งาน บางกอก มอเตอร์โชว์ 2013 ครั้งที่ผ่านมายนตรกิจ เกียมอเตอร์ ยังเปิดตัวรถซับคอมแพคท์รุ่นใหม่ Kia Rio ตัวถังซีดาน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ Rio รุ่นตัวถังแฮทช์แบคที่จำหน่ายอยู่ก่อนหน้าให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
Kia Rio เป็นหนึ่งในซับคอมแพคท์รุ่นสำคัญของ เกีย มอเตอร์ส เจนเนอเรชั่นแรกรหัส DC เปิดตัวในปี 2000 มีจำหน่ายทั้งตัวถังซีดานและแฮทช์แบค โดยรุ่นแฮทช์แบคเป็นรถที่ถูกส่งไปทำตลาดในสหรัฐฯ ใช้ชื่อว่า Rio Cinco และ Rio RX-V ในแคนาดา จากนั้นในปี 2002 จึงปรับโฉมเป็นรถรุ่นปี 2003 เปลี่ยนชื่อเป็น Rio SF
เจนเนอเรชั่นที่ 2 รหัส JB เปิดตัวในปี 2005 เกีย ปรับโครงสร้างใหม่หมดโดยใช้แพลทฟอร์มของ Hyundai Accent และอัพเกรดมาใช้เครื่องยนต์ตระกูล Alpha II ของ ฮุนได ซึ่งเป็นการเริ่มแชร์เทคโนโลยีกันจนถึงยุคปัจจุบัน การจำหน่ายยังคงมีทั้งรุ่นซีดานและแฮทช์แบค อีกทั้งตลาดอเมริกาเหนือได้กลายมาเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของ เกีย มอเตอร์ส อย่างชัดเจนขึ้น
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือ Rio เจนเนอเรชั่น 3 รหัส UB ซึ่งเปิดตัวในปี 2011 เกีย พลิกโฉมงานออกแบบภายนอกอย่างสิ้นเชิงด้วยฝีมือของ Peter Schreyer ซึ่งเริ่มออกแบบเอกลักษณ์ให้ เกีย อย่างจริงจังสำหรับการยกระดับแบรนด์ เกีย ให้ขึ้นไปลุยตลาดยุโรป โดยกระจังหน้า ‘Tiger Nose’ ได้ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกผ่านต้นแบบ Kia Kee concept และถูกใช้งานกับรถในสายการผลิตเป็นครั้งแรกกับKia Sedona รุ่นปี 2010 ตามด้วย Kia Cadenza รุ่นปี 2011 และต่อเนื่องในรถทุกรุ่น จนถึง Kia Rio ใหม่ซึ่งถูกตีตราจำหน่ายเป็นรุ่นปี 2012
ในเจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ นอกจากรุ่นซีดานและแฮทช์แบคแล้ว เกีย ยังมีรุ่น 3 ประตู แฮทช์แบค สำหรับตลาดยุโรปโดยเฉพาะอีกด้วย การประกอบได้ขยับจากเกาหลีใต้, จีน, อินโดนีเซีย และฟิลลิปปินส์ ไปสู่เอกวาดอร์ และรัสเซียKia Rio Sedan รุ่นที่จำหน่ายในบ้านเรานับเป็นรถรุ่นปี 2012 เทียบขนาดกับรุ่นแฮทช์แบค ความกว้างและความสูงเท่ากัน คือ 1,720 มม. และ 1,455 มม. มีเพียงความยาวที่เพิ่มขึ้นเป็น 4,365 มม. บวกเพิ่มเพียง 320 มม. วางอยู่บนฐานล้อขนาด 2,570 มม. ความคล่องตัวในการใช้งานของทั้ง 2 ตัวถังจึงไม่มีความแตกต่างกัน
ในต่างประเทศมีรุ่นเครื่องยนต์หลากหลายตามรูปแบบตัวถัง โดยมีทั้งเบนซินและดีเซลช่วงความจุระหว่าง 1.1 – 1.6 ลิตร บ้านเราทั้ง 2 ตัวถังทำตลาดด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ตระกูล Gamma ของ ฮุนได มอเตอร์ ความจุ 1.4 ลิตร DOHC พร้อมเทคโนโลยี CVVT – Continuous variable valve timing วาล์วแปรผันต่อเนื่อง จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด MPI กำลังสูงสุด 107 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.8 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที ใช้เชื้อเพลิง E10 – E20 ได้
ระบบส่งกำลังมีให้เลือกแบบเดียวคือ อัตโนมัติ 4 จังหวะ H-Matic เบาแรงด้วยพวงมาลัยไฟฟ้า MDPS ชุดกันสะเทือนหน้าอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง คอยล์สปริงเยื้องศูนย์ Co-axial หลังอิสระ ทอร์ชั่นบีม เทรลลิ่งอาร์ม ล้อขนาด 15 นิ้วสวมยาง 185/65 หยุดพละกำลังทั้งหมดด้วยดิสค์เบรคหน้าพร้อมช่องระบายระบายความร้อน คู่กับดรัมเบรคหลัง
ด้านความปลอดภัยมากับมาตรฐานในระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP ถุงลมนิรภัยคู่หน้า De-powered ถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Rio คือ งานออกแบบภายในที่เรียบแต่ดูสปอร์ต ซึ่งธีมการออกแบบนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ Kia Picanto ชุดเบาะเป็นแบบทูโทน อำนวยความสะดวกด้วยพวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง, เซนเซอร์ช่วยถอย, กระจกไฟฟ้า 4 บาน/One Touch พร้อมระบบป้องกันการหนีบฝั่งผู้ขับ สวิทช์ควบคุมวางตำแหน่งให้ใช้งานง่าย มีพอร์ท AUX, USB พร้อมเชื่อมต่อ iPod และปลั๊ก 12 โวลท์ 2 จุด นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธได้ด้วย
ใครสนใจก็ลองติดต่อไปที่ตัวแทนจำหน่ายของ ยนตรกิจ เกีย มอเตอร์ กันดูครับ ราคาจำหน่าย Rio รุ่นตัวถัง 4 ประตูซีดานเปิดออกมาที่ 758,000 บาทครับ •
“มหกรรมยานยนต์ …
นายณัทธร ศรีนิเ…