หากจะนึกย้อนออกไปก็ต้องย้อนไปถึงเดือนพฤศจิกายน ปี2553 เมื่อครั้งเปิดตัวเชพโรเลต ครูซ ครั้งแรกเผลอแวปเดียวก็ล่วงเลยมาจะสองปีแล้วก็ต้องมีปรับเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรบ้างเพื่อไม่ให้ดูชินตาพร้อมกับที่จะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้
การจัดการทดสอบเชพโรเลต ครูซ ในครั้งนี้ถือว่าเป็นอีกครั้งที่ได้มีการนำเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตรที่สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ทำให้ ครูซ กลายเป็นรถเฟล็กซ์ฟิว (Flex-Fuel Vehicle) รองรับเชื้อเพลิงเบนซินที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เบ็นซิน 95 แก็สโซฮอล์ E10 E20 ไปจนกระทั่ง E85
จุดเริ่มต้นในครั้งนี้เราเริ่มกันที่โรงแรมพลูแมนที่ซอยรางน้ำนั่งฟังบรรยายกันก่อนเดินทางโดยการเดินครั้งนี้เป็นการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับเส้นกรุงเทพ-โรงงานมิตรผลด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี-เขื่อนกระเสียว-กรุงเทพ ระยะทางรวมประมาณ 400 กิโลเมตร
แม้ว่าพระเอกของงานนี้จะเป็นเชพโรเลต ครูซ 1.8 E85 แต่ก็ยังมีเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 VCDi มาร่วมขบวนในการทดสอบครั้งนี้ด้วย เมื่อคณะผู้ร่วมเดินทางมากันครบแล้วเราก็ออกเดินกันโดยครั้งนี้มีรถทั้งหมด 10 คันเป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 7 คัน ที่เหลือเป็นเครื่องยนต์ดีเซล รับไม้แรกอีกเช่นเคยรถประจำตำแหน่งในครั้งนี้เป็น ครูซ ดีเซล 2.0 ขับตามกันเป็นขบวนออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยังปั๊มน้ำมันบางจากก่อนถึงต่างระดับรัชวิภาเพื่อให้รถขบวนที่เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร นั้นเติมน้ำมัน E85 ที่ปั๊มน้ำมันแห่งนี้ก่อนเมื่อเติมกันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่ ถนนแจ้งวัฒนะ ออกบางบัวทอง เข้าทางหลวงหมายเลข 340 มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี
ครูซ เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ 4 สูบ VCDi ความจุ 2.0 ลิตร 16 วาล์ว ควบคุมด้วยอิเลกทรอนิกส์ ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ‘Gen II’ รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมระบบ Driver Shift Control ที่ให้ความความนุ่มนวลและทุกครั้งที่กดคันเร่งอัตราเร่งจะตามมาอย่างทันทีทันใดดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนที่เคยสัมผัสมา วิ่งกันครั้งนี้ใช้ความเร็วกันเยอะมากบางช่วงก็ 140-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันเลยส่วนที่มีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปนั้นจะเป็นในเรื่องของช่วงล่างที่ได้สอบถามไปยังทีมงานแล้วได้รับคำตอบว่าไม่ได้ปรับอะไรแต่ทำไมผมถึงรู้สึกไปว่ามันไม่เกาะเหมือนเดิมแถมช่วงล่างนั้นยังนิ่มกว่าตัวเดิมด้วยซ้ำสังเกตุจากช่วงเข้าโค้งแล้วเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหัน ต้องมีการแก้พวงมาลัยเพื่อดึงรถกลับมาอยู่ในเลนส่วนทางตรงนั้นไม่มีปัญหาไว้ใจได้เช่นเดิม
ใช้เวลาพักใหญ่เราก็มาถึงโรงงานมิตรผลที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เข้าฟังบรรยายและเดินเยี่ยมชมโรงงานดูกระบวนการผลิตเอทานอลทำให้ทราบว่าขณะนี้ประเทศไทยมีการใช้เอทานอลจำนวน 2.4 ล้านลิตรต่อวัน ความต้องการใช้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพลังงานประเมินว่า ยอดการใช้เอทานอลจะเพิ่มถึงระดับ 9 ล้านลิตรต่อวันในปี 2565 ทุกวันนี้ มีรถเฟล็กซ์ฟิวล์จำนวน 52,112 คันอยู่บนถนนในประเทศไทย มีสถานีบริการเชื้อเพลิง E85 จำนวน 64 แห่งทั่วประเทศ ทั้งสองตัวเลขคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นหลังจากมีรถที่รองรับ E85 เปิดตัวออกสู่ตลาด
หลังจากเยี่ยมชมโรงงานมิตรผลเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่เขื่อนกระเสียวเพื่อรับประทานอาหารกลางวันกันระหว่างช่วงรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพอจะมีเวลามาสำรวจดูว่า ครูซ ใหม่นั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างเริ่มจากภายนอกกันชนหน้าดีไซน์ใหม่คู่กับไฟตัดหมอกในตัว กรอบไฟหน้ามุมโครเมียมแบบใหม่ กระจังหน้าใหม่ที่ทำให้โลโก้เชฟวี่ โบว์ไทมีความสะดุดตาขึ้น กันชนหลังใหม่พร้อมเส้นสายแบบสปอร์ตล้ออัลลอยแบบห้าก้าน
ภายในห้องโดยสารของครูซ LTZ รุ่นใหม่ ตกแต่งด้วยสีน้ำตาลแดง (brown stone) แบบใหม่ พร้อมการแต่งเติมรายละเอียดและพื้นผิวสัมผัสบริเวณคอนโซลกลาง เพิ่มปุ่มสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ปรับเปลี่ยนให้เป็นทรงกลมทำให้สะดวกสบายมากขึ้น ห้องโดยสารยังคงเป็นแบบพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและครูสคอนโทรล หน้าจอกราฟฟิกแสดงผลข้อมูลรถ (Graphic Information Center) ระบบแอร์และเครื่องเสียงเชื่อมต่อผ่าน Auxiliary, Bluetooth และ USB
และแล้วก็มาถึงคิวลองขับ ครูซ 1.8 E85 กันบ้างคราวนี้เราก็ขับรถย้อยกลับในเส้นทางเดิมการที่จะทำให้เครื่องยนต์นั้นสามารถรองรับ E85 คือการปรับซอฟท์แวร์และกล่องควบคุมอีซียู (Electronic Control Unit) ใหม่ เพื่อให้ครูซ สามารถใช้เชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ E0 (น้ำมันเบนซิน) ไปจนถึง E85 (เบนซินผสมเอทานอล 85 เปอร์เซ็นต์) โดยทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์หลายตัว หัวฉีดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและระบบการลำเลียงเชื้อเพลิงที่มีความไหลลื่นสูงกว่าเดิม ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์ของครูซ สามารถตรวจจับปริมาณเอทานอลในเชื่อเพลิงและปรับการไหลเวียนและระยะเวลาจุดระเบิดได้ทันที นอกจากนี้ เครื่องยนต์ของครูซ ยังมีความทนทานต่อคุณสมบัติที่แตกต่างกันของเอทานอล ด้วยการใช้วัสดุสแตนเลสในชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ ขณะที่ตัววาล์วและบ่าวาล์วได้รับการปรับปรุงใหม่ เช่นเดียวกับวัสดุยางและสายเชื้อเพลิงก็รองรับเอทานอลได้อย่างเต็มที่
เครื่องยนต์ 1.8 ECOTEC บล็อก 4 สูบ ใช้ระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ (Multi-point Injection) และระบบวาล์วแปรผันคู่ต่อเนื่อง (Double Continuous Variable Cam Phasing) ทำงานร่วมกับท่อร่วมไอดีแปรผัน (Variable Intake Manifold) ช่วยเพิ่มสมรรถนะ ลดปริมาณไอเสียกำลังสูงสุด 141 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบ/นาทีมาพร้อมกับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ‘Gen II’ แบบเดียวกับเครื่องดีเซล และยังมีระบบ Driver Shift Control ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา เท่าที่ลองขับนั้นต้องบอกว่าการตอบสนองของทั้งเครื่องและเกียร์นั้นทำได้ดีแต่ถ้าจะใช้ความเร็วสูงเพื่อที่จะต้องตามขบวนครั้งนี้ให้ทันนั้นต้องมีเค้นคันเร่งกันหน่อยซึ่งเมื่อจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงแล้วรอบเครื่องจะสูงขึ้นไปสิ่งที่ตามมานั้นก็คือเสียงครางของเครื่องดังขึ้นมากพร้อมด้วยการกินน้ำเชื้อเพลิงที่มากขึ้นไปด้วย ซึ่งหากจะเทียบกับเครื่องดีเซลแล้วตัว E85 นั้นน่าจะเหนื่อยกว่าแต่หากจะเทียบค่าใช้จ่ายเป็นกิโลเมตรต่อบาทแล้วยังไงตัว E85 นั้นได้เปรียบกว่าเห็นๆ
ส่วนเรื่องของระบบความปลอดภัยเจ้านี้ไม่น้อยหน้าใครที่ไหนเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรกอิเลกทรอนิก (EBD) ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control) และกุญแจนิรภัย (Key Immobilizer) โครงเหล็กนิรภัยและคานกัน กระแทกด้านข้างที่ทนทานต่อแรงอัดสูงเรียกว่าไว้ใจได้หากเกิดอุบัติเหตุ
ส่วนสิ่งที่อยากให้ปรับปรุงหรือเพิ่มเข้านั้นยังเหมือนเดิมที่เคยบอกไปแล้วอย่างแรกคือที่วางเท้าของคนขับซึ่งก็ยังไม่มีเหมือนเดิม อีกอย่างที่หลายคนบ่นนั้นคือปุ่มปรับแอร์เพราะหลายครั้งขณะขับอยู่หัวเข่ามันจะไปโดนปุ่มปรับแอร์เข้า
ท่านผู้อ่านก็ลองไปตัดสินใจกันเอาเองนะครับว่าชอบแบบไหนดีเซลหรือ E85 ส่วนราคาค่าตัวมีดังนี้ครับ
Cruze 2.0 AT LTZ 1,248,000.00
Cruze 1.8 AT LTZ 998,000.00
Cruze 1.8 AT LT 936,000.00
Cruze 1.8 AT LS 895,000.00
############################################
premsak@caronline.net