หากนึกถึงรถในกลุ่มอีโคคาร์ที่มีการประหยัดน้ำมันมากสุดตามตัวเลขจากโรงงานที่ให้มานั้นถึง 22 กิโลเมตรต่อลิตรก็ต้องนึกถึงมิตซูบิชิ มิราจ ซึ่งเป็นรถในแบบ 5 ประตูหรือ แฮทช์แบ็ค หลายคนก็เฝ้ารอว่าแบบซีดาน 4 ประตูจะมาเมื่อไหร่ซึ่งหลังจากมีการเปิดตัวขึ้นผมก็ได้มีโอกาสได้ร่วมทดสอบด้วย
การทดสอบครั้งนี้เราใช้เส้นทางจังหวัดนครพนม-อุดรธานี เลาะเลียบริมฝั่งโขงกับระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร นั่งนกแอร์ไปลงนครพนมในช่วงเช้าตรู่ ลงเครื่องปุ๊ปก็มีขบวนรถ แอททราจเรียงรายรออยู่ ยังครับตอนนี้ทำได้เพียงเป็นผู้โดยสารก่อนเพราะต้องมุ่งหน้าไปยังโชว์รูมมิตซูบิชิ ชาญมอเตอร์เซลล์ นครพนมเพื่อฟังบรรยายทั้งข้อมูลตัวรถและเส้นทางที่จะใช้ในครั้งนี้
ทางทีมงานเตรียมรถไว้ทั้งหมด 8 คันครั้งนี้ผมได้ขับตัวท็อปเกียร์อัตโนมัติพร้อมอุปกรณ์ในรถที่ทางมิตซูบิชิอัดเข้ามาเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น เนวิเกเตอร์รุ่นล่าสุดพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส กล้องมองหลัง ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เบาะหนัง
การเดินทางในช่วงแรกเราขับกันเป็นแบบคาราวานมุ่งหน้าสู่ ตำบลบ้านแพง เพื่อเข้าเยี่ยมชมกิจการของมิตซูบิชิบ้านแพงซึ่งเป็นโชว์รูมอีกรูปแบบที่จะกระจายเข้าไปให้ถึงแหล่งชุมชนมากขึ้น ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตรในช่วงนี้จึงจัดให้ขับแบบ อีโครันหรือประหยัดน้ำมันเพื่อจะได้รู้กันไปว่าประหยัดน้ำมันมากน้อยแค่ไหน ก่อนออกตัวก็ดูตัวเลขหน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 กิโลเมตรต่อลิตร ระหว่างเส้นทางนั้นมีทั้งทางราบเรียบ มีเนินบ้างแต่ไม่ถึงสูงชันอะไรมากแถมยังมีฝนโปรยปรายมาเป็น ระยะๆ ความเร็วที่คาราวานใช้กันนั้นประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเปิดแอร์ตลอด ใช้เวลาพักใหญ่ก็เดินทาง ถึงโชว์รูมบ้านแพงและแวะเติมน้ำมันกัน แต่น่าเสียดายอยู่หน่อยที่ทางทีมงานไม่ยอมแจ้งตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองให้เพวกผมได้รู้กันแต่เท่าที่รู้ตัวเลขมันดีเกินไปเลยกล้าบอก ส่วนหน้าจอเฉลี่ยนั้นจาก 12 ก็ขึ้นมาเป็น 18 กิโลเมตรต่อลิตรก็นับว่าประหยัดใช้ได้อยู่นะครับ
ออกจากบ้านแพง นครพนม ก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดน้องใหม่นั้นคือ จังหวัด บึงกาฬ เพื่อแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันช่วงนี้ปล่อยให้ขับกันแบบตามใจบ้างขึ้นรถได้กดปุ่มสตาร์ตออกตัวกันไป การกดคันเร่งนั้นลื่นไหลดีคันเร่งนิ่มเบาเหยียบสบายเท้า การตอบสนองของคันเร่งทำได้ไม่มีความรู้สึกอึดอัดในการขับขี่แม้จะขนาดเครื่องจะอยู่แค่ 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 Valve 78 แรงม้า การขับในช่วงนี้ทำให้มีโอกาสกดคันเร่งแบบเต็มๆยืดเส้นยืดสายให้หายง่วงกันหน่อย เกียร์อัตโนมัตแบบซีวีทีนั้นทำงานได้นุ่มนวลราบรื่นกันแบบไม่ให้รู้สึกตัวกันทีเดียว เวลากดคันเร่งไปจนสุดเข็มวัดรอบก็กวาดไปจน 4000-5000 รอบเข็มความเร็วก็วิ่งตามกันไปอยู่ที่ 140 บ้าง150 บ้างแต่เสียงเครื่องก็ครางดังตามกันไปแม้ว่ารถนั้นยังสามารถไปต่อได้แต่ผมเองก็สงสารรถอยู่จึงถอนคันเร่งมาให้อยู่ในความเร็วที่เหมาะสม
ระบบความปลอดภัยนั้น แอททราจก็ไม่น้อยหน้าใครด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ RISE Body และคานกันกระแทกด้านข้างที่ประตูทั้ง 4 บาน ที่เสริมความแข็งแกร่งด้วยส่วนรับแรงกระแทกจากเหล็กที่แข็งแรงเป็นพิเศษ “High Tensile Steel” จึงทำให้สามารถปกป้องแรงกระแทกจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมด้วยระบบเบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และดรัมเบรกหลัง ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่ด้านคนขับ
จากจังหวัดบึงกาฬ มุ่งหน้าสู่ จังหวัดอุดรธานีจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ในช่วงนี้ แอททราจนั้นเป็นรถที่ให้ความคล่องตัวและควบคุมได้ง่ายพวงมาลัยนั้นมีน้ำหนักเบาเลี้ยวได้ง่ายแต่ไม่ถึงกับมีอาการหน้าไวจนเกินไป ด้วยตัวถังที่มีขนาด ความยาวโดยรวม 4,245 มม. ความกว้างโดยรวม 1,670 มม. และความสูงโดยรวม 1,515 มม. พร้อมระยะฐานล้อ 2,550 มม. รัศมีวงเลี้ยวที่แคบที่สุดเพียง 4.8 เมตร จึงให้ความคล่องตัวในการขับขี่ ง่ายต่อการเลี้ยว กลับรถและถอยจอดในพื้นที่จำกัด
ช่วงล่างนั้นเซ็ตมาในแนวนิ่มนวลแต่ยังคงมีความหนึบอยู่ด้วยสังเกตจากช่วงที่ขับผ่านถนนขุรขระกับในในช่วงเปลี่ยนเลนและวิ่งทางตรงมั่นใจได้
บทสรุปกับระยะทางที่วิ่งในครั้งนี้เกือบๆ 370 กิโลเมตรเป็นรถเล็กอีกคันที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบอ็อฟชั่นเยอะๆทางมิตซูบิชิก็จัดมาให้เต็มที่ ส่วนในเรื่องของการขับนั้นเครื่องยนต์ลื่นไหลตอบสนองได้ดีในแบบรถอีโคคาร์รถเล็กที่เน้นการประหยัดน้ำมัน หากสนใจตรงไปที่โชว์รูมเลยครับตอนนี้มีถึง 185 แห่งทั่วประเทศ
##############################################
pramsak@caronline.net