.ศ. 1955 และผลิตเรื่อยมาจนปัจจุบัน รวมวิวัฒนาการรถได้ 14 Generation ซึ่งทุก Generation ของ Crown จะมีตัวถังแบบซีดาน (รถเก๋ง) แต่ตัวถังแบบอื่นก็มีบ้าง แต่เป็นที่รู้จักค่อนข้างน้อย จนในปัจจุบัน ตัวถังแบบอื่นของ Crown ที่ไม่ใช่แบบซีดานถูกระงับการผลิตไปทั้งหมดแล้ว
Generation ที่ 1 (ค.ศ. 1955-1962)
โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า โมเดล RS 20 กับโมเดล S30 เริ่มการผลิตครั้งแรกใน ค.ศ. 1955 โดยในช่วงแรก เครื่องยนต์จะเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็ก 1.5 ลิตร แต่ต่อมาก็มีเครื่องยนต์รุ่นพิเศษ ขนาด 1.9 ลิตร แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังใช้เครื่องขนาด 1.5 ลิตร เป็นมาตรฐานไปจนจนยุคของโฉมใน ค.ศ. 1962
Generation ที่ 2 (ค.ศ. 1962-1967)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 2โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า โมเดล S40 เริ่มผลิตครั้งแรกใน ค.ศ. 1962 โดยในช่วงแรกจะเป็นเครื่องยนต์มาตรฐาน 4 สูบ และปีถัดมา ค.ศ. 1963 toyota crown ก็เริ่มมีเกียร์แบบ AUTO ให้เลือกใช้
แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1965 ก็เริ่มมีการผลิตเครื่องยนต์คราวน์รุ่น M ซึ่งมี 6 สูบ แต่ในโฉมนี้ คราวน์เริ่มมีการผลิตรถแบบ Wagon ซึ่งก็จะผลิตคู่กับคราวน์แบบซีดานต่อไป
โฉมนี้ คราวน์มีความกว้าง ยาว และความดึงดูดใจลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะใน ค.ศ. 1964 ก็เริ่มมีการผลิตรุ่น Crown Eight ใช้พลังจากเครื่องยนต์ V8 2.6 ลิตร
Generation ที่ 3 (ค.ศ. 1967-1971)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 3โฉมนี้ โฉมนี้เป็นที่สนใจของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยเป็นโฉมที่ออกแบบได้สวยหรูหราอย่างลงตัว คลาสสิค โดยใช้รหัสโมเดลว่า S50 โดยโฉมนี้เป็นโฉมที่คราวน์เริ่มมีการผลิตตัวถังแบบ Pick-up (ซึ่งมีใช้กับโฉมที่ 3 เพียงโฉมเดียว) กับ Hardtop Coupe 2 ประตู โดยออกแบบภายในห้องโดยสารให้มีความรู้สึกน่านั่ง และมีเสาวิทยุแบบขึ้นลงด้วยระบบไฟฟ้า รวมถึงกระจกก็เป็นแบบไฟฟ้า รวมถึงที่พักแขนกลาง สามารถยกขึ้นมาหรือพับลงมาใช้เป็นที่เขี่ยบุหรี่ได้ และที่พิเศษสุดๆก็คือ เป็นคราวน์รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบตู้เย็นเข้ามาใช้ในรถภายในห้องโดยสารด้านหลัง ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีค่ายไหนทำมา รถที่คราวน์ผลิตส่งออก จะใช้รถรุ่น 2M ขนาด 2.3 ลิตร โดยในปี 1969 รุ่น4ประตู มีการเปลี่ยนแปลงภายในให้หรูหราขึ้น เช่นเบาะเป็นเบาะหนังสีแดง และในรุ่น 2 ประตู ก็จะมีการ minorchange 2ครั้ง และเป็นคราวน์รุ่นสุดท้ายที่ใช้ชื่อว่า TOYOPET
———————————
Generation ที่ 4 (ค.ศ. 1971-1974)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 4 โฉมนี้ คนไทยนิยมเรียกติดปากว่ารุ่นปลากระโห้ รุ่นนี้เป็นที่นิยมมาก โดยใช้เป็น taxi จำนวนมาก เนื่องจากมีห้องโดยสารที่ใหญ่ โอ่โถง รวมถึงอุปกรณ์ลูกเล่นครบครัน รวมถึงตัวถังและช่วงล่างที่ทนทาน ถือว่าเป็นขวัญใจของชาว taxi โดยเฉพาะในต่างจังหวัด รวมถึงชาวจังหวัดภาคใต้ โดย สมัยนั้นก็มี nissan cedric ,benz รุ่นหางปลา เป็นที่นิยมโดยใช้ในบรรดา taxi แบบ vip แต่คราวน์นี่แหละถือว่าเป็นรถที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดา taxi ระดับลีมูซีนในสมัยนั้น เป็นที่บอกปากต่อปากของคนส่วนใหญ่ เพราะตัวรถมีความแข็งแรง ทนทาน นุ่มนวล และออฟชั่นอุปกรณ์ที่ให้มาในสมัยนั้นถือว่าเยอะกว่ารถยุโรปคลาสเดียวกัน เสียอีก ทำให้คนไทยเริ่มรู้จัก TOYOTA CROWN มากขึ้น และคราวน์ในรุ่นต่อๆ มาก็เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนมีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน
โดยมีรหัสโมเดลว่า S60 กับ S70 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1971 เริ่มมีการผลิตรถทริมแบบ Super Saloon ซึ่งเป็นโฉมสุดท้ายของคราวน์ ที่มีขายในสหรัฐอเมริกา แต่ก็เป็นโฉมแรกที่คราวน์ ผลิตในยี่ห้อรถชื่อ “โตโยต้า” เพราะก่อนหน้านี้ โตโยต้าไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่ใช้ชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์รถว่า “โตโยเพ็ท” (Toyopet) (กล่าวอีกอย่างว่า โฉม 1-3 มีชื่อว่า โตโยเพ็ท คราวน์ พอถึงโฉมที่ 4 เป็นต้นมา จึงจะมีชื่อว่า โตโยต้า คราวน์) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ไฟหน้าจะเป็นวงกลม 2 ดวงต่อข้าง ยกเว้นรถ Hardtop ที่ขายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น จะมีไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยม
โดยคราวน์รุ่นนี้จะมีรุ่นที่เป็น Hardtop Coupe ด้วย จะใช้รหัส ms75 ซึ่งถือว่าออกแบบได้สวยงามขึ้นมากถ้าเทียบกับ Hardtop Coupe โมเดลก่อนหน้านี้
—————————-
Generation ที่ 5 (ค.ศ. 1974-1979)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 5 โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า S80 S90 S100 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1974 และเริ่มส่งออกต่างประเทศใน ค.ศ. 1975 โฉมนี้ เริ่มมีการผลิตรถตัวถังแบบ Hardtop 4 ประตู มีการผลิตรถรุ่นทริมแบบ Royal Saloon ขึ้น โฉมนี้มีทริม 4 ระดับ คือ Standard , Deluxe , Super Saloon และ Royal Saloon
เครื่องยนต์ มีแบบเบนซิน 2.0 กับ 2.6 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตร โดยในโมเดล S90, S100 มีโฉมการดีไซน์คล้ายคลึงกับ TOYOTA CENTURY รุ่นใหญ่สุดในสายการผลิตของ Toyota
——————————
Generation ที่ 6 (ค.ศ. 1979-1983)
—————————-
Generation ที่ 5 (ค.ศ. 1974-1979)
Generation ที่ 6 (ค.ศ. 1979-1983)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 6 โฉมนี้ ใช้รหัสโมเดลว่า S110 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1979 เป็นโฉมสุดท้ายของคราวน์ที่มีการผลิตตัวถังแบบ Hardtop Coupe 2 ประตู , โฉมนี้มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด คือ 2.0 , 2.6 และ 2.8 ลิตร และเป็นโฉมแรกที่มีรถรุ่น “Crown Turbo” แต่ในโฉมนี้ คราวน์ เทอร์โบ มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น
โฉมนี้ รถแบบ Royal Saloon ที่ขายในประเทศญี่ปุ่น กับรถรุ่นแรกๆ ของโฉม จะมีไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยม ส่วนรุ่นอื่นๆ จะมีไฟหน้าเป็นดวงกลม
—————————-
Generation ที่ 7 (ค.ศ. 1983-1987)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 7 โฉมนี้ มีลักษณะเด่นชัดขึ้นจากรุ่นเก่าก็คือ โลโก้มงกุฎจะเป็นสีทอง และเป็นสัญลักษณ์รูปมงกุฎอย่างชัดเจน โดยให้คำจำกัดความของรุ่นนี้คือ FUN TO DRIVE โดยโฉมนี้จะมีรุ่นที่มี SUPER CHARGER มาพ่วงด้วย
คราว์ใช้รหัสโมเดลว่า S120 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1983 มีเครื่องยนต์ที่หลากหลาย เครื่องเบนซินก็จะมี 1G-E 2.0 ลิตร , M-E 2.0 ลิตร SOHC (SOHC = Single Overhead Cam) , M-TE 2.0 ลิตร SOHC , 1G-GE 2.0 ลิตร DOHC (DOHC = Double Overhead Cam) ไปจนถึง 5M-GE 2.8 ลิตร DOHC ส่วนเครื่องดีเซล ก็มี 2L 2.4 ลิตร SOHC กับ 2L-TE 2.4 ลิตร SOHC และในโฉมนี้ ยังมีการเปิดตัวทริมใหม่ คือ Royal Saloon G มาเป็นรุ่นท็อป แทนทริม Royal Saloon
————————
Generation ที่ 8 (ค.ศ. 1987-1991)
รหัส s130 ซึ่งมีรุ่นย่อยคือ ms131, Ms132 ,ms133,GS130, GS131, MS135, MS137, uzs131 ,LS130,LS131
โตโยต้า คราวน์ ตั้งแต่โฉมนี้เป็นต้นไปถึงเกือบโฉมสุดท้าย จะมีรหัสย่อยต่างๆเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ คราวน์ใช้รหัสโมเดลว่า S130 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1987 โดยคราวน์ในรหัสจะมีรุ่นที่เป็น station wagon ด้วย ส่วนรุ่นที่เป็นแบบกระจกเปลือย (HARD TOP) จะมี5รุ่นคือ,GS130,GS131,ms135,ms137,uzs131 โดยแต่ละรุ่นย่อยของตัวกระจกเปลือยจะมีกระจังหน้าและไฟท้าย แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย รวมถึงออฟชั่นภายในและเครื่องยนต์ โดยในบ้านเราที่เป็นรุ่น ms133 จะนิยมเปลี่ยนไฟท้ายแบบใหม่โดยเอาจากรุ่น gs130 มาใส่ เพื่อให้รถดูโฉบขึ้น
ในรถยนต์รุ่นท็อป (Royal Saloon G) จะใช้เครื่อง 1UZ-FE 4.0 ลิตร (เครื่องแบบเดียวกับรถรุ่น Lexus LS400 ส่วนรองๆ ลงมาก็จะมีเครื่องแบบ 7M-GE 3.0 ลิตร DOHC , 1G-GZE 2.0 ลิตร DOHC , 1G-E 2.0 ลิตร DOHC และเครื่องดีเซล อีกคือ 2L-THE 2.4 ลิตร SOHC Turbo Diesel Hi Power , 2L-TE 2.4 ลิตร SOHC Turbo Diedel และ 2L 2.4 ลิตร SOHC โดยจะใช้รหัสนำหน้าว่า LS
โดยโฉมที่ 8โฉมนี้ เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากพัฒนาในตัวรถหลายๆด้าน ทั้งความสวยงามของตัวรถรวมถึงช่วงล่างอิสระทั้ง4ล้อ ที่เป็นระบบดับเบิ้ลวิชโบน ปีกนกคู่อิสระทั้ง4ล้อ จากเดิมอิสระช่วงล่างด้านหน้า โดยทั้งให้ความนุ่มนวลที่ให้สัมผัสได้มากขึ้น รวมถึงการเกาะถนนที่ดีขึ้น รวมถึงความทนทานกับปีกนกทั้ง4ล้อขนาดตัวเขื่อง ออฟชั่นที่เพิ่มขึ้นมาเยอะมากๆ เทคโนโลยีสูงถือว่าเป็นรถที่มีออฟชั่นมากที่สุดในสมัยนั้น เหนือคู่แข่งอื่นๆทั้งรถหรูทางฝั่งยุโรปและรถอเมริกัน โดยเฉพาะในโฉมกระจกเปลือย เริ่มผลิตในปี 1987ซึ่งมีไม่กี่สิบคันในเมืองไทย และเป็นรถที่นักเล่นคราวน์ต่างแสวงหามาเป็นเจ้าของกัน สมัยนั้นเรียกรุ่นนี้ว่า คฤหาสน์เคลื่อนที่ ในบ้านเราที่พอมีให้เห็นก็จะเป็น ms-137
เราลองมาดูกันเล่นๆของตัวรอง top (ตัว top ปี 1987 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ v8 4000 cc)ว่ามีอะไรกันบ้าง ก่อนอื่น ลองนึกถึง ออฟชั่น รถในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า ในปีเท่าๆกันดู ว่าที่ผมกล่าวมารถช่วงสมัยนั้นรุ่นไหนมีออฟชั่นที่ขาดเหลือหรือเกินกว่านี้บ้าง
คราวน์ตัวนี้แตกต่างกันกับ MS-133 ในไทยอย่างเห็นได้ชัดคือ MS-137 จะเป็นกระจกเปลือย คือไม่มีกรอบกระจก รวมถึงกระจังหน้าและไฟท้ายที่มีความสวยงามและลงตัวมากกว่า
ส่วนภายในห้องโดยสารซึ่งแตกต่างกับตัว MS-133 อย่างสิ้นเชิง โดยห้องโดยสารของ MS-137 ดูมีความหรูหราและลงตัวกว่า รวมถึงออฟชั่นที่เยอะกว่าตั้งแต่เปิดประตูห้องโดยสาร พวงมาลัยแบบไฟฟ้าจะเลื่อนขึ้นอัตโนมัติ
LCD Screen/TV ซึ่งเป็นระบบ Touch screen สามารถดู TV วิเคราะห์และรายงานผลเครื่องยนต์ผ่านระบบ LCD , ปุ่มปรับลำโพง และยังเป็น Navigation ได้อีกด้วย รวมถึงชุดเครื่องเสียงระดับ hi end เป็นแบบ 8 speaker stereo system เครื่องเล่นมีทั้งแบบ CD และแบบ Tab
……….รวมถึงระบบแอร์ที่เป็นระบบ SWING ส่ายไปมาได้ด้วย และยังมีรีโมทคอนโทรลที่ให้มาควบคุมชุด LCDได้อีกด้วย
……..ไมล์หน้าปัดเป็นแบบดิจิตอล ปรับได้สองแบบ คือแบบสองมิติกับสามมิติ
รวมถึงระบบช่วงล่างที่โช๊คระบบไฟฟ้าซึ่งสามารถปรับค่าความแข็งอ่อนของตัวรถได้ด้วย
เบาะเป็นแบบปรับไฟฟ้าทั้งข้างหน้าและหลัง รวมถึงมีปุ่มปรับเครื่องเสียงและแอร์ตรงกลางคอลโซลกลางได้อีกด้วย แอร์ด้านหลังจะเป็นระบบแอร์ราวติดตั้งบนเพดานด้านข้างทั้งสองฝั่ง ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิแบบอัตโนมัติได้จากปุ่มนี้ และคราวน์รุ่นนี้ก็ยังมีตู้เย็นบนด้านบนที่นั่งด้านหลังอีกด้วย
รวมถึงไฟหน้าแบบอัตโนมัติและ Park sensor เปิดฝากระโปรงท้ายและฝาถังน้ำมันแบบไฟฟ้า
เครื่องยนต์ตัวนี้เป็นแบบ 7M-GE 3.0 ลิตร ให้อัตราเร่ง (0-100 km in 7.6 secs)
ส่วนคราวน์ที่เห็นในรูปคือรุ่น top ซึ่งมีรหัสว่า uzs-131 เป็นเครื่องยนต์ v8 ซึ่งกระจังหน้าและไฟท้ายจะแตกต่างกัน รวมถึงออฟชั่นภายในที่เพิ่มขึ้น
รุ่นที่เป็นแบบ Station wagon
—————————-
Generation ที่ 9 (ค.ศ. 1991-1995)
รหัส S140 มีรุ่นย่อยคือ JZS131, JZS133, JZS, 135, JZS141,JZS143, JZS145, JZS147, JZS149, UZS141, UZS143, UZS145, UZS147, LS141
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 9 เป็นอีกรุ่นนึงที่ได้รับความนิยม โดยมีรุ่นที่ยังเป็นบอดี้เดิมคือ JZS 131 โดยเป็นเพียงแต่เครื่องยนต์เป็นแบบรุ่นใหม่คือ 1jz-ge 2500 cc ฝาขาว ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายที่รูปทรงยังคงเหมือนบอดี้รุ่นก่อนอยู่ และเริ่มมีรุ่นพิเศษที่ up gradeมาจากรุ่นปกติมีชื่อว่ารุ่น Majesta โดย Majesta จะเริ่มผลิตหลังจากรุ่นธรรมดาออกการจำหน่ายไปแล้ว 1 ปี โดยครั้งแรก Toyota Crown Majesta เริ่มผลิตในปีในปี 1991 มีรหัสที่อยู่ในรุ่น Majesta คือ (JZS147, JZS149, UZS141, UZS143, UZS145, UZS147)
ในรุ่น Majesta นั้น ถือว่าเป็นรถที่เป็นหัวขั้วที่แยกออกมาจากรุ่นปกติอีกระดับนึง โดยมีมิติของขนาดตัวถังรถ ทั้งความยาว ความกว้าง และความสูง ที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ และช่วงล่างต่างๆรวมถึงเครื่องยนต์และ
ออฟชั่นที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นธรรมดา ซึ่งเป็นรถที่มีระดับที่เทียบเท่า Jaguar XJ, Mercedes S-Class, Infiniti Q BMW series 7 ซึ่งมีออฟชั่นบางอย่างที่เหนือกว่าคู่แข่งอีกระดับในปีเดียวกัน เช่นเบาะหลังนวดไฟฟ้า เป็นเบาะนวดที่สามารถกดจุด บีบ นวด คลึงได้ และระบบอุ่นเบาะ , มี GPS navigation และยังมีระบบ Head-up display รวมถึง ช่วงล่างที่มีการใช้ระบบ AIR-SUSPENSION ในและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4WDi-Four i-Four active suspension 4WS ในรุ่น uzs145 ของ majesta อีกด้วย ออฟชั่นที่กล่าวมานี้จะอยู่ในมาเจสต้าในเจเนเรชั่นถัดๆไปอีกด้วย
ส่วนรุ่นรองลงมาที่ไม่ใช่รุ่น Majesta ยังใช้ platform เดียวกันกับโมเดล S130 โฉมนี้ ใช้รหัส S130 Facelift กับ S140 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1991 และในโฉมนี้ คราวน์เริ่มมีการผลิตรถรุ่น Majesta ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดในรุ่น คล้ายคลึงควบคู่กับทริมแบบ Royal Saloon G ซึ่งเป็นกระจกเปลือยเหมือนกัน
ดังภาพด้านบน
โฉมนี้ในเครื่องยนต์เบนซินมี 4 ขนาด คือ 2.0L 1G-FE, 2.5L 1JZ-GE และ 3.0L 2JZ-GE ลิตร รวมถึง 4.0 uz-fe ในตัว majesta ส่วนดีเซล จะมี 2.4L 2L-TE
—————————
Generation ที่ 10 (ค.ศ. 1995-1999)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 10 โฉมนี้ ใช้รหัส S150 โดยมีรุ่นย่อยคือ GS151, GS151H, LS151, LS151H, JZS151, JZS153, JZS155, JZS157, UZS151, UZS155, UZS157
เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1995 เป็นโฉมสุดท้ายที่มีการผลิตแบบ Hardtop 4 ประตู โดยหลักๆของโฉมนี้จะมีรุ่นที่รูปโฉมซึ่งแตกต่างกันอยู่ 3แบบ ขึ้นอยู่กับรหัสย่อยในรุ่นนั้นๆ โดยจะมีรุ่น majesta เป็นเจเนเรชั่นที่ 2 โดยใช้รหัสย่อยคือ JZS155, UZS151, UZS155, UZS157
โดยจะมีรุ่น Crown comfort และ crown SUPER DELUXE MILD HYBRID ซึ่งเป็นรุ่นที่นิยมของ taxi VIP ของญี่ปุ่น ดังภาพด้านล่าง
และนอกจากนี้ ยังมีการเริ่มผลิตรถคราวน์ในสไตล์สปอร์ตในชื่อทริม Royal Touring และ Royal Extra ซึ่ง Royal Saloon กับ Royal Extra จะมีเครื่องแบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้เป็นตัวเลือกคู่กับแบบขับเคลื่อน 2 ล้อทั่วไป
โดยรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยคือรุ่นที่เป็นรหัส JZS 155 ซึ่ง หลังจากไมเนอร์เชนจ์แล้วจะรุ่นเป็นกระจกเปลือยที่มีการเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกให้ดูสวยงามขึ้น แต่ยังคงใช้ flat from เดิม รวมถึงภายในห้องโดยสารที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เครื่องยนต์มีให้เลือก 2 ตัว คือ 2.0 L กับ 3.0 L ดังภาพ ด้านบน
โดย Crown Generation นี้มี เครื่องยนต์มี 4 ขนาด คือ 2.0L 1G-FE VVT-i, 2.5L 1JZ-GE VVT-i และ 3.0L 2JZ-GE VVT-i รวมถึง 4.0L uz-fe , 4.0L uz-fe VVT-i ในตัว Majesta ส่วนดีเซล จะมี 2.4L 2L-TE และนอกจากนี้เครื่องยนต์ออกแบบมาให้ใช้กับ LPG คือตัวเครื่อง 2 .0L 1G-GPE
————————-
Generation ที่ 11 (ค.ศ. 1999-2003)
Royal Saloon
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 11โฉมนี้ ใช้รหัส S170 โดยมีรหัสย่อยคือ GS171, JZS171, JZS173, JKS175, JZS175, JZS179 JZS177, UZS171, UZS173, UZS175
เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1999 โฉมนี้ สเกิร์ตหน้าจะหดสั้นลง และพื้นที่ในห้องโดยสารและสเกิร์ตหลังที่ใช้บรรจุของจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยมีรุ่น Royal Saloon ซึ่งจะมีเวอร์ชั่น 4wd ในรุ่น Royal Saloon four, Royal Extra four และมีการเปิดตัวทริมใหม่ คือ Athlete ซึ่ง Athlete จะมีแบบทั้ง Sedan และ Estate
และโฉมนี้จะเป็นโฉมสุดท้ายที่คราวน์ผลิตรถแบบ Wagon
Estate
โดยรุ่น MAJESTA GENERAION ที่3 จะมีรหัสของรุ่นคือ JZS177, UZS171, UZS173, UZS175
ซึ่งในเวอร์ชั่นที่เป็น มาเจสต้าของทุกๆโฉม ระบบช่วงล่าง ปีกนกบนล่าง บูชปีกนก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ไม่สามารถใช้กับรุ่น ปกติได้ แต่ยังใช้ Platfrom ร่วมกันอยู่
ในส่วนของขนาดเครื่องยนต์ มีให้เลือก4ขนาด คือ 2.0L 1G-FE VVT-i , 2.5L 1JZ-VVT-i , 2.5L 1JZ-fse, 2.5L 1JZ-GTE , 3.0L 2JZ-VVTi , 3.0L 2JZ- FSE , 1UZ-FE VVTi
——————–
Generation ที่ 12 (ค.ศ. 2003-2008)
โฉมนี้ ใช้รหัส S180 โดยมีรุ่นย่อยคือ GRS180, GRS181, GRS182, GRS183, GRS184, UZS186, UZS187 เริ่มผลิตใน ค.ศ. 2003 มีคอนเซปต์การผลิตว่า Zero Crown โดยเปลี่ยนแปลงรูปโฉมจากคราวน์รุ่นก่อนๆที่เป็นทรงเหลี่ยมๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคราวน์มาโดยตลอด มาเป็นรูปทรงที่มีความโค้งมนของตัวรถ ตามสไตล์รถปัจจุบัน โดยมีรุ่น royel saloon และมีการเปิดตัวทริมใหม่ คือ Athlete โดยจะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของกระจังด้านหน้าและไฟท้ายด้านหลัง สปอยเลอร์ ล้ออัลลอย และรวมถึงภายในห้องโดยสารดังรูปด้านล่าง
Athlete
ในส่วนของรุ่น Majesta ซึ่งเป็น เจเนเรชั่นที่ 4 นั้น จะใช้รหัส UZS186, UZS187
Majesta
โดยตั้งแต่โฉมนี้ขึ้นไปมีเครื่อง 4 ขนาด คือ 2.5L 4GR-FSE V6 , 3.0L 3GR-FSE V6 , 3.5L 2GR-FSE V6
และ 4.3 L 3UZ-FE vvti V8 ในรุ่น มาเจสต้าขับเคลื่อน 4 ล้อ
——————————-
Generation ที่ 13 (ค.ศ. 2008-ปัจจุบัน)
โตโยต้า คราวน์ โฉมที่ 13 โฉมนี้ ใช้รหัส S200 โดยจะมีรุ่นย่อยคือ GRS200,GRS201, GRS202, GRS203, GRS204 เริ่มผลิตเมื่อไม่นานมานี้ใน ค.ศ. 2008 และถูกนำมาจัดแสดงในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ซึ่งคราวน์โฉมนี้ มีตัวถังแบบเดียวคือแบบซีดาน Royal Saloon รวมถึงโฉม Athlete นอกจากนี้ยังมี การผลิต Toyota Crown-Hybrid ออกมาจำหน่ายอีกด้วย
Royel Saloon
ในปี 2009 มีการเปิดตัว Toyota Crown Majesta เป็นเจเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งรุ่นนี้บรรจุเทคโนโลยีไฮเทคใหม่ๆเข้ามาอีกเพียบ เช่น G-book mX pro ระบบนำทางอัจฉริยะ ระบบ rear-seat center airbag. ซึ่งติดตั้งเป็นรายแรกของโลก ระบบ Pre-Collision System (PCS) Front-side Pre-crash safety system, โดยใช้ระบบเรดาร์
ในส่วนของเครื่องยนต์จะมีให้เลือก 2 ขนาด คือเครื่องยนต์
1UR-FSE d-4s VVT-IE v8 ขนาด 4.6 ลิตร ทวินแคม 32 วาล์ว ซึ่งเครื่องตัวนี้จะมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 8 จังหวะ 380 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 51 kg•m ที่ 4,100 รอบ/นาที
และเครื่อง 3UZ-FE vvt-i v8 ขนาด 4.3 ลิตร ทวินแคม 24 วาล์ว ซึ่งจะมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทวินแคม 24 วาล์วในรหัส 3UZ-FE 4,300 ซีซี 280 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 43.8 kg•m ที่ 3,400 รอบ/นาที
……….
—————————–
สำหรับ คราวน์ ในตลาดรถมือสอง เป็นรถที่หาสภาพดีๆได้ไม่ยาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นลูกน้องขับและเจ้านายนั่ง จึงจะเห็นคราวน์ส่วนใหญ่ใช้แบบถนอมและรักษาดูแลอย่างดี
อะไหล่ของตัวถังและเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกเยอะ เพราะ คราวน์ถูกนำเข้ามาเอง โดย Toyota Motor Thailand ซึ่งก็จะมีการเก็บสินค้าบางตัวไว้ในสต๊อกอยู่แล้ว
ยกเว้นอะไหล่บางตัวที่ไม่ค่อยเสียหาย จะต้องสั่งนำเข้ามาจากญี่ปุ่น
โดยราคาอะไหล่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลย ยกเว้นจะเอาคราวน์เข้ามาในรูปแบบบริษัทนำเข้ามาขายเอง เช่น TOYOTA CROWN MAJESTA พวกนี้ถ้าจะมาสั่งอะไหล่จากตัวแทน ดีลเลอร์ บริษัท TOYOTA หรือเข้ามาซ่อม จะเสียค่าอะไหล่และค่าแรงค่อนข้างแพง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะส่วนใหญ่คราวน์ที่เข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย 90% คือคราวน์รุ่นปกติที่นำเข้ามาเองโดย Toyota Motor Thailand
เรื่องอะไหล่อย่างที่เรียนให้ทราบ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ คราวน์มีเครื่องยนต์หลากหลายรุ่นมาก
ซึ่งบางรุ่นเป็นเครื่องสหกรณ์ของโตโยต้าเอง เช่นเครื่อง jz-ge หรือ uz-fe ก็มีขายกันเกลื่อนตามท้องตลาดเชียงกง ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเครื่องยนต์ รวมถึงอะไหล่ส่วนใหญ่ ก็มีอะไหล่บางชิ้นเท่านั้นที่ต้องสั่งจากโตโยต้า หรือ ตาม วรจักร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอะไหล่ภายในห้องโดยสาร….
ในบ้านเราเอง ถ้านึกถึงรถญี่ปุ่นระดับหรู น้อยคนนักที่จะรู้จัก Toyota Crown ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถสำหรับผู้บริหารตามบริษัท หรือองค์กรต่างๆ รวมถึงเป็นรถสถานทูตที่มีมานานแล้ว
โดยส่วนใหญ่รถระดับราคาเกินล้านผู้สนใจในยานยนต์หรือผู้บริโภคจะทำความรู้จักหรือให้ความสนใจรถจากฝั่งยุโรปมากกว่า ซึ่งที่จริงแล้วรถญี่ปุ่นเองก็มีรถหรูราคาแพงที่ทำมาเทียบเท่าจากฝั่งยุโรปหรืออเมริกา โดยที่ประสิทธิภาพเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน และดีกว่าด้วยซ้ำในด้านเทคโนโลยีบางอย่าง อาจจะเป็นเพราะค่านิยม ภาพลักษณ์ หรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์การออกแบบในบางรุ่นหรือบางยี่ห้อของรถญี่ปุ่นที่ยังดูไม่หรูหรา ภูมิฐานดูมีเอกลักษณ์เท่ารถจากฝั่งยุโรปบางรุ่น
เลยทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ยังไม่ทราบแล้วมาทราบภายหลัง อาจคิดว่าเนี่ยนะรถยนต์ราคาแพงจากญี่ปุ่น หรือ เฮ้ย รถญี่ปุ่นคันนี้นี่อะนะราคาหลายล้าน เพิ่งรู้นะเนี่ย
แต่ถ้าผู้บริโภคที่เคยสัมผัสคราวน์แล้ว รวมถึงผู้บริโภคทั่วโลกที่มีคราวน์นำเข้าไปจำหน่าย
ก็จะทราบถึงความเป็นยนตรกรรมระดับโลก ของ Toyota Crown นั่นเอง…
——————————–
โดย เอกภาพ เศวตบดี (THE JOE)
———————————
คุณเอกภาพ ส่งบทความนี้มาให้ผม ในรูปแบบวางเรียงมาให้เสร็จ
อันเป็นการสร้างความลำบากในการนำลงในเวบไซด์ค่อนข้างมาก
แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เราก็เอาลงจนได้อยู่ดี
ขอเรียนให้ทราบว่า ท่านที่จะส่งเรื่องมานั้น กรุณาทำอย่างนี้ครับ :-
– พิมพ์เรื่อง แล้วระบุในวงเล็บว่า แทรกรูปที่ 1,2 หรือ 3 หรือเบอร์อะไร
-เก็บเป็นแฟ้มหนึ่ง ที่มีเฉพาะเนื้อเรื่อง
-อีกแฟ้มหนึ่ง รูปครับ ย่อมาให้เลยก็ดี ไม่เกิน 800 pixels X 600 pixels นะครับ
-ส่งทั้งสองแฟ้มมาได้เลยครับ ผมจะนำมาลงให้เอง อย่างไม่ต้องผิดเพี้ยนด้วย..เอ้า!!
ขอขอบคุณคุณเอกภาพ เศวตบดี ไว้ ณ ที่นี้ครับ ในความเอื้อเฟื้อ
ส่วนท่านอื่น เรา www.caronline.net กำลังรอท่านอยู่นะครับ
เราเปิดโอกาสให้ท่านได้แสดงฝีมือครับ ไม่มีการกีดกัน หรือแสดงภูมิรู้ของเราข่มท่านเลย แม้แต่น้อยนิด
เชิญครับ
ขอบคุณสำรับข้อมูลดีๆ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณค้าบบ ผมใช่คราวน์ปี 1976 วาง 1jz turbo ครับ สุดยอดดดดด