เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้ร่วมเดินทางไปกับคาราวานของมาสด้าซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา นัยว่าเป็นการเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียนหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า AEC นั้นคือประเทศพม่าโดยเราจะขับรถกันไปจากกรุงเทพกันเลย ทริปนี้ใช้ระยะเวลา 4 วัน 3 คืนโดยเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ-แม่สอด– พระธาตุอินทร์แขวน – เมืองหงสาวดี-ย่างกุ้ง ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยดีกว่า
เริ่มต้นการเดินทางในวันแรกนั้นนัดเจอกันที่โชว์รูมมาสด้าริมถนนวิภาวดีเพื่อรับรถ ซึ่งครั้งนี้ทางมาสด้าได้จัดรถมาสด้า BT-50 PRO ไว้ทั้งสิ้น 14 คันแล้วยังมีรถของทีมงานและสตาฟฟ์อีกสองคัน โดยผมได้รถ BT-50 PRO 4 ประตูรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเกียร์อัตโนมัติเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตรซึ่งเป็นตัวท็อปนั้นเอง รถคันนี้จะอยู่ผมตลอดทั้งทริป วันแรกนั้นเราขับกันแบบสบายสบายไม่เร่งรีบอะไรชมวิวบ้างหลับบ้างตามช่วงเวลา เราใช้ถนนสายเอเชียผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ใช้ทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์
แวะทานมื้อเที่ยงริมแม่น้ำจังหวัดกำแพงเพชร ก่อนจะกลับเข้าสู่ทางหลักอีก 30 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปใช้ทางสองเลนสวนกันไต่ระดับความสูงและความคดเคี้ยวอีกกว่า 70 กิโลเมตร ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ประจำวันนี้ เพื่อมุ่งหน้าสู่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพราะเป็นการได้ลองสมรรถนะของรถ ไม่ว่าเป็นการตอบสนองของ เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 3.2 ลิตร ซึ่งเป็นครั้งแรกของมาสด้ากับเครื่องยนต์ 5 สูบ ให้กำลังถึง 200 แรงม้า (147kw) ที่ 3,000 รอบ และแรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ ที่มาแบบทันอกทันใจไม่ต้องมีลุ้นว่าจะแซงทันได้รึเปล่า ช่วงล่างนั้นเกาะหนึบมั่นใจได้ทุกโค้งใช้เวลาอีกพักใหญ่เราก็เดินทางมาถึง อ.แม่สอด แวะเติมน้ำมันเตรียมความพร้อมก่อนที่เราจะเดินทางข้ามแดนกันในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่สองของการเดินทางจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเราก็เดินทางออกจากโรงแรมตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ใช้เวลาไม่นานก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง การเดินทางเข้าประเทศพม่านั้นเรายังต้องไปขอวีซ่าก่อน ยังไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียนที่สามารถใช้หนังสือเดินทางของเราเข้าออกได้เลย น่าจะเหลืออยู่ประเทศเดียวในกลุ่มนี้ที่ยังต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศเราใช้เวลาตรวจหนังสือเดินทางของคณะเราเสร็จก็เป็นเวลาเคารพธงชาติพอดี
มีพิธีการตรวจคนตรวจรถเสร็จเราก็ข้ามแม่น้ำเมยโดยสะพานมิตรภาพไทย-พม่า สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกท่านผู้อ่านนั้นคือการขับรถในพม่านั้นแม้ว่ารถที่ใช้ในประเทศพม่านั้นจะเป็นพวงมาลัยขวาแต่ก็ขับชิดขวาไม่เหมือนบ้านเราที่ขับชิดซ้ายซึ่งอาจจะทำให้หลายท่านมีอาการมึนงงทั้งการขึ้นรถและการข้ามถนนโปรดระมัดระวังไว้ด้วยเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
เมื่อข้ามเข้ามาสู่เขตแดนพม่าในบริเวณใกล้ชายแดนนั้นถนนลาดยางและการการจราจรที่จอแจต้องรถทั้งคนร้านรวงต่างๆริมสองข้างทางในช่วง 5 กิโลเมตรแรกหลังจากนั้นก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เราเข้าสู่เมืองเมียวดีเรียบร้อย ซึ่งที่นี่เป็นเขตปกครองของกระเหรี่ยงพุทธและกระเหรี่ยงคริสต์ ก่อนที่เราจะผ่านเมืองกอกะเร็ด และเมืองผะอ่าง เราต้องข้ามเขาอยู่ลูกหนึ่งแม้ระยะทางจะไม่ได้ไกลเท่าแต่เราต้องใช้เวลาในการข้ามเขานานเอาเรื่อง ช่วงแรกทางยังดีอยู่ขับมาไม่เกินทาง 10 กิโลเมตรแรก โปรโมชั่นหมดสภาพถนนบนเขานั้นแย่มากจากลาดยางเปลี่ยนมากลายเป็นลูกรังและหลุมบ่อที่เกิดขึ้นทั้งจากธรรมชาติและการสัญจรไปมาของรถ และการที่จะแซงกันในแต่ละครั้งนั้นยากลำบากมากเพราะมีทั้งรถหัวลาก รถขนคน รถขนส่งขนาดเล็กอีกแถมทางยังแคบมากในบางช่วง
ถ้าหากมีพลาดไม่ได้ต้องกินข้างลิงละครับ เพราะข้างซ้ายก็คือเหวข้างขวาก็คือเขาถ้าพลาดก็คือจบเส้นทางนี้ทุกคนที่ไปในครั้งนี้ถือเป็นเส้นทางที่ไฮไลท์สุดสุดของทริปนี้ และได้เป็นการลองช่วงล่างแบบเต็มๆของมาสด้าที่ได้ออกแบบไว้โดยระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระแบบปีกนกคู่ (Double-wishbone) และคอยล์สปริง ด้านหลังแบบคานแข็งและชุดแหนบ (Leaf-Spring) ที่ให้ความนุ่มสบายในการขับขี่ทั้งเมื่อบรรทุกและไม่ ระบบบังคับเลี้ยวแรคแอนพีเนียน (Rack-and-pinion Steering) ให้ความรู้สึกตอบสนองได้ดี แม่นยำ ตามแบบฉบับ ซูม-ซูม โครงสร้างแชสซีส์แบบขั้นบันไดถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้มีความแข็งแกร่งสูง การยึดตัวถังถูกออกแบบใหม่เพื่อช่วยลดการสั่นสะเทือนสู่ห้องโดยสาร
กว่าจะผ่านพ้นลงจากเขามาได้เล่นเอาเหนื่อยเลย มิน่าละทางทีมงานบอกก่อนเดินทางว่าให้กินให้อิ่มเลยนะกินเผื่อเยอะมันเป็นเช่นนี้เอง เราแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันมื้อแรกเป็นมื้อแรกในพม่าที่เมืองผะอ่าง เมื่อเรียบร้อยแล้วเราก็เดินทางกันต่อ ถนนเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆมุ่งหน้าสู่เมืองไจทีโย เพื่อขึ้นไปนมัสการเจดีย์ไจทีโย (Kaiktiyo Pagoda) หรือที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ พระธาตุอินทร์แขวน ก่อนพลบค่ำเรามาถึงเชิงเขาที่ตั้งของพระธาตุ จอดพักมาสด้า บีที-50 ต่อรถบรรทุก 6 ล้อที่ดัดแปลงสำหรับโดยสาร เพิ่มความเร้าใจด้วยสายฝนกระหน่ำซ้ำเติมบวกกับการขับขี่ที่ไม่มีความปราณีเอากันซะเลย อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟเหาะยังไงยังงั้นเลย แบบนี้เองที่เขาเรียกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวเมื่อผ่านความสูงพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล สายลมและสายหมอกพัดผ่านพวกเราไปใช้เวลาประมาณชั่วโมงก็ถึงยอดเขาที่ประดิษฐานพระธาตุอินทร์แขวง ซึ่งถือเป็น1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า เราก็เดินกันต่ออีกนิดหน่อยพอให้เหนื่อยในสภาพที่แต่ละคนเป็นลูกนกตกน้ำเก็บข้าวของเข้าห้องพักกันก่อนที่จะนัดออกมารับประทานอาหารเย็นกันบนเขา
เมื่อรับประทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้วคณะของเราก็เดินเท้ากันไปกราบนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนและชมความสวยงามขององค์พระธาตุซึ่งบรรยากาศนั้นสุดสุดเลยทั้งลมแรงแถมมีหมอกลงอีกซึ่งมีตำนานเล่าขานกันในสมัยพุทธกาลว่า ฤๅษีติสสะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงมอบให้ไว้เป็นตัวแทนของพระ พุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ ส่วนฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม เมื่อเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขารเต็มที เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะ ของเขา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) จึงช่วยเสาะหาก้อนหินดังกล่าวจากใต้ท้องมหาสมุทรและนำมาวางหรือแขวนไว้บน ภูเขาหิน บางตำนานก็เล่าว่า มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้นมาโปรดสัตว์ ในถ้ำไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา
เราใช้เวลาอยู่กันนานพอสมควรก่อนจะเดินกลับมายังที่พักของเราในค่ำคืนนั้น
เช้าวันที่สามของการเดินเราต้องรีบตื่นกันแต่เช้าแบบ 5 6 7 เพื่อที่จะได้มีเวลาเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆของวันนี้และถ้าออกช้านั้นหมายความว่าเราอาจจะไม่แวะสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งซึ่งวันนี้เราต้องเข้าเมืองย่างกุ้ง โดยผ่านเมืองหงสาวดีเรานั่งรถบรรทุก 6 ล้อย้อนกลับลงมาทางเดิมแล้วกลับมายังรถ มาสด้า BT-50 PRO ก่อนจะตั้งขบวนแล้วเดินทางกันต่อ คาราวานมุ่งหน้าสู่กรุงหงสาวดี เมืองหลวงเก่าของชาวมอญ อดีตราชธานีของพระเจ้าบุเรงนอง ผ่านแม่น้ำสะโตงที่กว้างใหญ่เราแวะไปนมัสการพระเจดีย์ชเวมอร์ดอร์ หรือพระธาตุมุเตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหงสาวดีก่อน พระธาตุชเวมอดอ หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระธาตุมุเตา เป็นพระธาตุที่อยู่มานานคู่กับเมือง เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชื่อว่าภายในได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ เล่ากันว่าเมื่อครั้งใดที่ พระเจ้าบุเรงนองจะออกทำศึกจะทรงสักการะขอพรจากพระธาตุนี้ทุกครั้ง และเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จมายังที่หงสาวดีนี้ก็ได้ทำการสักการะพระธาตุนี้ด้วย
ต่อด้วยพามาสด้า บีที-50โปร เข้าเยี่ยมชมบริเวณพระราชวังเดิมของพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตามแบบฉบับเดิมโดยภาครัฐเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาซึ่งพระราชวังเดิมนั้นได้ใช้ไม้สักในการก่อสร้างขึ้นแต่ถูกเผาไปเมื่อครั้งที่เกิดสงครามขึ้น
เมื่อเยื่ยมชมพระราชวังบุเรงนองเสร็จเราก็มุ่งหน้าสู่เมืองย่างกุ้งถนนช่วงนี้เป็นช่วงที่ขับสบายที่สุดก่อนจะเข้าเมืองย่างกุ้งกับระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตรเมื่อคาราวานมาสด้า เริ่มเข้าสู่เขตเมืองย่างกุ้งก็รับการต้อนรับสายฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการจราจรที่ติดขัดในช่วงบ่ายวันนั้นจากภาพของเมืองย่างกุ้งที่ผมได้เห็นจากสองข้างทางความเจริญต่างๆของมองผิดไปจากที่ผมจิตนาการไว้ในความคิดอย่างสิ้นเชิงสภาพบ้านเมืองนั้นกำลังเจริญเติบโตอย่างมากมีการก่อสร้างถนนหนทางรวมถึงกำลังก่อสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จากลุ่มทุนขนาดใหญ่อีกไม่นานคงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดแบบผิดหูผิดตา
เมื่อคณะของเรามาถึงเมืองย่างกุ้งก็ได้แวะชมและเลือกซื้อสินค้าต่างๆที่ตลาด สก็อต ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของที่นี่หลังจากนั้นก็แวะเยี่ยมชมและนมัสการพระมหาเจดีย์ ชเวดากอง ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์และอยู่คู่บ้านคู่เมือง ยังเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดของพม่า ที่มีอายุกว่า 2,500 ปี เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ 8 เส้นของพระพุทธเจ้า องค์พระเจดีย์สร้างด้วยทองคำหนัก 2 ตัน ประดับด้วยเพชร 5,548 เม็ด และพลอย 2,217 เม็ด รวมถึงทับทิมขนาดเท่าไข่ไก่ บนยอดพระเจดีย์
เมื่อเข้าเยี่ยมชมเจดีย์ ชเวดากอง เสร็จแล้ว้มุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พักและเป็นอันเสร้จสิ้นภาระกิจในครั้งนี้ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้กับทริปที่สองที่จะขับย้อนเส้นทางเดิมกลับสู่กรุงเทพกันต่อไป ส่วนพวกผมนั้นก็กลับสู่เมืองไทยด้วยสายการบินไทยในเช้าวันรุ่งขึ้น
############################################
premsak@caronline.net