Review :Test drive ทดสอบ ทดลองขับ : ALL NEW HONDA CITY : ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่


หากจะนึกถึงรถเล็กที่วิ่งกันตามท้องถนนนั้นหลายท่านคงนึกถึง ฮอนด้า ซิตี้ แต่จะจำกันได้รึเปล่าว่ารุ่นแรกที่วิ่งอยู่บนท้องถนนเปิดตัวกันในปี 2539 จนมาถึงรุ่นล่าสุดนับเป็นเจนเนเรชั่นที่ 4 แล้วโดย ฮอนด้า ซิตี้นั้นเป็นยนตรกรรมที่ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าในตลาดเอเชียโดยเฉพาะ
ซึ่งเมื่อช่วงที่ผ่านมานั้นมีได้มีโอกาสเดินทางไปทดลองขับกันไกลถึงจังหวัดเชียงรายพร้อมกับเพื่อนๆสื่อมวลชนกัน โดยครั้งนี้มาแปลกซะหน่อยคือบินไปถึงช่วงเที่ยงๆแล้วมุ่งเข้าสู่โรงแรมเพื่อฟังบรรยายก่อนที่จะขับกันในช่วงบ่ายกับระยะทางไปกลับกำลังดีที่ 190 กิโลเมตร


ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการพัฒนาด้วยแนวคิดใหม่ในการออกแบบของฮอนด้า คือ “Exciting H Design” ซึ่ง H ในที่นี้หมายถึง ต้องการให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นศูนย์กลาง (Human Center) โดยนำแนวคิด “Man-Maximum Machine-Minimum” มาเป็นหลักในการพัฒนา ซึ่งสะท้อนถึง 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ “High Tech” ที่แสดงถึงนวัตกรรมอันล้ำสมัยแต่สามารถใช้งานได้ง่าย “High Tension” โครงสร้างที่แสดงถึงพลังแห่งการขับเคลื่อน และ“High Touch” ทุกรายละเอียดของการออกแบบเพื่อตอบสนองต่อประสาทสัมผัสทั้งห้า
การออกแบบภายนอกนั้นฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Sleek Crossmotion”บวกกับแนวคิด “Man-Maximum Machine-Minimum” จึงทำให้รถด้านหน้ามีความโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวและด้านข้างที่ดูทรงพลังเข้าไว้ด้วยกัน กระจังหน้าแบบแพลทตินัมและไฟหน้าแบบ 4 ดวง ส่วนไฟท้ายยังถูกออกแบบให้ยาวต่อเนื่องมายังฝากระโปรงท้าย และเชื่อมต่อด้วยคิ้วโครเมียมฝากระโปรงท้ายเพื่อทำให้รถกว้างขึ้น


หลังจากฟังในเรื่องของการออกแบบภายนอกแล้วก็ได้เวลาที่จะไปลองของจริงกันการขับในครั้งนี้เป็นการขับแบบฟรีรัน กำหนดจุดหมายกันที่ร้านWhite cup อ.เวียงป่าเป้า ก่อนจะย้อนกลับมาที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน ผมรับหน้าเป็นคนขับก่อนเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในรถนั้นก็รู้สึกถึงความโปร่งสบายและดูล้ำสมัยและมีความสปอร์ต ซึ่งก็มาจากการออกแบบของทีมงานฮอนด้านั้นเองตามแนวคิด“Layered Floating Cockpit”


การขับขี่ในช่วงแรกนั้นเป็นการขับผ่านถนนในเมืองซึ่งการจราจรนั้นหนาแน่นและมีปริมาณรถค่อนข้างมากการความคุมรถหลบหลีกเปลี่ยนเลนนั้นทำได้อย่างสบาย พวงมาลัยในช่วงที่วิ่งอยู่ในเมืองนั้นมีน้ำหนักเบาเมื่อใช้ความเร็วต่ำการควบคุมง่ายยิ่งบรรดาคุณสาวๆคงชอบน้ำหนักพวงมาลัยแบบนี้

เมื่อผ่านแหล่งชุมชนวิ่งออกนอกเมืองรถราเริ่มบางตาก็เริ่มที่ใช้ความเร็วมากขึ้นการตอบสนองของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC ความจุ 1,497 ซีซี กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 14.87 กก.-ม. ที่ 4,700 รอบต่อนาที โดยได้รับการปรับปรุงบนพื้นฐานของบล็อกที่ใช้งานในปัจจุบัน และได้มีการเติม E85 ในการขับครั้งนี้


ส่วนระบบส่งกำลังนั้นเป็นเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ที่จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพในการขับขี่ และเน้นความประหยัด ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันแล้วต้องบอกการตอบสนองของเครื่องนั้นก็พอได้อยู่แต่การเปลี่ยนเกียร์นั้นยังไม่ค่อยทันอกทันใจเท่าไร ยังมีอาการรอรอบอยู่คือรอบไปรอก่อนที่ความเร็วนั้นจะค่อยตามไปที่หลังในโหมดเกียร์ D แต่ถ้าหากอยากให้ทันใจนั้นต้องเข้ามาในโหมด S แล้วเปลี่ยนเกียร์เองที่พวงมาลัยได้

การเกาะถนนนั้นหากเป็นทางตรงนั้นหายห่วงหนึบอยู่ซึ่งระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และคานตัว H ของระบบทอร์ชันบีมในด้านหลังก็มีการยกให้สูงขึ้น เพื่อให้มีการเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้า ทำให้การทรงตัวและการขับขี่ในเชิงราบดีขึ้น


ส่วนหากเป็นทางโค้งในช่วงขึ้นเขาหรือลงเขาหากเป็นการขับแบบปกติก็ไม่มีปัญหาแต่หากเป็นคนเท้าหนักและอยากเล่นโค้งขับในแนวสปอร์ตนั้นขอแนะนำว่าเปลี่ยนยางเป็นแบบสปอร์ตซะก่อนเพราะยางที่ให้ติดรถมานั้นเป็นยางแบบลดแรงต้านการหมุน หรือ Low Rolling Resistance Coefficient (RRC) จะช่วยลดแรงต้านการหมุนระหว่างพื้นผิวถนนกับหน้ายาง ซึ่งเน้นการประหยัดน้ำมันจึงไม่เหมาะกับการสาดโค้งเท่าไร


ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นอัดมาแบบเต็มที่ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบควบคุมการทรงตัว VSA
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน : เมื่อรถยนต์จอดอยู่บนทางลาดชัน ระบบ HSA จะทำหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้ตัวรถเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังในจังหวะที่มีการปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก โดยการทำงานจะอาศัยหน้าที่ในระบบการทรงตัว VSA เข้ามาควบคุมการรักษาแรงดันของน้ำมันเบรกเอาไว้ เมื่อรถยนต์จอดอยู่ประมาณ 1 นาทีเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ ขณะที่มีการเคลื่อนย้ายเท้ามาที่คันเร่ง และช่วยให้การออกตัวมีความนุ่มนวลมากขึ้น แถมด้วยถุงลมคู่หน้า Dual SRS ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ


สิ่งอำนวยความสะดวกภายในรถไม่ว่าจะเป็น ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advance Touch (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และยังรองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri Eye Free Mode (สำหรับ iPhone 4s ขึ้นไป) รองรับการเชื่อมต่อ HondaLink Application (เฉพาะ iPhone 4S ขึ้นไป)


ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+,SV และ SV+)
มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (เฉพาะรุ่น V, V+,SV และ SV+)
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ให้การควบคุมทุกสิ่งได้ดั่งใจเพียงปลายนิ้วสัมผัส
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)
กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ติดตั้งอยู่ทางด้านท้ายของรถสามารถ
แสดงผลผ่านทางหน้าจอ เพื่อความสะดวกในการถอยเข้าจอด (เฉพาะรุ่น V+,SV และ SV+)
ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ Honda Smart Key System
ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ One Push Ignition System เพียงแค่กดแป้นเบรกเอาไว้ และกดปุ่ม Start/Stop เท่านั้นเครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทขึ้นมา (เฉพาะรุ่น V, V+,SV และ SV+)


รวบรัดตัดความโดยรวมแล้วหากจะถามว่าตัวไหนน่าใช้สุดต้องบอกงานนี้ตัวท็อปเลยครับไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายในห้องโดยสาร ออปชั่นต่างๆที่ให้มานั้นมาอัดแน่นอยู่ในตัวท็อปทั้งหมดหากใครได้ไปดูรถคันจริงแล้วคงจะเห็นภาพที่ผมพูด ส่วนในเรื่องของการขับขี่นั้นหากใช้ในเมืองและการขับขี่แบบปกติผมว่ามันเพียงพอนะแต่หากจะต้องการความเป็นสปอร์ตนั้นยังขาดอยู่อีกนิดและถ้าอยากจะขับให้สนุกและการเกาะถนนที่ดีขึ้นโดยที่ไม่อยากไปทำอะไรกับช่วงล่างลองเปลี่ยนยางชุดให้ดีๆประเภทยางสมรรถนะสูงหรือยางในกลุ่มสปอร์ตรับลองขับสนุกขึ้นอีกเยอะว่างๆก็ลองแวะเวียนไปดูรถที่โชว์รูมฮอนด้าใกล้บ้านนะครับ

###########################################

premsak@caronline.net

Facebook Comments