Review :Test Drive ทดลองขับ HONDA JAZZ HYBRID :โดยธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
คอลัมน์ผู้หญิงขับรถคราวนี้ก็เป็นทดลองขับ Honda Jazz Hybrid
Honda Jazz Hybrid เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่เมืองไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา และแล้วก็ถึงเวลาที่ทางบริษัท ฮอนด้าออโตโมบิล ประเทศไทยจำกัด ได้ให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับกัน
Honda Jazz Hybrid เป็นรถยนต์Hybrid รุ่นแรกในกลุ่มซับคอมแพคท์ที่เปิดตัวในประเทศไทย
เราก็มารู้จักรถรุ่นนี้กันก่อนดีกว่านะคะ
Honda Jazz Hybrid เป็นไฮบริดแบบIMA ( Integrated Motor Assist)ของฮอนด้า ซึ่งฮอนด้าเลือกใช้ระบบไฮบริดแบบคู่ขนาน (Parallel Hybrid) ซึ่งผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน เนื่องจากระบบไฮบริดแบบคู่ขนานไม่ซับซ้อน จึงทำให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา
โดยออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดบาง และชุดควบคุมอัฉริยะหรือ IPU (Intelligent Power Unit ) ที่มีขนาดกะทัดรัด หรือมีน้ำหนักเบา
ฮอนด้าแจ๊สไฮบริด น้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า แจ๊สธรรมดา 70 กิโลกรัม โดยด้านหน้าเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า และด้านหลังเพิ่มขึ้น 60 กิโลกรัมซึ่งเป็นชุด IPU และแบตเตอรี่ไฮบริด
Jazz Hybrid เป็นรถเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1,300 ซีซี เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 121 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 14 แรงม้าที่ 1,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุดที่ 78 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที
โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัวและเร่งแซง
เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Mode (Electric Vehicle Mode) คือการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะไม่มีการปล่อยคาร์บอนมอน็อกไซด์ออกมา
ช่วงลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไปในขณะเบรกเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับไปสู่แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ต่อไป (อันนี้เราจะเห็นบนหน้าจอ ขณะขับขี่)
เมื่อรถหยุดเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติ และเข้าสู่โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดมลพิษ
ภายในห้องโดยสารมีทั้งระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน Eco Assist โดยมีปุ่ม Econ
ระบบหน้าจอแสดงข้อมูล MID(Multi Information Display) โดยจะแสดงการตั้งค่ารูปแบบต่างๆของการใช้งาน การทำงานของไฮบริด คะแนนของระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมันโดย ดูพฤติกรรมการขับขี่ของเราได้ที่นี่ รวมทั้งแสดงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน พร้อมสวิทช์ควบคุมระบบนี้บนพวงมาลัย
นอกจากนี้ยังมีระบบเครื่องเสียงที่สามารถเล่นวิทยุ-ซีดี MP3ได้ 1 แผ่น แบบโมดุล พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUXมีสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และถุงลมนิรภัยคู่หน้า
เข้าสู่ช่วงของการลองขับเลยดีกว่านะคะ โดยทางฮอนด้าได้นัดพบกันที่ ศูนย์อบรมบริษัทฮอนด้าออโตโมบิล(ประเทศไทย)จำกัด ที่บางชัน เวลา 9.00 น. ของเช้าวันที่ 6 สิงหาคม ซึ่งเช้าวันนั้นทัองฟ้าสลัวๆไปด้วยเมฆฝนที่ตกมาตั้งแต่เมื่อคืนวันอาทิตย์ถึงเช้าวันจันทร์ แต่ฝนยังไม่ตก และก็โชคดีที่วันนั้นไม่เจอฝนเลย
ก่อนการขับขี่ก็มีการบรรยายสรุปเกี่ยวกันรถฮอนด้า แจ๊สไฮบริด และเส้นทางการขับรถ โดยเส้นทางในการขับครั้งนี้จากศูนย์อบรมฮอนด้า ถึงเมกาบางนา ระยะทางทั้งสิ้น 118 กิโลเมตร ก็เป็นการวิ่งอ้อมเมืองทั้งทางรถติดและทางด่วน
โดยมีคุณสมภพ ปฏิภานธาดา ผู้จัดการส่วนงานการตลาด บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย)จำกัดเป็นผู้ให้ข้อมูลรถยนต์
คุณศิริพร ศรีสุข ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์
คุณศศิวรรณ ทองดีเลิศ ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ เป็นผู้กล่าวต้อนรับสื่อมวลชน
ผู้เข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ 12 คน รถมีจำนวน 4 คัน ก็แบ่งกันไปคันละ 3 คน
แต่คันที่ดิฉันไปด้วย นั่งไปกันทั้งหมด 4 คน เพราะมีช่างกล้องโทรทัศน์ไปด้วย เท่ากับมีผู้ชาย 3 คนแต่ละคนความสูงประมาณ 175 ซม. แถมน้ำหนักน่าจะคนละเกือบ แปดสิบกิโลกรัม
การเดินทางขาไปดิฉันก็นั่งข้างหลังด้านคนขับที่สูง 176 ซม. ก็นั่งสบายไม่อึดอัด และมีคุณระวิพล สุวรรณผ่อง จากรายการอะไรก็จำไม่ได้แล้ว(ขออภัยด้วยค่ะ)นั่งไปด้วยซึ่งเป็นคนค่อนข้างสูงใหญ่ ก็บอกว่านั่งได้ไม่อึดอัด
การเดินทางครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คนขับ 3 คน โดยไม้หนึ่งเป็นคนขับก่อน ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีความสูง 176 ซม.
เมื่อออกจากฮอนด้าบางชัน ก็มีการ เซ็ท 0 และอยู่ในหมวด Econ mode
โดยเส้นทางแรกจากศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้าบางชันก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าถนนเสรีไทยก็จอดติดไฟแดง ซึ่งในครั้งแรกนี้รถยังไม่เป็น Idling stop เครื่องยังติดอยู่ อาจเป็นเพราะเพิ่งออกจากโรงงานฮอนด้าได้นิดเดียว การขับเคลื่อนยังเป็นพลังงานจากเครื่องยนต์ เมื่อไฟเขียว ก็ออกตัวเป็นการใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ก่อนหลังจากนั้นก็เป็นพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกัน ดิฉันนั่งด้านหลังคนขับแต่คอยชะเง้อดูอยู่ เพราะถ้าเวลาขับเอง เราคงต้องสนใจบนถนนมากกว่าคอยจ้องดูที่หน้าปัดรถ
แต่พอถึงด่านจ่ายเงินทับช้างต้องเหยียบเบรกรถต้องจอดนิ่ง ตอนนี้เครื่องยนต์ตัดการทำงานทุกอย่างเป็น idling stop
เมื่อเป็นระบบIdling stop ระบบแอร์จะหยุดทำงานแต่ไม่เกิน 90 วินาที และเซ็นเซอร์ก็จะประมวลจากสภาพแวดล้อมต่างๆด้วยถ้าอุณหภูมิภายนอกและภายในแตกต่างกันมากเครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานตามปกติ แต่ในช่วงนั้นรถคันนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 25 องศา อากาศด้านนอกไม่ร้อน แอร์ก็เลยยังไม่ทำงาน และเมื่อยกเท้าจากเบรกเครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาทันที
ซึ่งเครื่อยนต์ทำงานราบเรียบ ไม่รู้สึกเลยว่าเครื่องติดขึ้นมา แล้วเราก็เดินทางไป เฟสติวัลวอล์ค ถนนนวมินทร์ โดยเข้าถนนเสรีไทยไปเข้ากาญจนาภิเษกเข้ากรุงเทพโดยมุ่งหน้าทางด่วนรามอินทราไปทางลงเกษตรนวมินทร์ ซึ่งบนทางด่วนการจราจรรถค่อนข้างเยอะเพื่อไปทำกิจกรรมเพ้นท์สีบนกระถางต้นไม้
ช่วงที่ 2ก็ขับจากเฟสติวัลวอล์ค ไปออกทางวิภาวดีรังสิต เพื่อออกทางด่วนดินแดง ไปที่เมกาบางนาไปเพื่อประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Gustoso
ช่วงที่ 3 จากเมกาบางนา หลังจากรับประทานอาหารแล้วก็ถึงคิวดิฉันแล้วเป็นคนขับ เมื่อขึ้นที่นั่งก็ปรับเก้าอี้ ซึ่งใช้มือเลื่อน ส่วนที่นั่งที่ต่ำเกินไป ก็ใช้มือโยกตัวโยกที่อยู่ด้านข้าง ให้ที่นั่งสูงขึ้นมา
จับพวงมาลัยครั้งแรกก็รู้สึกเบาไปหน่อย เพราะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า ขับไปสักพักก็รู้สึกว่าหนืดขึ้น แล้วเมื่อเหยียบคันเร่ง ก็จะเห็น สองระบบทำงานประสานกันเลยคือพลังงานจากเครื่องยนต์และจากมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งการออกตัวก็นิ่มนวลดีทีเดียว เมื่อเหยียบคันเร่งความเร็วก็มาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวิ่งไปสักระยะหนึ่งลองปล่อยเท้าจากคันเร่ง ก็จะพบว่า มีการชาร์จไฟจากมอเตอร์ไฟฟ้ากลับไปที่แบตเตอรี่โดยดูจากหน้าจอ โดยไม่มีพลังงานจากเครื่องยนต์เลย
การเข้าโค้งเกาะถนนได้ดี อัตราเร่งแซงดีทีเดียวเพราะได้กำลังทั้งจากเครื่องยนต์ และจากพลังมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยกัน และเกียร์ CVT ทำงานอย่างนิ่มนวลพละกำลังมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่ถนนโล่ง ก็ได้ลองความเร็วที่ประมาณ 140 กม./ชม ไม่ได้ลองความเร็วสูงสุด
รถคันนี้ ระบบบเบรกหน้าเป็นดิสท์เบรก หลังเป็นดรัมเบรก ขนาดล้อ 15 นิ้ว ยางที่ใช้ขนาด 175/65 R 15 มีระบบป้องกันล้อล็อค(ABS) และระบบกระจายแรงเบรก(EBD) ระบบเบรกมั่นใจได้ ดูจากการเบรกกะทันหันของคนขับคนแรกที่มีรถมาปาดหน้า เรียกว่าเบรกเอาอยู่
ในรถไม่มียางอะไหล่ แต่ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะมีอุปกรณ์อุดการรั่วซึมของยางชั่วคราว ( TPRK) แล้วค่อยขับไปหาร้านปะยาง
ราคาก็ 768,000 บาท ได้คืนภาษีรถคันแรก 57,700 บาท ส่วนสีขาวได้คืนเพิ่มอีกนิดหน่อย เพราะสีขาวมุกเป็นสีพิเศษ ถ้าเลือกสีนี้ต้องเพิ่มอีก 10,000 บาท
ส่วนการรับประกัน ทางฮอนด้ารับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบเป็นเวลา 5 ปีโดยไม่จำกัดระยะทางซึ่งประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุม แบตเตอรี่ไฮบริดและระบบสายไฟไฮบริด
ตัวรถยังรับประกันเหมือนเดิมคือ 3 ปี 100,000 กม.
รถคันนี้เติมได้ทั้ง เบนซิน 91 จนถึง แก๊สโซฮอลล์ E 20 ถังน้ำมันจุได้ 40 ลิตร
คันที่ขับ กินน้ำมัน 18.7 กิโลเมตรต่อลิตร นั่งไปด้วยกัน 4 คนเต็มอัตรา บางช่วงก็ได้ขับความเร็วไปถึง 120 และ140 ซึ่งการขับรถในครั้งนี้ก็ขับแบบที่เคยขับใช้งานตามปกติ เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันทีเดียว
ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ รถคันนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งค่ะ
ลองไปขับดูก่อนนะคะ มีรถให้ลองขับทุกโชว์รูม
ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา