KOBE –HIROSHIMA & Automobile ;By:Thunyaluk Seniwongs


เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขียนแล้วก็ดองเอาไว้ ไม่ได้เอาลงสักที ผ่านไปหนึ่งปีแล้วแต่ก็คิดว่ายังน่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับท่านที่ชอบเดินทาง ก็ขอเอามาลงให้อ่านกันเล่นๆนะคะ เพราะไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก
เช้าวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2009 ก่อนเดินทางไปเมืองโกเบประเทศญี่ปุ่น แปดโมงเช้าก็ได้ไปเข้าคอร์สการขับขี่แบบ Advanceที่จัดโดยบริษัทเมอร์เซเดสเบนซ์ประเทศไทย เป็นการสอนทักษะการขับรถ โดยครูผู้สอนต้องการชี้ให้เห็นถึงอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆที่รถมีเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่ด้วยที่จะต้องไม่ประมาทเพราะถึงรถจะมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าผู้ขับขี่ขับรถด้วยความประมาทอุปกรณ์ก็ไม่อาจจะช่วยได้
คราวนี้ได้เรียนรู้ในหลายๆอย่าง เช่นการควบคุมรถเมื่อเจอสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้าจะต้องหักหลบอย่างไร เข้าโค้งที่โค้งมากๆจะต้องควบคุมรถอย่างไร และหากว่าที่ใดมีการสอนการขับขี่แบบปลอดภัย ถ้าท่านมีโอกาส ก็ควรจะไปเรียน อย่าคิดแต่ว่าเราขับรถเป็นแล้ว แล้วดีแล้วหรือยัง


มาเข้าเรื่องการเดินทางดีกว่านะคะ ครั้งนี้เราเดินทางด้วยกันสองคนคือฉันและคุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา เราออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน TG 622 ของการบินไทย เครื่องบินจะออกเวลา 23.00 น. แต่เครื่องออกล่าช้าเล็กน้อย

กัปตันประกาศว่าสาเหตุเพราะต้องเอากระเป๋าผู้โดยสารที่โหลดขึ้นเครื่องแล้วแปดคนออกไป เนื่องจากผู้โดยสารไม่มาขึ้นเครื่อง ซึ่งอันนี้ฉันเข้าใจว่า เป็นความปลอดภัยของผู้โดยสารและตัวเครื่องบินเอง
และเราก็ออกเดินทางถึงเมืองโกเบที่สนามบินคันไซตามเวลาที่กำหนด ก็คือเวลา 6.10 น. ซึ่งก็คือตีสี่สิบนาทีที่บ้านเรา เพราะเวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าเมืองไทยสองชั่วโมง นั่นเอง
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว รับกระเป๋าเสร็จก็จะผ่านด่านสุดท้ายก่อนออกประตู ซึ่งเขาจะถามว่ามาทำไมพักที่ไหนเราก็บอกไปตามจริง แต่เห็นบางคนก็ต้องเปิดกระเป๋าให้เขาตรวจเหมือนกัน น่าจะเป็นการสุ่มตรวจเหมือนบ้านเรา


เสร็จแล้วก็มานั่งเฝ้าสัมภาระรอคุณธเนศร์ซึ่งก็ขึ้นไปรับตั๋ว JR Pass ซึ่งเราได้ซื้อมาจากเมืองไทยโดยมีใบรับแล้วนำมารับตั๋วที่สนามบินโดยข้าม อาคารบนทางเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสารไปยังสถานี JR Rail Pass เพื่อแลกเปลี่ยนเอกสารกับตั๋วที่ซื้อจากประเทศไทยเป็น JR Rail Pass ของแท้ ที่จะใช้เดินทางด้วยรถไฟในญี่ปุ่น โดยเราซื้อตั๋วเจ็ดวันโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ที่เราจะเดินทางไปฮิโรชิม่า เพื่อเข้าเยี่ยมชมโรงงานของมาสด้า บัตรนี้จะใช้ได้จนถึงวันทึ่ 28 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ญี่ปุ่น เพราะเราจะเดินทางกลับในวันที่ 1 มีนาคมแต่เช้า


เมื่อคุณธเนศร์เดินกลับมา ได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว เราก็เข็นรถออกนอกอาคารสนามบิน สัมผัสแรกก็คืออากาศเย็นยะเยือกเลยล่ะ และมีละอองฝนเล็กๆด้วย เสื้อหนาวผ้าพันคอพร้อมก็ค่อยยังชั่วหน่อยตอนนั้นรู้สึกว่าอากาศน่าจะ 5 องศา
คุณธเนศร์ไปซื้อตั๋วรถบัสที่เราจะเดินทางไปที่โรงแรมเชอราตันโกเบที่ ROKKO ISLAND คราวนี้ต้องชื้อตั๋วจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติซึ่งอยู่ใกล้ๆกับรถบัส ซึ่งเมื่อสองปีก่อนจะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋ว แต่คราวนี้ไม่เห็นแล้ว ราคาตั๋วก็คนละ 1,750 เยนต่อเที่ยว แต่อยากจะแนะนำให้ท่านซื้อตั๋วไปกลับ เพราะราคาใบละ 3,000 เยน ถูกกว่าตั้ง 500เยนเชียวละ ถ้าขึ้นแท็กซี่ ก็ตกเที่ยวละ ประมาณ 19,000 เยน ราคาต่างกันเยอะเลยนะคะ แล้วเราก็ต้องดูตารางเวลาที่ขึ้นบนกระดานซึ่งนอกจากภาษาญี่ปุ่นแล้วก็จะมีภาษา อังกฤษให้ด้วย ถ้าไม่มั่นใจก็ถามเจ้าหน้าที่ตรงรถบัสได้เลย รถจะออกตรงเวลา


ถ้าเวลาขึ้นว่า 8.00 น. รถก็จะมาก่อนเวลาเล็กน้อยเพื่อให้มีเวลาขนของขึ้นรถ แล้วพอแปดโมงเป๊ะรถก็ออกเลย รถจะวิ่งบนToll way ผ่านด่านเก็บเงิน ETC รถทุกคันที่วิ่งผ่านเขาต้องมีบัตร เวลาวิ่งผ่านเขาก็ไม่ต้องจอดหรือชะลอความเร็วของรถ วิ่งผ่านได้เลยซึ่งทำให้ไม่เสียเวลา รถบัสคันนี้ไม่จอดที่ไหนเลย ตรงดิ่งไปที่จอดที่โรงแรมเชอราตันโกเบ ผู้โดยสารเยอะพอควร บนรถจะอุ่นสบาย เพราะมีฮีทเตอร์
ที่ญี่ปุ่นรถจะพวงมาลัยขวาเหมือนที่บ้านเรา อ้อลืมบอกไปก่อนขึ้นรถเจ้าหน้าที่รถบัสก็จะถามว่าเรามีกระเป๋ากี่ใบ แล้วจะให้ตั๋วตามจำนวนกระเป๋า เวลาจะรับกระเป๋าก็เอาตั๋วให้เขาไปเพื่อรับกระเป๋า


พอถึงโรงแรมก็เข้าเช็คอินแต่เราไปถึงโรงแรมเวลา 9.00 น. เร็วกว่าเวลาที่เช็คอินคือ 14.00 น. ถ้าเราจะเข้าก่อนก็ต้องเสียเงิน 30 % ของค่าห้องซึ่งเราก็ยอมเสียคงเป็นกฎใหม่ของที่นี่ เพราะเมื่อคราวก่อนไปเข้าเช็คอินได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
อาบน้ำเสร็จก็ไปทานข้าวร้านอร่อยที่อยู่ชั้นสองบริเวณเดียวกับโรงแรมร้านนี้เป็นร้านหมูทอด ชุดที่สั่งก็มีหมูทอดกุ้งทอดและคากิทอดพร้อมกระหล่ำปลีหั่นฝอยละเอียด แล้วมีงาใส่ในถ้วยน้ำจิ้มมาให้ เราก็เอาไม้เล็กๆที่เขาให้มาบดงาแล้วตักน้ำจิ้มใส่ลงไปเพื่อจิ้มหมู เสิร์ฟพร้อมซุปเต้าเจี้ยวและข้าวเปล่า ส่วนผักก็มีน้ำสลัดให้ราด ราคา 1,890 เยน
หน้านี้ที่อร่อยอีกอย่างก็คือสตรอเบอรี่ที่จะมีรสชาติหวานและหอมมากเลยค่ะ


วันรุ่งขึ้น วันเสาร์ที่ 21 เราก็ยังอยู่ที่โกเบ โรงแรมเชอราตันโกเบ เมื่อปี 2007 ยังไม่มีรถบัสมาจอดที่โรงแรมต้องเดินไปขึ้นรถไฟซึ่งก็ไม่ไกลจากที่พักนักแต่ต้องขึ้นรถไฟสองต่อค่ะ แต่ปีนี้มีรถบัสมาจอดที่หน้าโรงแรมเลย ใครจะทิ้งโอกาส “ใช่มั้ยค่ะ”
วันนี้ก็เลยเดินทางด้วยรถบัสจากหน้าโรงแรมซึ่งก็มีตารางเวลาการเดินทางเช่นกัน เพื่อเดินทางไป SANOMIYA ซึ่งเป็นแหล่ง ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ย่านนี้คนเยอะมากเพราะมีทั้งห้างสรรพสินค้า และร้านค้าเยอะแยะไปหมดอยู่บริเวณนั้น ค่ารถบัสก็ 360 เยนเป็นราคาของผู้ใหญ่นะคะ ของเด็กก็อีกราคาหนึ่งค่ะ


รถไม่จอดที่ไหนเหมือนกันจนกว่าจะถึงที่หมาย ขากลับเราก็ต้องมาขึ้นที่จุดที่ลง และจะต้องดูเวลาด้วยว่ารถที่เราจะขึ้นจะมากี่โมงบ้าง ซึ่งเราก็ได้หยิบตารางเวลาการเดินทางมาจากโรงแรม เพราะรถเขาจะมาและออกตามเวลาไม่มีการรอและไม่มาสายด้วย ถ้าไม่ทันเที่ยวนี้ก็ต้องไปเที่ยวถัดไปซึ่งก็ไม่นานค่ะ
ตอนแรกก็คิดจะเช่ารถมาขับเหมือนกันแต่เมื่อเห็นความสะดวกสบายในการเดินทางก็เลยเปลี่ยนใจ และอากาศก็หนาวเย็นเหมาะกับการเดินมากเลย


ไม่ไกลจากsanomiya ไม่ใช่ฝั่งที่ ตรงข้ามกับห้างโซโก้คือไม่ใช่ฝั่งที่เราลงและขึ้นรถบัส แต่ต้องเดินเข้าไปในตัวอาคาร ที่จะเดินไปขึ้นรถไฟ แต่เราเดินทะลุตัวอาคารไป ก็จะเห็นร้าน Beneton อยู่ฝั่งตรงข้ามเราก็เดินเข้าถนนสายนั้น ก็จะพบตึกแถวไปตลอดทาง


เดินไปถึงห้องหัวมุมชั้นล่างจะเป็นร้านกาแฟ และ cake อร่อยมากๆ แป้งหอมนุ่ม ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบกินเค้ก ยังอดไม่ได้ แล้วก็กลับไปกินอีก


ส่วนชั้น 7 ก็จะเป็นร้านอาหารญี่ปุน จะมีเนื้อโกเบและเนี้อ มัตสึซากะ ลายของเนื้อเหมือนหินอ่อน ซึ่งจะทำแบบเทปังยากิ แต่คนทำก็จะถามก่อนว่าอยากจะทานแบบไหน แล้วก็จะทำตรงข้างหน้าเรานี่แหละ


คุณธเนศร์กินเนื้อ ส่วนฉันไม่ ก็จะเลือกเป็นหอยนางรมหรือสกาล็อบ ก็เอาบรรยากาศของร้านและอาหารมายั่วน้ำลายกันนะ


ฝั่งตรงข้ามของตึกนี้ก็คือห้าง Tokyo Hand ถัดเข้าไปก็เป็นวัด


บนทางด่วนในตัวเมืองโกเบจะเห็นป้ายจำกัดความเร็วที่ 80 กม./ชม ส่วนในเมือง ก็ 50 กม./ ชม. ค่าที่จอดรถในเมือง 30 นาที 200 เยน หนึ่งชั่วโมงก็ 400 เยน แต่ราคาไม่ได้เหมือนกันทุกที่นะคะ คงแล้วแต่ว่าจอดรถอยู่ย่านไหนมากกว่า


วันที่ 22 กุมภาพันธ์ เราออกเดินทางไปฮิโรชิม่า โ ดยนั่งรถบัสจากโรงแรมเพื่อไปสถานี รถไฟ ชิน โกเบ รถบัสแต่ละคันของที่นี่นะคะ เขาจะมีที่นั่งสำหรับคนพิการ คนสูงอายุ และคนท้องค่ะ แต่ถ้าที่นั่งพวกนี้ว่างเราก็สามารถไปนั่งได้ค่ะ


ค่ารถบัสคนละ 420 เยน จะหยอดเงินใส่กล่องตอนลงจากรถค่ะ ถ้าไม่มีเศษโชเฟอร์ก็จะมีทอนให้ แต่ถ้าเป็นเงินหนึ่งพันเยนก็จะมีกล่องรับธนบัตรอัตโนมัติจะทอนเงินให้ด้วยค่ะ การชำระค่าโดยสารโดยปกติถ้าเขาเปิดประตูกลางก็คือชำระค่าโดยสารขาลง แต่ถ้าขึ้นจากด้านหน้ารถเลยก็ต้องชำระเงินก่อนเดินเข้าข้างในค่ะเพราะกล่องใส่เงินจะอยู่ข้างคนขับ


ที่สถานีก็มีที่รับฝากรถด้วนนะคะมีภาพถ่ายมาฝากค่ะ ฝากรถ 24 ชั่วโมงก็ 3,000 เยน เวลา 8.00 – 24.00 น. ชั่วโมงละ 400 เยน เวลา 24.00 – 6.00 น. ชั่วโมงละ 100 เยน


เราขึ้นรถไฟชินคันเซนที่คุณธเนศร์ได้จองตั๋วไว้ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางไปถึงโกเบโดยเรามีการ Reserve ที่นั่งไว้ ถ้าไม่ Reserve ที่นั่งก็ได้ค่ะ แต่จะต้องเสี่ยงกันหน่อยล่ะว่าจะมีที่นั่งมั้ย แล้วเราก็ได้รับตั๋วมาโดยบนตั๋วก็มีเวลาขบวนรถที่เราจองเอาไว้ว่าขบวนที่เท่าไหร่มาถึงกี่โมงและจะไปถึงปลายทางตอนกี่โมง ซึ่งเวลาจะเป๊ะๆตามที่กำหนดเลยค่ะ
ขบวนที่จะไปฮิโรชิมา ตู้ Reserve ของเราคือตู้ 5 ขบวนรถไฟชินคันเซน Hikari เวลาจะขึ้นรถก็ยืนตามหมายเลขตรงกับตั๋วและขบวนรถไฟ ตามช่องที่เขากำหนด ก็จะไม่มีการผิดพลาด


จากโกเบเดินทางไปฮิโรชิม่าใช้เวลาเดินทาง หนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที เวลาที่ออกเดินทางและเวลาที่ไปถึงเขาจะระบุไว้บนตั๋วเลย แล้วเวลาก็เป็นไปตามที่เขาระบุจริงๆ
ที่สถานีรถไฟก็จะมีร้านอาหารร้านขายของพอที่จะช้อปปิ้งได้ละคะ นี่หมายถึงสถานีรถไฟของชินโกเบ แต่สถานีรถไฟของฮิโรชิม่าจะมีร้านค้าและและร้านอาหารมากกว่าทีสถานีชินโกเบ ไม่ได้เปรียบเทียบกับสถานีรถไฟอื่น


รถไฟที่วิ่งก็นุ่มนวลมากไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะไม่มีอาการกระโชกกระชากจะมีอาการรู้สึกบ้างเล็กน้อยตอนวิ่งเข้ารอยต่อเพื่อจอดที่สถานี บนรถไฟก็จะมีพนักงานเข็นรถมาขายของ จะมีชา กาแฟ ขนมขบเคี้ยว
นอกจากนั้นหน้าที่นั่งก็จะมีแผนผังของรถบอกไว้ อย่างเราอยู่ตู้ที่ 5 อยากไปห้องน้ำก็ดูได้ว่าห้องน้ำอยู่ฝั่งไหน ห้องน้ำผู้ชายไม่มีประตูปิด ส่วนห้องน้ำผู้หญิงก็จะอยู่ติดกันสองห้อง เราจะเข้าแบบไหนก็เลือกดู จะเป็นห้องน้ำแบบ Western (แบบนั่ง) และ Japanese style (แบบนั่งยองๆ ถ้าอายุมากก็จะนั่งไม่ลงเพราะขาแข็งหรือถ้าลงไปนั่งแล้วก็จะลุกไม่ขึ้น ) เขาจะเขียนไว้หน้าห้องน้ำ


เมื่อถึงสถานีฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นเมืองที่มีโรงงานผลิตรถยนต์ของมาสด้าอยู่ที่นี่ค่ะ ที่สถานีรถไฟ เราก็เลยเห็นมีรถมาสด้าจอดโชว์อยู่ เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าเป็นเมืองมาสด้านะเนี่ย


แล้วเราก็ขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงแรมโดยพักที่ Sunroute hotel ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ ค่ารถแท็กซี่ก็จะเริ่มสตาร์ทที่ 620 เยนค่ารถก็ตกประมาณ หนึ่งพันหกร้อยเยน รถแท็กซี่เราสามารถขอใบเสร็จได้
แท็กซี่ทุกคันจะมี GPS ในการนำทาง และรถแท็กซี่ที่นี้สะอาดมากเลยค่ะ มีผ้าสีขาวคลุมเบาะนั่งทุกตัว
ประตูทีนั่งข้างหน้าและที่นั่งหลังเวลาลงจากรถเราไม่ต้องปิดเลย คนขับเขาจะมีปุ่มกดแล้วประตูก็จะปิดเองเห็นมาหลายคัน แต่ด้วยความเคยชินเราก็จะปิดประตู ที่พักก็ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก


ที่เลือกโรงแรมนี้ก็เพราะอยู่ใกล้Museum และ A –Bomb Dome ที่สามารถเดินไปดูได้


วันแรกที่ไปถึงเราก็เดินทางไปเกาะ Miyajimaซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด โดยเดินทางไปทางเรือที่เป็นเรือเร็ว เรือลำไม่ใหญ่มากแต่ใหญ่กว่าสปีดโบ๊ทบ้านเรา ค่าเรือโดยสารเที่ยวไปคนละ 1,750เยน ส่วนขากลับเหลือ คนละ 1,500 เยน โดยเอาตั๋วขาไปไปแลก
การเดินทางใช้ก็ใช้เวลา ประมาณหนึ่งชั่วโมงออกเดินทางตอนบ่ายสองไปถึงบ่ายสามโมง เหลือเวลาหนึ่งชั่วโมงที่จะเดินทางไปยัง Ohtorii gateประตูสีแดง เป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันทั่วโลก และวัด Itsukushima Shinto Shrin


โดยปกติเราจะเห็น Ohtorii gate และวัดจะแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง แต่คราวนี้น้ำลงทำให้สามารถเดินลงไปได้
เรือเที่ยวสุดท้ายออกตอนห้าโมงเย็น ก็เลยต้องรีบทำเวลา ซึ่งต้องเดินไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร ที่เกาะนี้มีกวางเยอะมาก ช่วงที่ไปฝนตกปรอยๆ อากาศหนาวอยู่แล้วก็ยิ่งหนาวมากยิ่งขึ้น ร้านค้าต่างๆก็มีสินค้าพื้นเมืองขายซึ่งจะเป็นขนมพื้นเมืองและพวกไม้แกะสลัก และนอกจากนั้นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือหอยนางรม ซึ่งเขาจะเผาหรือทำอาหารอย่างอื่นแต่จะทำสุกไม่รับประทานดิบอย่างบ้านเรา หอยนางรมที่นี่ตัวจะขนาดย่อมๆ ไม่ตัวใหญ่อย่างบ้านเรา ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์ยังเป็นช่วงที่มีหอยนางรมอยู่


ร้านค้าก็มีสองข้างทาง บนเกาะนี้ก็มีโรงแรมสำหรับผู้ต้องการค้างแรม
เมื่อเราเดินไปถึง Ohtorii gateแล้ว ก็ไม่ได้เดินขึ้นไปที่วัดเพียงแค่ยกมือไหว้แล้วก็เดินกลับมาที่ท่าเรือ และเดินดูของมาเรื่อยๆโดยไม่ได้แวะที่ไหน กลัวลงเรือไม่ทันเพราะเป็นเรือเที่ยวสุดท้าย


ฝนก็ตกหนาวก็หนาว มาถึงท่าเรือยังพอมีเวลาก็เลยนั่งรอ เพราะตั๋วรีบซื้อไว้ก่อนตอนมาถึง ขากลับมีผู้โดยสารสี่คน พอลงเรือก็อุ่นสบายเพราะเขาเปิดฮีทเตอร์ ถึงที่พักก็มืดพอดี


ย่านที่อยู่เงียบสงบเพราะเป็นวันอาทิตย์ ก็ไม่ได้เดินทางไปไหนอีกแล้วหาอะไรกินแล้วก็เข้าที่พัก


อินเตอร์เน็ตที่นี่เป็นแลนด์ ให้ใช้ฟรีในห้อง โดยเรามีคอมพิวเตอร์ของเราเอง แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยจะใช้ของเขาเขาก็คิดหนึ่งพันเยนต่อยี่สิบสี่ชั่วโมง


วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ ตื่นมาตอนแปดโมงเช้า อาบน้ำอาบท่ากินข้าวแล้วก็เดินไป พิพิธภัณฑ์ ซึ่งแค่เดินข้ามสะพานที่อยู่ข้างโรงแรมนิดเดียวก็ถึงแล้ว
วันนี้อากาศครึ้มๆฝนก็ไม่ตก แต่เราก็ต้องมีร่มติดตัวไปด้วย ตอนเดินข้ามสะพานมองไปที่ฝั่งซ้ายมือของแม่น้ำเห็นมีเรือจอดอยู่สองฝั่งๆละหนึ่งลำ ก็เดาเอาว่าน่าจะเป็นร้านอาหารและจะกลับมาดูหลังจากไปพิพิธภัณฑ์แล้ว
เดิน มาถึงพิพิธภัณฑ์ฮิโรชิม่า ก็ต้องซื้อตั๋วเข้าไป ผู้ใหญ่คนละ 50 เยน เดินเข้าไปภาพแรกที่เห็นก็จะมีภาพบนโทรทัศน์ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังและมีรูปให้ดูก่อนเมืองฮิโรชิม่าจะโดน Bomb ที่นี่เขาให้ถ่ายรูปได้ แต่ขอร้องไม่ให้ใช้แฟลซ และห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ


ในพิพิธภัณฑ์จะมีภาพเหตุการณ์ต่างๆให้ชม และข้างๆภาพจะมีเป็นจอข้อความอธิบายภาพ มีหลายภาษาให้เลือก ภาษาไทยก็มีค่ะ
มีนาฬิกาที่หยุดเดินตอนระเบิดถล่มเมือง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม1945 เวลา 8.15 น. เป็นนาฬิกาข้อมือสายถลอกไปหมด นอกจากนั้นยังมีนาฬิกาแบบอื่นอีกที่หยุดในเวลาเดียวกัน ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาที่คนออกมาทำงานเด็กไปโรงเรียน ระเบิดลงกลางเมือง แล้วจะมีอะไรเหลือละคะ เห็นภาพถ่ายของเมืองที่โดนถล่มราบเป็นหน้ากลองมีสิ่งก่อสร้างเหลือเล็กน้อย


และก็ A-Bomb DOME ที่รอดพ้นจากระเบิดและอยู่ริมแม่น้ำ และช่วงที่ไปก็กำลังบูรณะอยู่ ภายในพิพิธภัณฑ์มี A- Bomb DOME ที่จำลองมาจากของจริงก็อยู่ในนี้


และภาพความเจ็บปวดที่ทิ้งไว้เบื้องหลังระเบิด เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ขวดแก้วและภาชนะที่บิดเบี้ยวด้วยความร้อน เส้นผมและผิวหนังของคนที่โดนระเบิด และภาพจำลองของคนที่โดนไฟไหม้ เราจะเห็นถึงความโหดร้ายของสงครามมากๆ และทำไมถึงได้ทำกันได้ขนาดนี้ และเราก็ เดินออกจากพิพิธภัณฑ์ด้วยความเศร้าใจ


ออกจากพิพิธภัณฑ์ เราก็เดินไปที่ Peace Memorial Park ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันเพื่อไปยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต และสถานที่แห่งนี้เขาก็จะจัดงานไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตทุกๆปีๆ


เดินไปอีกไม่ไกลก็จะมีหอระฆังและจะมีห้องเล็กๆหลายห้องอยู่ใกล้หอระฆัง จะมีนกกระดาษที่พับไว้หลายขนาดแขวนเต็มไปหมด ซึ่งนกนี่ความหมายก็คือเสรีภาพ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
ถึงแม้ฮิโรชิม่าในทุกวันนี้จะเป็นเมืองที่มีความเจริญเหมือนเมืองอื่นๆ แต่ภาพเหตุการณ์ ของ A Bomb ก็ยังไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคน แม้ตอนนี้จะมีสิ่งปลูกสร้างและความเจริญต่างๆเข้ามาแทนที่ แต่ความรู้สึกของฉันก็ยังรู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก


หลังจากนั้นก็เดินไปกินอาหารเที่ยงกันที่ร้านที่อยู่ริมแม่น้ำ ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์และโรงแรม
อีกอย่างที่อยากจะพูดถึงก็คือส้มของเมืองนี้อร่อยมากๆ เป็นส้มลูกเล็กเหมือนที่นิยมทานในบ้านเราตอนนี้ แต่รสชาติต่างกันสิ้นเชิงเลย


ส่วนตอนกลางคืนก็เข้าไปกินอาหารกันที่ร้านญี่ปุ่นที่อยู่ข้างๆโรงแรมและอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งได้ไปจองไว้หลังจากกลับจากพิพิธภัณฑ์ ชุดที่รับประทานก็จะมีหอยนางรมที่จะมีเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หอยนางรมที่นี่จะตัวเล็กเหมือนหอยที่ใช้ทำออส่วน และนิยมทำให้สุก จะไม่ทานดิบๆอย่างในเมืองไทย อาหารที่ร้านนี้อร่อยทีเดียว
วันรุ่งขึ้นก็ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานของมาสด้า และ mazda museum ซึ่งเรื่องราวก็อ่านได้ที่
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=476
ก็ขอจบแค่เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วก็คงมีเรื่องราวที่สลับกันไปทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ เท่าที่ความขยันจะอำนวยค่ะ

Facebook Comments
CarOnline Team

Recent Posts