Categories: รถใหม่

Nissan Leaf : Zero Emission ยานยนต์พลังไฟฟ้า


เทคโนโลยีที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดและใช้บ่อยบ่อยนั้นคือ ไฟฟ้า ไม่ว่าท่านจะทำอะไรหรือหยิบจับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวแทบทุกชิ้นนั้นต้องใช้ไฟฟ้าเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการเสียบปลั๊กไว้ตลอดการใช้งาน การเสียบชาร์จแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์พกพาเช่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
อย่าเพิ่งงงครับเมื่ออ่านถึงตรงนี้อาจสงสัยว่ามาพูดเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าทำไมหรือจะมีบริษัทรถหันมาทำโทรศัพท์มือถือก็ไม่ใช่อีกละครับ สิ่งที่ผมจะพูดถึงนั้นคือ “รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า” อ้าวมันยังไงกันนี่มาถึงตรงนี้ก็ขอเล่าอะไรให้ฟังบ้าง


เรื่องของเรื่องนั้นก็คือเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาทาง นิสสัน นั้นได้เชิญสื่อมวลชนบางส่วนให้เข้าไปรับฟังบรรยายเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการพัฒนารถไฟฟ้าของทางนิสสันคือเจ้าตัว ลีฟ ซึ่งผมได้เป็นหนึ่งในกลุ่มสื่อมวลชนที่ได้เข้าร่วมงาน แต่พิเศษกว่าเพราะตอนที่เข้าฟังบรรยายนั้นถือว่าเป็นกลุ่มเล็กมากมีแค่ 4 สำนักเท่านั้น งานครั้งนี้จัดขึ้นที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ ผมไปถึงงานก่อนเวลาพอสมควรก็เลยเห็นว่ามีน้องน้องจากสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาสองสามแห่งเข้ารับฟังบรรยายก่อนผมในช่วงเช้า
ผมว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่ทางนิสสันเล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่น้องเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติและเป็นการปูทางให้เรียนรู้เทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันว่าก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว


เมื่อได้เวลาแล้วทางพี่ตุ๊กและน้องวิชาญก็เรียกพวกเราเข้าห้องฟังบรรยายโดยมีคุณชนกนันท์ เตชะภัทรพร ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กล่าวต้อนรับ
การบรรยายในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณฮิเดโทชิ คาโดตะ หัวหน้าวิศวกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น บินตรงมาบรรยายเพื่องงานนี้โดยเฉพาะกันเลย


เราเริ่มด้วยข้อมูลพื้นฐานของตัวรถกันก่อน โดย นิสสัน ลีฟ มีมิติรถมีขนาด 4445*1770*1545 มม. โดยสารได้ 5 คน การชาร์จไฟ 1 ครั้งนั้นสามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 160-200 กิโลเมตรตามโหมดการทดสอบของ อเมริกา ยุโรปหรือ ญี่ปุ่น


แบตเตอรี่นั้นใช้แบบ ลิเธียม ไอออน ที่มีน้ำหนักเบา กะทัดรัด โดยมีความจุถึง 24 กิโลวัตต์ ต่อชั่วโมง ให้พลังงานมากกว่า 90 กิโลวัตต์ ต่อชั่วโมงชุดแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้บริเวณพื้นรถ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของตัวถัง ให้สมดุลน้ำหนักที่ดีและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้าง ซึ่งส่วนนี้มีผลในเรื่องของการตอบสนองต่อการควบคุมรถ
มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC 3 เฟส ให้กำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ (แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งมีความต่อเนื่อง และให้พลังในทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถหาได้ในพาหนะที่ใช้น้ำมันทั่วไป ประสิทธิภาพด้านอัตราเร่งของนิสสัน ลีฟ ในช่วงความเร็วต่ำไปจนถึงช่วงกลาง เทียบได้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ขนาดความจุ 3.0 ลิตร และทำความเร็วสูงสุดได้ 145 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง


การออกแบบตัวรถนั้นมีส่วนช่วงในเรื่องของการลดเสียงรบกวนของลมนอกจากนี้การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นทำให้รถนั้นไม่มีเสียงการทำงานของเครื่องยนต์มารบกวนอีกด้วย


ในการชาร์จไฟนั้น“นิสสันลีฟ”ก็มีการออกแบบเพื่อความปลอดภัยมั่นใจได้ในการชาร์จไฟที่ปลอดภัยด้วยสายชาร์จและช่องเสียบแบบกันน้ำ และติดตั้งช่องระบายน้ำทิ้งที่อุปกรณ์เชื่อมต่อ และที่ช่องเสียบ ในกรณีที่น้ำเข้า และทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร กล่องควบคุมซึ่งถูกติดตั้งไว้ภายในสายชาร์จจะทำการตัดไฟฟ้าทันที


ส่วนเรื่องที่หลายคนกลัวว่าการลุยน้ำนั้นจะลุยได้ถึงขนาดไหนหากจำเป็นว่าจะต้องลุยน้ำนั้นทางทีมวิศวกรของ”ลีฟ”ก็ได้ทำการทดลองแล้วถ่ายคลิปให้พวกเราดูแสดงให้เห็นว่าสามารถลุยน้ำได้สูงถึง 70 เซนติเมตรกันเลยทีเดียว โดยมีข้อแม้ว่าต้องขับเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยวิ่งได้ไม่เกิน 30 กิโลเมตร


ส่วนเรื่องหากเกิดการชนขึ้นมาความปลอดภัยของ นิสสัน ลีฟ ไม่ต้องกังวลผ่านสถาบันยานยนต์ดังมาแล้วโดยได้รับการการันตีว่าอยู่ในขั้นเยี่ยมยอดได้มาถึง 5 ดาวในการทดสอบของ NACAP


การชาร์จนั้นหากเป็นการชาร์จแบบเร็วนั้นจากแท่นที่มีขนาดใหญ่ ในอนาคตนั้นก็จะให้มีขนาดเล็กลงครึ่งและราคาต้องไม่แพง การใช้งานนั้นต้องไม่ยุ่งยากและไม่สกปรกอีกด้วย


การชาร์จไฟนั้นยังมีมาตรฐานสากลโดยมีการรวมกลุ่มกันออกมาองค์กรระหว่างประเทศโดยใช้ชื่อว่า CHAdeMO เพื่อกำหนดรูปแบบให้ใช้งานได้เหมือนกันทุกรุ่นทุกยี่ห้อ


ที่ชาร์จไฟติดตั้งอยู่ที่ฝากระโปรงหน้าสำหรับ”การชาร์จปกติ” รวมถึง”ควิกชาร์จ”ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง หลังจากไฟเตือนให้ชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับการชาร์จไฟ 200 โวลท์ แบบการชาร์จปกติ และแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 30 นาทีโดยแบบ ควิกชาร์จ สายชาร์จขนาดความยาว 7.5 เมตร สำหรับการชาร์จไฟ 200 โวลท์ แบบปกติ มีให้เป็นมาตรฐาน


นอกจากการชาร์จไฟจากบ้านแล้ว นิสสัน ลีฟ นั้นยังสามารถเปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงานหรือจ่ายไฟกลับไปใช้ภายในบ้านได้อีกด้วยซึ่งหากชาร์จเต็มความจุแล้วสามารถจ่ายไฟในบ้านได้ถึง 2 วันหรือไม่เกิน 24 kWh
และสามารถจ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งบ้านที่ใช้พร้อมกันได้ถึง 6 kW


ในอนาคตนั้นเราอาจจะเห็นการชาร์จโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กหรือไร้สายก็ได้แต่จะเมื่อไรนั้นต้องติดตามกันต่อไป


เมื่อฟังบรรยายเสร็จสิ้นกันแล้วก็มาถึงเวลาที่เราจะต้องไปลองรถกันซะที ความสงสัยต่างต่างที่ว่าการขับขี่นั้นจะเป็นยังไงบ้าง แตกต่างจากรถไฮบริดหรือรถทั่วทั่วไปยังไงบ้างเดี๋ยวเราก็จะได้รู้กันซะที
รถนั้นนิสสันสั่งนำเข้ามาทั้งหมด 3 คันโดยคันแรกเป็นคันสีฟ้าจอดไว้เป็น display ส่วนอีกสองคันเป็นสีขาวไว้ให้ทดลองขับกัน ซึ่งได้จอดรอผมอยู่ที่หน้าโรงแรมอยู่แล้ว


เมื่อก้าวขึ้นมาในรถนั้นก็เห็นแผงหน้าปัดแสดงข้อมูลต่างๆเยอะทีเดียว การจัดหน้าจอเป็นแบบสองชั้นและการแสดงผลนั้นเป็นแบบดิจิตอลหมดสวยงามมาก


ห้องโดยสารออกแบบมาให้รู้สึกโปร่งสบายและยังดูอบอุ่นอีกด้วยจากการใช้โทนสีครีมอ่อนจนเกือบจะเป็นสีขาว


ส่วนการขับขี่นั้นเมื่อการเข้าเกียร์เพื่อที่จะขับเคลื่อนอันที่จริงไม่ค่อยอยากจะเรียกว่าคันเกียร์เท่าไรเรียกเป็นจอยสติกซ์จะดีกว่าโดยเมื่อจะเดินหน้านั้นต้องเหยียบเบรกก่อนแล้วเลื่อนจอยสติกซ์เข้าหาตัวแล้วกดลงไฟแสดงตัว D ขึ้นที่หน้าจอก็เป็นเกียร์เดินหน้า
แล้วถ้าถอยหลังละทำยังไงเช่นกันครับเหยียบเบรกก่อนดึงจอยสติกซ์เข้าหาตัวแล้วดันขึ้น ไฟตัว R ก็จะขึ้นมาที่หน้าจอพร้อมกับมีกล้องมองหลังแสดงที่จอทัชสกรีน
แต่ถ้าเราดันตัวจอยสติกซ์เข้าหาตัวแล้วค้างไว้สักพักก็จะกลายเป็นเกียร์ N
ส่วนถ้าจะจอดหรืออยากให้เป็นเกียร์ P นั้นง่ายๆเพียงแค่กดปุ่มด้านบนจอยสติกซ์ค้างไว้ก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ P เองโดยอัตโนมัติ


แล้วเบรกมือนั้นเป็นแบบไฟฟ้าใช้งานยากรึเปล่าไม่ยากครับ เพียงแต่เหยียบเบรกดึงปุ่มขึ้นมาแล้วปล่อยก็เป็นดึงเบรกมือแล้วส่วนการปลดนั้นต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนเหยียบเบรกแล้วกดปุ่มลงค้างไว้เมื่อไฟดับลงก็จะเป็นการปลดล็อค


เมื่อเราเรียนรู้การทำงานของระบบต่างๆแล้วจากคนที่คุมรถหรือ Instructor เป็นที่เรียบร้อยก็ออกเดินทางกันเลยครับระยะทางนั้นสั้นๆแค่ประมาณ 8 กิโมเมตรเองแล้วยังวิ่งในบริเวณสนามบินอีกต่างหากซึ่งเวลาประมาณบ่ายสามโมงนั้นการจราจรค่อนข้างจอแจรถเยอะพอควรการขับขี่นั้นอยากจะบอกว่ารู้สึกว่าจะต่างจากรถทั่วๆไปอยู่บ้างหากคุณไม่เคยขับรถประเภทนี้หรือใกล้กับแบบนี้มาก่อน


ผมปรับตัวให้คุ้นเคยกับเจ้า ลีฟ ซะหน่อยเมื่อเริ่มคุ้นชินทั้งการกะระยะเลี้ยว การหมุนพวงมาลัย น้ำหนักในกดคันเร่งรวมไปถึงการเหยียบเบรก แต่แล้วผมก็พลาดจนได้ผมเปิดไฟเลี้ยวผิดฝั่งครับ ทางนิสสันนั้นย้ายก้านไฟเลี้ยวมาอยู่ฝั่งซ้ายครับท่านผู้อ่าน


เสียงการทำงานของเครื่องยนต์นั้นไม่มีเสียงเล็ดลอดเข้ามาเลยครับก็จะมีได้ไงละครับเพราะมันทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเสียงมันจึงเงียบ เงียบถึงขนาดว่าได้ยินแต่เสียงลมที่ปล่อยออกมาจากช่องแอร์เท่านั้น
ระบบช่วงล่างนั้นอยู่ยึดเกาะถนนได้ดีหนึบมากพวงมาลัยนั้นเป็นแบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าน้ำหนักออกจะเบาไปหน่อยสำหรับผมแต่อาจจะเหมาะกับคนอื่นๆ


อัตราเร่งนั้นในความรู้สึกผมนั้นเรียกว่าเหลือเฝือมาอย่างต่อเนื่องแบบหลังติดเบาะและมาตั้งแต่ที่กดคันเร่งลงไปเพราะมอเตอร์ไฟฟ้านั้นไม่ต้องรอรอบแต่อย่างใด กดคันเร่งกันจนเพลินละครับเดี๋ยวแบตเตอรี่จะหมดเอาซะก่อนจะหาที่ชาร์จก็จะลำบากเอานะครับ
การควบคุมรถนั้นในช่วงทางตรงก่อนวนกลับเข้าโรงแรมนั้นมีโอกาสได้ใช้ความเร็วตั้งแต่ 120 ไปจนถึงช่วง 140 ยังควบคุมได้แบบสบายสบายไม่เครียดแต่อย่างใด


ระบบเบรกนั้นเอาอยู่แบบสบายมากแม้ว่าเป็นรถไฟฟ้าแต่ยังใช้น้ำหนักในการเหยียบเบรกเหมือนรถทั่วไปไม่ใช่การเบรกแบบหัวทิ่มในการเหยียบ ในครั้งนี้เหมือนบางรุ่นที่ผมเคยไปลองมาและเมื่อรถชะลอความเร็วลงพลังงานไฟฟ้าจะถูกสร้างขึ้นจากแรงเบรกและจะนำกลับมาใช้ใหม่


ลีฟ นั้นเป็นรถยนต์ที่น่าใช้มากรุ่นนึงเลยหากภาครัฐนั้นให้การสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีทั้งการนำเข้าทั้งคันหรือจะเป็นการประกอบขึ้นภายในประเทศ หากมองในเรื่องของสิ่งแวดล้อม มลพิษ ที่รถปล่อยออกมานั้นเป็นศูนย์เลย เพราะรถนั้นไม่มีการเผาไหม้มลพิษนั้นจึงไม่เกิดขึ้น แล้วที่ส่งเสริมแล้วมันก็เรื่องที่ต้องต่อเนื่องมาอีกนั้นคือสถานีบริการชาร์จไฟเข้ามาอีก ถามว่าตอนนี้ที่การไฟฟ้าพร้อมรึยังนั้นคือปัญหาอีกอย่างที่เราต้องเตรียมพร้อม


เพราะถ้าเราลดการใช้น้ำมันได้ก็เป็นประโยชน์ของประเทศเงินตราไม่ต้องไหลออกนอกไปมากกว่านี้เพราะหากคิดว่าค่าใช้ไฟยูนิตละ 2 บาทการชาร์จไฟเต็มประจุ 8 ชั่วโมงด้วยไฟ 110 v ในญี่ปุ่นแต่ในไทยใช้แค่ 4 ชั่วโมงเพราะกระแสไฟเป็น 220v จะเสียเงินค่าไฟแค่ 48 บาทเท่านั้นและสามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตร ลองคิดดูแล้วกันว่ากิโลเมตรละกี่สตางค์ ประหยัดแค่ไหน
ถ้ารัฐนั้นเริ่มศึกษาและเรียนรู้ต้องตั้งแต่วันนี้และเห็นความสำคัญเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยและลงตัวทางนิสสันก็คงจะมีรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่สามารถวิ่งได้ถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเทียบเท่ากับรถขนาดเทียน่าได้ ณ เวลานั้นขออย่าให้เป็นแบบ 3G ถึงรู้ว่ามีแต่มาไม่ถึง
########################################################

premsak@caronline.net

Facebook Comments
CarOnline Team

Recent Posts