Review ลองขับ Toyota Fortuner Legender

บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย ได้จัดทริปให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ Toyota Fortuner ใหม่ซึ่งได้เปิดตัวกันแบบ New Normal คือเปิดตัวแบบออนไลน์เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย อีกทั้งยังประกอบขึ้นด้วยฝีมือคนไทย และส่งออกไปยังทั่วโลกโดยคนไทย โดยรุ่นที่ไปทดสอบในครั้งนี้ก็คือ Fortuner Legender 2.8 เกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งเป็นตัวท็อป

โดยเส้นทางที่ขับก็คือกรุงเทพ-พัทยา และไปขับเส้นทาง Off Road ที่สนามกีฬาทางอากาศ เขาอ่างแก้ว(หรือที่เรียกกันว่าลานร่มร่อน เขาระเบิด) ระยะทางทั้งสิ้น สองร้อยกว่ากิโลเมตร

การเปิดตัวในครั้งนี้ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ มาพร้อมกันถึง 2 รุ่น 2 ดีไซน์ โดยมีรุ่นมาตรฐาน และรุ่นพิเศษ

รุ่นมาตรฐาน
2.4V เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,494,000 บาท จาก 1,524,000 บาท
2.4V เกียร์อัตโนมัติ 1,424,000 บาท จาก 1,454,000 บาท
2.4G เกียร์อัตโนมัติ 1,319,000 บาท จาก 1,349,000 บาท

 

รุ่นพิเศษ

2.8 Legender เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,839,000 บาท
2.8 Legender เกียร์อัตโนมัติ 1,769,000 บาท
2.4 Legender เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,634,000 บาท
2.4 Legender เกียร์อัตโนมัติ 1,564,000 บาท

 

ซึ่งในที่นี้เราจะพูดถึง Fortuner Lengender 2.8 เกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งเป็นคันที่ขับ

จุดเด่นของโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่
การออกแบบ (Design)
รุ่นมาตรฐาน รูปลักษณ์ภายนอก ที่ปรับดีไซน์กระจังหน้าใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมแถบกันชนล่างสีเงิน เพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่งให้กับตัวรถ ดูหรูหรา บึกบึนมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับไฟหน้า DayTime Running Light แบบ Light Guiding ดีไซน์ใหม่ และปรับชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่เป็นแบบ LED พร้อมกับ Light Guiding เพิ่มความโดดเด่นในยามค่ำคืน

นอกจากนี้ยังปรับล้ออัลลอย 18 นิ้วดีไซน์ใหม่ให้รับกับตัวรถ

รุ่นพิเศษ ที่ใช้ชื่อรุ่นว่า “Legender” ได้รับการออกแบบให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน คำนึงถึงความสวยงามของเส้นสายที่ดูเฉียบคมมากยิ่งขึ้น ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพิ่มความโฉบเฉี่ยว ด้วยสัดส่วนกระจังหน้าที่แตกต่าง

เพิ่มความทันสมัยด้วย ไฟหน้า DayTime Running Light แบบ Light Guiding ดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยว LED แบบ Sequential ไฟสูงและไฟต่ำแบบ LED

พร้อมปรับดีไซน์กันชนหลังใหม่ให้สอดรับกับดีไซน์ด้านหน้าอย่างลงตัว

นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนลายล้ออัลลอย 20 นิ้วเป็นดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมกับหลังคาทูโทน ให้ความโดดเด่นยิ่งขึ้น

ดีไซน์ภายใน

– หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้วที่รองรับ Apple CarPlay เชื่อมต่อทุกความบันเทิงได้อย่างอิสระ พร้อมระบบ T-Connect ที่เชื่อมต่อรถและผู้ใช้รถให้เป็นหนึ่งเดียว


– กล้องมองภาพรอบคันพร้อมมุมมองแบบ 3 มิติ เพิ่มทัศนวิสัย และให้ความปลอดภัยสูงสุด
– สัญญาณเตือนกะระยะ หรือ Park Sensor ให้ทุกการจอดง่ายขึ้น
– ระบบ Activated Kick Door เปิดประตูหลังได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสตัวรถ


– แท่นชาร์จไร้สาย เพื่อตอบสนองการใช้งานในปัจจุบัน สามารถกดปิดได้

-ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มีที่นั่งด้านหลังด้วย
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
-ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
-กระจกมองหลังลดแสงสะท้อนอัตมัติ
-จอสีแบบ TFT
-มาตรวัดเรืองแสง


-ฟังก์ชั่นแสดงการเลี้ยวของล้อหน้ามีแสดงบนจอ MID
-เบาะนั่งคนขับและเบานั่งผู่โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
-เบาะปรับพับแถวสองแบบ One Touch
-=ชุดเครื่องเสียงและลำโพง JBL ลำโพง 9 ตำแหน่ง 11 ลำโพง (รวม Sub-Woofer)
-=ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า กระแสตรง DC 12 โวลต์ 2 ตำแหน่ง กระแสสลับ 220 โวลต์ 1 ตำแหน่ง


ช่องUSB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ตำแหน่ง

 

สมรรถนะการขับขี่ 

– เครื่องยนต์ใหม่ในรุ่น 2.8 ลิตร ดีเซล ให้กำลังสูงสุดได้ถึง 204 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดที่ 500 นิวตันเมตร (Nm) ในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่กว้างตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที


เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด ตอบรับทุกการขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ และประหยัดน้ำมันมากขึ้น

เพิ่มเพลาปรับสมดุล (Balance Shaft) ในเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่ส่งเข้าสู่ห้องโดยสาร เพิ่มความเงียบและความนุ่มนวลในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

สำหรับการขับขี่แบบ Off-Road

– เครื่องยนต์มีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา (จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที) สามารถลุยเส้นทาง Off-Road ได้อย่างมั่นคง ราบรื่น ไม่สะดุด


– แสดงข้อมูลตำแหน่งองศาของล้อบนหน้าจอ MID และติดตั้งสัญญาณเตือนกะระยะด้านท้าย และมุมกันชนหน้า-หลัง เพื่อช่วยตรวจสอบสิ่งกีดขวางรอบข้างขณะขับขี่
– เพิ่มระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็วให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ
– Sport Mode เพื่อช่วยให้การขับขี่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับการทำงานของคันเร่งให้ตอบสนองเร็วยิ่งขึ้น และปรับการทำงานของพวงมาลัยให้มีน้ำหนักมากขึ้น เหมาะสำหรับการเร่งแซงและการขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูง


-และรุ่นนี้มี ระบบการขับขี่แบบ ECO Normal และ Sport Mode

ระบบความปลอดภัย (Safety)
โตโยต้า (Toyota Safety Sense) ในรถอเนกประสงค์ PPV อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Cruise Control)

และ ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert)

– กล้องมองภาพรอบคันพร้อมมุมมองแบบ 3 มิติ เพิ่มทัศนวิสัย และให้ความปลอดภัย
– สัญญาณเตือนกะระยะ หรือ Park Sensor ให้ทุกการจอดง่ายขึ้น
– ระบบ Activated Kick Door เปิดประตูหลังได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสตัวรถ
-ระบบป้องกันล้อล็อคABS ระบบกรัจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC แบบ A-TRC
ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TRC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Kimited Slip Differential)
ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
ระบบถุงลมเสริม ด้านผู้ชับ ผู้โดยสาร และหัวเข่าผู้ขับ
ความปลอดภัย SRS ด้านข้างและม่านนิรภัย
ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

Application T-Connect by Toyota

-ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย อาทิ บริการผู้ช่วยส่วนตัว ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สามารถเช็กตำแหน่งรถตามเวลาจริง (Real Time) ได้ทุกที่ ทุกเวลา
-Find My Car เช็คตำแหน่งรถ Real Time ทุกที่ทุกเวลา

-รวมถึงระบบป้องกันการโจรกรรม (Theft Track)

-และระบบประสานความช่วยเหลือ SOS ของโตโยต้าได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังมีบริการแจ้งเตือนล่วงหน้าสำหรับเข้าศูนย์บริการ Telematic Care
Maintenance Reminder แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย
Geo-Fencing ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากเขตที่กำหนด
Vehicle Information แสดงสถานะการขับขี่ข้อมูลการขับขี่สรุปทริปการเดินทางพร้อมให้แชร์ลงโซเชียล อีกทั้งแจ้งเตือนต่อทะเบียนรถประจำปีอัตโนมัติล่วงหน้า

พร้อมกับประกันภัยรูปแบบใหม่ ประกันภัยขับดีลดให้ Toyota Care PHYD (Pay How Your Drive) ซึ่งทำให้ลูกค้าจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยตามพฤติกรรมการขับขี่ ผู้ที่ขับขี่อย่างปลอดภัยจะได้ประโยชน์เป็นส่วนลดและยังเป็นการสร้างความปลอดภัยในสังคมมากยิ่งขึ้น
สำหรับการทำประกันภัยกับบริษัทที่กำหนดไว้เท่านั้น

 

ช่วงขับจริง

หลังจากทราบข้อมูลต่างๆแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงช่วงของการขับขี่จริงทั้งทางเรียบ On Road และ Off Road

โดยในช่วงเช้าหลังจากฟังรายละเอียดข้อมูลของรถตามรายละเอียดด้านบนแล้วจากทางเจ้าหน้าที่ของทางโตโยต้า

เราก็เตรียมตัวออกเดินทางกันเลย

โดยออกเดินทางจากโรงแรม Renaissance พัทยามุ่งหน้าสู่ทางออฟโรดที่สนามกีฬาทางอากาศ เขาอ่างแก้ว (ลานร่มร่อน เขาระเบิด)
โดยผ่านไปถนนทางเขาชีจรรย์ เส้นทางช่วงนี้เป็นทางเรียบ ก็เลยได้ทดสอบสมรรถนะ ของรถคันนี้ได้อย่างเต็มที่

ช่วงแรกก็จะเป็นผู้โดยสารไปก่อน โดยมีคุณกี๊ฟจากออโตวิชั่นเป็นคนขับ

ก็มีโอกาสได้สังเกตรอบตัวรถ ก้าวขึ้นรถโดยมีที่จับอยู่ที่เสาเอ จับแล้วก็ขึ้นนั่งด้านคนนั่ง โดยก้าวผ่านบันไดข้างที่ทอดยาวจากประตูหน้าไปถึงประตูหลัง

ที่นั่งด้านคนโดยสารเป็นระบบไฟฟ้าปรับได้ แปดทิศทางเหมือนทางด้านคนขับ ภายในดูกว้างขวาง เบาะที่นั่งนั่งสบายกระชับตัว

เนื่องจากเป็นรถ แบบ SUV ที่สูงก็ทำให้ทัศนวิสัยดีเห็นชัดเจน

เปิดที่บังแดดก็มีกระจกแต่งหน้าทั้งด้านผู้นั่งและผู้ขับ และมีไฟแบบรูมไลท์ให้ด้วย

ที่เก็บของด้านหน้านั้นด้านบนจะมีช่อง เก็บความเย็น วางขวดน้ำเข้าไปแช่ได้เลย

ฝั่งซ้ายติดกับที่เก็บของด้านติดกับประตูก็จะมีช่องวางแก้วแบบดึงออกมาเมื่อต้องการใช้ ดูแล้วไม่เปลืองเนื้อที่ดี ช่องวางแก้วมีสองฝั่ง
แอร์แบบอัตโนมัติปรับความเย็นที่เดียวไม่แยกซ้ายขวา
ที่นั่งด้านหลังก็มีช่องแอร์ให้ด้วยและผู้โดยสารสามารถเปิดปิดความเย็นได้
ช่วงล่างนั่งแล้วรู้สึกถึงความแน่นหนึบหนับของช่วงล่างเวลาผ่านถนนขรุขระ

 

แล้วเราก็เดินทางถึงปั๊มน้ำมัน ปตท.ซึ่งเป็นที่พักเพื่อเปลี่ยนคนขับ   ซึ่งช่วงนี้ผู้เขียนก็เป็นคนขับในช่วงที่ 2

ขึ้นรถปรับที่นั่งซึ่งปรับได้ 8 ทิศทาง ก็ปรับระดับสูงสุดเลยเพราะเราเป็นคนตัวเล็ก จะได้เห็นด้านหน้าได้ชัดเจน

เมื่อปรับที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางพร้อมคันอื่นๆ

 

เมื่อเหยียบคันเร่งรถก็พร้อมออกตัวในทันที

ภายในห้องโดยสารก็ถือว่าเงียบนะคะ  แม้จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เมื่อเราเหยียบคันเร่งแรงๆและวิ่งเร็วๆ

กระจกไฟฟ้าแบบขึ้นลงอัตโนมัติพร้อมระบบป้องกันการหนีบ

พวงมาลัยแบบ Soft touch เดินด้วยด้ายสีเทาพร้อมลายไม้ จับกระชับมือดี พวงมาลัยนั้น เมื่ออยู่ในรอบความเร็วต่ำ พวงมาลัยก็จะเบามือหน่อย แต่เมื่อความเร็วสูงก็จะหนักแน่นขึ้นตามความเร็ว

เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ มี Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

 

เบรกเป็นดิสค์เบรก 4 ล้อ หยุดได้ดั่งใจ เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อต้องเบรก ดีกว่ารุ่นก่อนเยอะเลย

อัตราเร่งแซงเป็นที่น่าพอใจเนื่องจากแรงบิดจะมาตั้งแต่ในรอบต่ำ กำลังก็เลยมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

เส้นทางที่วิ่งเมื่อเราต้องเปลี่ยนเลนหรือทางโค้ง รถก็เกาะถนน

และเราก็ได้ลองตัว  Lane Departure Alert ตัวควบคุมไม่ให้รถออกนอกเลน คือถ้าออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว รู้สึกถึงแรงดึงกลับเข้าเลนที่พวงมาลัย  ซึ่งระบบนี้เราไม่ใช้ก็ปิดได้

 

 

เมื่อสิ้นสุดทางหลวงแล้ว เราก็เริ่มวิ่งเข้าสู่ทางหลวงชนบทเพื่อไปยังเขาระเบิด โดยเราต้องวิ่งไต่ขึ้นบนยอดเขา

ซึ่งทางทื่วิ่งถนนเป็นดินเหนียวและลูกรังก็ค่อนข้างลื่น

เนื่องจากในช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ถนนก็จะเฉอะแฉะ

และถนนก็เป็นทางแคบๆ บางช่วงเป็นทางลาดชัน

เราก็เลยเปลี่ยนระบบการขับเคลื่อนจาก 2ล้อ เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ 4 H และกดเปิด DHC คือระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และมี A-TRC ซึ่งช่วยหน่วงเบรกในทางลาดชันโดยเราไม่ต้องเหยียบเบรก  และระบบ A-TRC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบแอคทีฟซึ่งช่วยให้ขับง่ายขึ้นบนทางขรุขระและเต็มไปด้วยร่องน้ำ

บางช่วงร่องกว้าง บางช่วงก็แคบ แต่เนื่องจากระบบต่างๆของรถที่ให้มาก็ช่วยให้ผ่านไปได้ ประกอบด้วยล้อใหญ่ก็ช่วยให้ผ่านร่องดินต่างๆได้ง่ายขึ้นด้วยยางขนาด265/50R20ล้ออัลลอย

 

เส้นทางแคบโค้งที่ต้องหักพวงมาลัย ก็กลับเข้าโค้งง่ายวงเลี้ยวแคบดี ซึ่งรัศมีวงเลี้ยวคันนี้อยู่ที่ 5.8

และมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งเป็นทางไต่ขึ้นบนที่สูง เราต้องขับลงเหมือนลงเขาก่อนแล้วขึ้นเขา

ซึ่งในช่วงนี้ได้ใช้ 4 L และเปิดทุกระบบความปลอดภัยที่ให้มา ค่อยๆไต่ลงโดยปล่อยลงไปเลยไม่เหยียบทั้งเบรกและคันเร่งเนื่องจากถนนลื่น ตัวรถจะดิ้นเหมือนม้าพยศ ต้องจับพวงมาลัยให้แน่นเลยไม่งั้นดิ้นแรงมาก

เมื่อถึงพื้นที่เป็นโคลน ก็เติมคันเร่งลงไปและวิ่งตามร่องของรถคันหน้า และค่อยๆไต่ขึ้นเขาโดยรักษาระดับคันเร่งเอาไว้ ตามองข้างหน้าอย่างเดียว

และได้เปิดจอ Camera ไว้ ก็จะเห็นว่าล้อเราอยู่แนวไหน จะได้ไม่หลงพวงมาลัย เพื่อจะได้รักษาล้อให้ตรง

แต่พูดจริงๆนะ ตอนขับไม่ได้มองจอเลย มองแต่ข้างหน้าเพื่อให้รถผ่านพ้นไปให้ได้ โดยฟังเสียงจากวิทยุสื่อสารที่บอกมา และเพื่อนร่วมทางที่ช่วยดูเส้นทางให้ด้วย

เราก็ผ่านทางหฤโหดที่เป็นทางธรรมชาติไปด้วยดี และขับขึ้นไปบนเขาซึ่งเป็นลานร่มร่อนอย่างโล่งใจ

หลังจากนั้นก็ขับกลับทางเดิม

แวะรับประทานอาหารกลางวัน แล้วนำของอุปโภคบริโภคไปมอบให้กับนักเรียนที่โรงเรียนเขาสก ชลบุรี

 

ก็จบทริปการทดลองขับ Toyota Fortuner Legender ตัว 2.8 อย่างสนุกสนาน ได้ใช้ทุกฟังก์ชั่นของรถ

ซึ่งท่านที่ชอบการเดินทางท่องเที่ยวและผจญภัย เดินทางสองคนหรือเดินทางไปทั้งครอบครัว

รถคันนี้ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ครบครัน

 

ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา  ( Along Review ผู้หญิงขับรถ)

Facebook Comments