เรียกว่ากระแสดีแรงดีไม่มีตกกับรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่หลายคนเฝ้าวันที่จะรับรถอย่าง CLS 250 CDI
ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยนำเข้ามาจำหน่ายเองอย่างเป็นทางการซะทีมาคราวนี้มาแบบไม่ธรรมดาเพราะมาทีเดียวพ่วงมาพร้อมกับ CLS 250 CDI Shooting Brake
การเดินทางไปทดลองขับครั้งนี้เป็นการขับแบบกลุ่มเล็กๆประมาณ 10 คน นัดหมายกันตอนเก้าโมงเช้าแต่ที่นัดหมายคือสำนักงานของเบนซ์ที่อยู่แถวสาธรนั้นคือปัญหาของการเดินทางไปยังจุดหมายให้ทันเวลาทำให้ต้องออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่งเผื่อเวลารถติด
แต่เหตุการณ์นั้นกลับพลิกผันรถไม่ติดเลย ขึ้นทางด่วนลงพระราม 4 ไปจนถึงจุดหมายในเวลาเจ็ดโมงสิบห้าแต่ไม่ใช่ผมที่ไปถึงคนแรกยังมีเพื่อนร่วมคณะมาถึงก่อนผมอีก
จนได้เวลาเพื่อนร่วมเดินทางมากันครบแล้วก็คุยกันคราวๆว่าเราจะวิ่งกันเส้นทางไหน ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือเขาใหญ่ ซึ่งระยะทางไปกลับนั้นกำลังดีวิ่งกันเกือบๆห้าร้อยกิโลเมตร โดยสลับกันขับกันเป็นช่วงพร้อมกับได้มีการร้องขอจากทางทีมงานว่าอย่าขับกันเร็วนะเมื่อมีการร้องขอมาก็จัดให้ครับ
เมื่อกุญแจรถพร้อมแถมยื่นมาอยู่ตรงหน้าผมก็คว้าเข้าให้รับหน้าที่เป็นไม้แรกขับตัว CLS 250 CDI Shooting Brake ออกจากกรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่ปั๊ม ปตท. แถววังน้อย โดยใช้เส้นทางขึ้นทางด่วนสาธรวิ่งออกพระรามเก้าเข้าด่วนรามอินทราแล้วลงถนนวงแหวนวิ่งกันจนสุดทางจนชนถนนพหลโยธิน ในช่วงการขับขี่นั้นต้องบอกว่า แม้จะเป็นรถที่มีช่วงยาวแต่ยังให้ความคล่องตัวสูงโดยพวงมาลัยเป็นแบบระบบไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ด้วยระบบ Electromechanical ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและช่วยให้การบังคับพวงมาลัยคล่องตัวมากขึ้น พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาควบคุมง่ายทัศนะวิศัยในการมองเห็นของรถจัดอยู่ในขั้นดีเลยทีเดียว
การตอบสนองของเครื่องยนต์ดีเซลแบบแถวเรียง 4 สูบ ความจุกระบอกสูบ 2,143 ซีซี ขุมพลัง 150 กิโลวัตต์ (204 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุดที่ 500 นิวตันเมตรที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ให้ความรู้สึกเป็นสปอร์ตแต่เสียดายอยู่หน่อยแม้ว่าจะมีแรงบิดที่สูงการดึงของรถนั้นไม่ทำให้หลังติดเบาะอาจเป็นเพราะต้องการเซ็ตรถให้มีความนิ่มนวลมากกว่าเพราะเท่าที่ดูจากสเป็คแล้วอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 7.8 วินาทีและความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.ซึ่งทางโรงงานได้ทำการทดสอบไว้ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ทดลองความเร็วว่าจะได้เท่าตามที่โรงงานแจ้งไว้รึเปล่าความเร็วสูงสุดที่ผมขับในครั้งนี้คือ 160 กม./ชม.แต่ส่วนใหญ่ยืนพื้นที่ไม่เกิน 120 กม./ชม
เกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS) แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel Gearshift Paddles)การเปลี่ยนเกียร์นั้นนิ่มนวลมากแทบไม่รู้สึกเลยว่ามีการเปลี่ยนเกียร์
ช่วงล่างนั้นสำหรับผมเท่าที่ลองขับอาจจะไม่เหมาะกับวัยของผมซักเท่าไรรู้สึกว่าจะนิ่มไปเล็กน้อยน่าจะปรับให้มีความเป็นสปอร์ตหรือแข็งกว่านี้อีกซะนิดจะดี ระบบเบรกหยุดแบบสั่งได้ไม่ปัญหาการเกาะถนนและการเข้าโค้งให้ความมั่นใจได้มากหลังจากขับมาจนถึงจุดหมายเปลี่ยนคนขับผมก็ต้องย้ายตัวเองมาทำหน้าที่เป็นผู้โดยสารบ้างแล้วซึ่งช่วงเวลานี้ก็จะกลายมาเป็นช่วงสำรวจอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ
ในห้องโดยสารคงความหรูหราแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เบาะนั่งแบบ 5 ที่นั่งพร้อมพนักพิงศีรษะปรับระดับได้ คู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints และสามารถเลือกวัสดุตกแต่งลายไม้ได้ถึง 3 แบบ ได้แก่ ลายไม้ black ash wood หรือ brown burr walnut หรือ light brown poplar ระบบปรับอากาศแบบแยกฝั่งนอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online เพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจขณะขับขี่
ระบบช่วยต่างๆของรถไม่ว่าจะเป็นการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Park Assist) พร้อมด้วยฟังก์ชั่น ECO Start/Stop จะทำให้ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงก็มีมาให้
ส่วนเรื่องของระบบความปลอดภัยนั้นไม่ต้องพูดถึงเจ้านี้เขาจัดเต็มครับไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น PRE-SAFE ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า และม่านถุงลมนิรภัย สำหรับผู้โดยสารทั้ง 4ตำแหน่ง ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program) ระบบช่วยเบรก BAS (Brake Assist) ที่จะทำงานร่วมกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-lock braking system) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
ไฟหน้าเป็นแบบ LED High Performance ประสิทธิภาพสูง ซึ่งผสมผสานกับเทคโนโลยี LED พร้อมระบบปรับโคมไฟหน้ารถอัจฉริยะ และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตอกย้ำรูปลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร ดูเด่นสะดุดตาในยามค่ำคืน และเพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น
การออกแบบนั้นจุดกำเนิดของชื่อ Shooting Brake นั้นเป็นชื่อในสมัยก่อนที่ใช้เรียกรถลากที่ใช้ม้าช่วยลากจูง มีโครงสร้างน้ำหนักเบาและสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อใช้บรรทุกอุปกรณ์ล่าสัตว์ ซึ่งรถที่ติดตั้งเครื่องยนต์และมี Shooting Brake นี้ เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศอังกฤษช่วงปีทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยเป็นรถยนต์สไตล์สปอร์ตแบบ 2 ประตูที่ผสมผสานความหรูหราในสไตล์คูเป้และมีพื้นที่วางสัมภาระและกระโปรงท้ายที่กว้างขวาง
ผมรับหน้าที่นั่งสบายๆแบบผู้บริหารไปจนกระทั่งถึงที่พักในช่วงเย็นๆนานๆทีผมถึงจะมีโอกาสแบบนี้กับเขาบ้างเพราะปกตินั้นรับหน้าที่พลขับอยู่เรื่อยไป เราร่วมกันรับประทานอาหารเย็นกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะภาระกิจนั้นยังไม่สิ้นสุดยังเหลือ CLS 250 CDI ตัวธรรมดาอีกตัวที่ยังไม่ได้ขับ
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันสายหน่อยเพราะไม่ได้เร่งรีบอะไรกันมากออกจากที่พักประมาณสิบโมงเช้ามุ่งหน้าไปยังฟาร์มโชคชัยรับประทานอาหารเที่ยงกันที่นั้นพร้อมกับเปลี่ยนรถมาเป็นCLS 250 CDI ตัวธรรมดาซึ่งมิติตัวถังของรถนั้นทั้งสองคันนี้จะแตกต่างกันที่ความยาวเท่านั้น นอกนั้นเท่ากันหมดระยะฐานล้ออยู่ที่ 2874 มม. สูง 1416 มม. กว้าง 1881 มม.ยาว 4940 มม.ส่วน Shooting Brake นั้นอยู่ที่ 4956 มม.กับน้ำหนักตัวที่ต่างกันโดยตัวธรรมดาอยู่ที่ 1785 กก. ส่วน Shooting Brake อยู่ที่ 1865 กก.ที่กล่าวถึงเรื่องน้ำหนักเพราะว่าเมื่อเปลี่ยนมาขับตัวCLS 250 CDI ตัวธรรมดาแล้วมันให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงมากกว่าและให้ความรู้สึกว่าขับสนุกกว่า Shooting Brake อยู่พอสมควรทำให้สรุปง่ายๆว่างานนี้น้ำหนักมีส่วนกับตัวรถอยู่พอตัวเพราะนอกนั้นเหมือนกันหมด แตกต่างกันที่ความยาวและน้ำหนักเท่านั้นเอง ใครสนใจสองรุ่นนี้อยู่ก็เชิญแวะเวียนไปดูที่ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยกันเลยราคาสองรุ่นที่ได้ไปลองขับมีดังนี้
CLS 250 CDI Shooting Brake AMG Premium ราคา 5,390,000 บาท
CLS 250 CDI AMG Premium ราคา 5,290,000 บาท
#######################################
เรื่อง premsak@caronline.net
ภาพ Bank Kanchanavilai
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…