Ecosport เป็นรถอเนกประสงค์อีกรุ่นจาก Ford ที่ส่งลงมาร่วมแชร์ตลาดรถในกลุ่มนี้ ปีนี้ตลาด Crossover ดูท่าจะคึกคักเพราะหลายๆ ค่ายต่างพากันเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง หลายค่ายมองหารถเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างเต็มที่ ในครั้งนี้ผมก็ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับ Ford Ecosport อย่างเต็มรูปแบบเชิญติดตามครับ
สัมผัสแรกต้องบอกก่อนเลยว่า Ford Ecosport ผมเคยลูบๆ คลำๆ มาหลายครั้งแล้วครับ เดินดูการออกแบบรอบคันกันก่อน โดยกรอบด้านบนของกระจังหน้ารูปสี่เหลี่ยมคางหมูแสดงถึงความเคลื่อนไหว ส่วนไฟหน้าทรงเรียวยาวเข้ากับไฟหน้าอย่างลงตัว เส้นสายด้านข้างตัวถังซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างแนวกระจกและขอบประตูทอดตัวในแนวเฉียงขึ้นจากด้านหน้าจรดท้าย เพื่อความสมบูรณ์แบบของการออกแบบตามหลักพลศาสตร์แบบเอสยูวี เพิ่มความหรูหราโดยการออกแบบให้เสากลางเป็นสีดำ ด้านท้ายรถได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นด้วยกระจกขนาดใหญ่ที่โอบรอบจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน พร้อมไฟท้ายที่โฉบเฉี่ยว และเพื่อเพิ่มความเรียบหรู มือจับที่เปิดประตูท้ายรถจึงได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับไฟท้าย ยางอะไหล่และฝาครอบได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ ติดตั้งอยู่บนฝาประตูท้ายสะท้อนความเป็นรถเอสยูวี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของท้ายรถและทำให้การขนของหนักๆ ใส่ท้ายรถเป็นเรื่องง่ายขึ้น
ส่วนภายในห้องโดยสารของ Ecosport นำเสนอความสร้างสรรค์และทันสมัยเช่นเดียวกับภายนอกของตัวรถ ปุ่มควบคุมและมือจับต่างๆถูกออกแบบจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักสรีระศาสตร์ นอกจากนี้ยังใส่ใจในรายละเอียดของเบาะโดยเลือกใช้เนื้อผ้าที่มีลายทอเป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับเบาะนั่งในรถให้แตกต่างกันสำหรับรถแต่ละรุ่น โดยสำหรับรุ่นไทเทเนียม (Titanium) เลือกใช้เบาะหนัง โทริโน เกรดพรีเมี่ยมในการห่อหุ้ม พร้อมการเย็บแบบเดินตะเข็บสีแดงซึ่งตัดกับสีของหนังเพื่อสร้างความโดดเด่น เบาะนั่งก็ให้ความสบายไม่เมื่อยล้าในยามเดินทางไกล แต่ยังความกระชับในการขับขี่ จากข้อมูลทีมวิศวกรใส่ใจกับการออกแบบเบาะนั่งเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับท่านั่งตั้งแต่ต้นขาไปถึงแผ่นหลังช่วงบน/ช่วงล่าง โดยเฉพาะเบาะผู้ขับขี่สามารถปรับได้ถึง 6 ระดับ มาตรวัดก็ถูกปรับให้มีองศาในการมองง่ายขึ้นเพียงแค่ชำเลืองไม่ต้องก้มมอง เบาะหลังของ Ecosport ได้รับการออกแบบให้สามารถปรับเอนเบาะหลังได้ ทำให้ผู้โดยสารที่นั่งเบาะหลังสามารถเอนหลังเพื่อการโดยสารอย่างสบายได้มากขึ้น หากต้องการเพิ่มพื้นที่บรรทุกในห้องโดยสาร สามารถทำได้โดยปรับที่นั่งด้านหลังไปด้านหลังหรือพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่ โดยผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องถอดพนักศีรษะก่อนจะทำการพับเบาะ หรือหากต้องการบรรทุกสัมภาระพร้อมเผื่อที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร เบาะหลังยังแยกพับได้แบบ 60/40 เพื่อใช้บรรทุกกล่องยาวๆ และยังมีพื้นที่เหลือสำหรับผู้โดยสารอีกด้วย
เครื่องยนต์ที่ถูกบรรจุมาจากโรงงานเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 110 แรงม้า (81 กิโลวัตต์) ที่ 6,300 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 142 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบวาล์วแปรผันแคมชาฟท์แบบอิสระคู่ (Ti-VCT) ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมจังหวะการทำงานของวาล์วให้ดียิ่งขึ้น เพื่อการประหยัดน้ำมัน และให้กำลังเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น ระบบวาล์วแปรผันแคมชาฟท์แบบอิสระคู่ (Ti-VCT)ช่วยให้วาล์วไอดีสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องยนต์จึงมีกำลังทำงานได้ดีแม้ในรอบที่ต่ำ และเมื่อเร่งเครื่อง แคมไอดีจะทำงานช้าลงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีดพร้อม SelectShift และระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ตามสเปคโรงงาน เกียร์อัตโนมัติ พาวเวอร์ชิฟท์ ทำตัวเลขประหยัดน้ำมันที่ 15.4 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอกไดออกไซด์ที่154 กรัม/กิโลเมตร และระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด มอบอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 15.3 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 154 กรัม/กิโลเมตร
เมื่อสาธยายข้อมูลกันเป็นที่เรียบร้อยก็ลงมือพิสูจน์ของจริงกันครับ เส้นทางในการทดลองขับครั้งนี้ออกสตาร์ทจากกรุงเทพฯ-จุดสิ้นสุดหัวหิน จากเส้นทางบอกได้ว่าครบทุกรถชาติอีกแล้วครับ เมื่อมองจากภายนอกรูปทรงรถดูกะทัดรัดอาจจะสรุปอะไรไม่ได้มาก พอเข้าไปลองนั่งไม่เป็นอย่างภายนอกเลยครับเบาะนั่งคู่หน้าสบายจริงๆ เน้นที่เบาะผู้ขับที่ฟอร์ดออกแบบให้โอบกระชับก้ำกึ่งจะไม่ใช่บักเก็ตซีทเสียทีเดียวเพราะรถที่ใช้งานชีวิตประจำวันก็ต้องมีการผ่อนคลายอิริยาบทกันบ้างครับ ไม่ใช่ว่ากระชับตลอดเวลาอันนั้นจะทำให้เกิดอาการเครียดในการขับขี่ การเดินทางในเมืองนั้นรูปร่างที่กะทัดรัดสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวไม่ว่าจะมุดเลนซ้าย-ขวาก็ทำได้อย่างง่าย จากนั้นมุ่งหน้าออกนอกเมืองตรงนี้เริ่มใช้ความเร็วได้มากขึ้น แม้จะเป็นรถครอสโอเวอร์ทรงสูงเดินทางโดยใช้ความเร็วไม่ทำให้เกิดอาการหวิวแต่อย่างใด บางช่วงต้องการเร่งแซงก็ใช้ SelectShift โหมดกึ่งแมนวลเปลี่ยนเกียร์โดยผู้ขับ ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน เดินทางโดยใช้ความเร็วสิ่งหนึ่งที่พบบ่อยๆนั่นก็คือลมปะทะที่พัดให้รถมีอาการเป๋ปัดไปบ้าง Ecosport จึงนำระบบ Pull Drift Compensation ทำงานร่วมกับพวงมาลัยไฟฟ้า EPS เป็นระบบที่ลดภาระการควบคุมพวงมาลัยขณะโดนลมพัดด้านข้างรถช่วยให้ลดความตึงเครียดในการขับขี่(เพราะผมเองก็เคยเจอลมพัดจนรถเปลี่ยนเลนเองมาแล้วครับ)
ช่วงล่างถ้ามองจากรูปทรงรถอาจจะบอกเป็นรถที่แข็งแต่ความจริงแล้วตรงกันข้ามครับช่วงล่างออกไปในแนวทางนุ่มนวลแต่ไม่นุ่มนิ่มนะครับเพราะรูปร่างแบบครอสโอเวอร์จึงต้องมีช่วงล่างที่ เก็บรายละเอียดของถนนได้หมดจรดแทบไม่เหลืออาการสะท้านมาสู่คนขับ เป็นรถที่เหมาะสำหรับใช้งานในเมืองและเดินทางท่องเที่ยว การออกตัวนั้นต้องบอกว่าถ้าใครเคยใช้เกียร์พาวเวอร์ชิฟมาแล้วจะรู้นิสัยดีว่าเป็นเกียร์ที่ให้กำลังที่ต่อเนื่อง ใช้โหมด D ให้เกียร์ทำงานเองขับเรื่อยๆ ชิวๆ มีบางช่วงที่ต้องตามกลุ่มทดสอบ(ขออภัยผมขับชิวไปหน่อย 555) ปรับมาใช้ SelectShift เน้นอัตราเร่งเพื่อไล่ตามกลุ่มก็เรียกกำลังมาใช้ได้อย่างทันอกทันใจ (สำหรับโหมด Selectshift จะต้องใจเย็นกันนิดนึงเพราะเมื่อกดเปลี่ยนเกียร์ไปแล้วจะหน่วงเวลาอีกเล็กน้อยจึงเปลี่ยนเกียร์ที่สูงขึ้น) และอีกจุดหนึ่งที่พิเศษนั่นก็คือประตูหลังที่เปิดทางด้านซ้ายซึ่งต่างจากรถรุ่นเดียวกันในตลาดที่เปิดขึ้นด้านบน เป็นจุดเด่นที่บางรุ่นเป็นปัญหากับสุภาพสตรีที่ต้องโหนประตูปิดลงมาต้องใช้แรงเยอะ ประตูแบบเปิดข้างช่วยลดแรงในการเปิดได้อย่างยิ่ง
Ecosport เป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นคนทำงานในเมือง เดินทางท่องเที่ยว Ecosport ใช้งานได้อย่างครอบคลุมหากมองหารถที่สักคัน Ecosport เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวครับด้วยราคาค่าตัว 829,000 บาททำให้คุณปฎิเสธไม่ลง
###################################################
premsak@caronline.net
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…