Honda Brio ท้าพิสูจน์ความประหยัด ด้วยเส้นทาง กรุงเทพฯ-สมุย By : Mr.O



บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จํากัด จัดกิจกรรม Honda Brio Eco Challenge เพื่อท้าพิสูจน์ความประหยัดน้ำมันของเจ้ารถยนต์อีโคคาร์น้องใหม่ล่าสุดในตลาด ที่มีขุมพลังเพียงแค่ 1,200 cc. 4 สูบ 90 แรงม้า โดยให้สื่อมวลชนกว่า 40 ชีวิตเป็นผู้ขับ ในแบบใช้งานเกือบเหมือนจริง กับน้ำมันหนึ่งถัง บนเส้นทางจาก กรุงเทพฯ ถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วยระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 25-26 สิงหาคมที่ผ่านมา



งานนี้จัดขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยครับ ณ โชว์รูมฮอนด้า พระราม 2 โดยหลังจากที่ลงทะเบียนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการชั่งน้ำหนักผู้ขับ ผู้โดยสารพร้อมสัมภาระ หลังจากนั้น คุณอรนุช พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการส่วนงานการตลาด และคุณเรวดี รักปทุม ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ขึ้นกล่าวต้อนรับ และอธิบายกฎกติกาการแข่งขันในครั้งนี้ พร้อมการจับสลากเลือกรถยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน โดยหมายเลข 1-15 เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ส่วนหมายเลข 16-20 จะเป็นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ



ด้วยเหตุที่ต้องแบ่งรุ่นกันก็เพราะว่า ในรถที่เป็นเกียร์ธรรมดานั้น จะใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่า กล่าวคือ หากวิ่งด้วยความเร็วที่ 100 กม./ชม.เท่ากันนั้น รอบเครื่องของรถที่เป็นเกียร์ธรรมดาจะอยู่ที่ 3000 รอบ/นาที แต่ในขณะที่รถที่ใช้เกียร์ CVT นั้นจะใช้ความเร็วรอบแค่ 2000 รอบ/นาทีเท่านั้น หากต่างกันขนาดนี้ ตัวเลขเฉลี่ย ในเรื่องการอัตราการกินน้ำมันนั้นคงต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแน่ครับ



ส่วนข้อบังคับคือ ต้องขับในสภาวะการใช้งานจริง เปิดแอร์เบอร์ 2 โดยปรับระดับความเย็นไว้ที่กึ่งกลาง ความดันลมยางตามมาตรฐานใช้งานปกติ ใช้ความเร็วเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระหว่างการแข่งขันห้ามตัด ลอก หรือทำให้สติ๊กเกอร์ที่ทางฮอนด้าติดไว้ทุกจุดของรถชำรุด และใช้เวลาถึงจุดสิ้นสุดการแข่งขันไม่เกิน 12 ชั่วโมง(รวมเวลาที่จุดพัก 3 จุด) โดยใช้ปริมาณการใช้น้ำมันเฉลี่ยจากมาตรวัดบนเรือนไมล์เป็นข้อมูลในการตัดสิ้นอัตราสิ้นเปลืองครับ



เริ่มการแข่งขันในช่วงแรก ทุกทีมตั้งใจใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 กม./ชม.และประคองรอบเครื่องแบบต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 60 กม./ชม. ซึ่งเป็นกฎบังคับจากทางฮอนด้า จนถึงจุดเช็คพักที่ 1 บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ถนนบายพาสเมืองหัวหินระยะทางรวมจากโชว์รูมฮอนด้า พระราม 2 ไปนั้น ประมาณ 183 กม.ใช้เวลาเฉลี่ย 3 ชั่วโมง โดยผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 11 สามารถทำสถิติได้สูงสุด 35.5 กม./ลิตร ในรุ่นเกียร์ CVT และหมายเลข 18,20 ในรุ่นเกียร์ธรรมดา สามารถทำสถิติได้สูงสุด 31.10 กม./ลิตร



ต่อด้วยช่วงที่ 2 ซึ่งมีจุดหมายที่ร้านอาหารคุณสาหร่าย จ.ชุมพร ด้วยระยะทางจากจุดพักแรก 246.7 กิโลเมตร ช่วงนี้เริ่มมีตัวแปรที่มากขึ้น ทั้งระยะทางที่มากขึ้น การจราจรที่หนาแน่นขึ้น และสภาพถนนที่เป็นเนินเขา ทำให้ตัวอัตราสิ้นเปลืองต่างลดลงไปตามๆกัน โดยหมายเลข 11 ยังคงครองอันดับ 1 ในรุ่นเกียร์ CVT ไว้ได้ด้วยอัตราเฉลี่ยการใช้น้ำมัน 34.00 กม./ลิตร และในรุ่นเกียร์ธรรมดารถหมายเลข 18 ยังคงรักษาอันดับ 1 ในรุ่นนี้ไว้ได้ด้วยอัตราเฉลี่ยการใช้น้ำมัน 30.30 กม./ลิตร



หลังจากแวะทานอาหารกลางวันในช่วงบ่ายๆที่จุดพักที่2 ด้วยเวลาจำกัดแล้วนั้น ก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป ยังจุดพักที่ 3 ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ก่อนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีเล็กน้อย ด้วยระยะทาง 162.5 กิโลเมตร ระยะทางในช่วงนี้ อย่าเรียกว่าเนินเขาเลยครับ เรียกว่าต้องข้ามเขาเป็นลูกๆเลยจะดีกว่า แล้วแถมแต่ละคันใช้เวลาไปเยอะในช่วงที่ 1 และ 2 ทำให้ในช่วงนี้ต้องทำความเร็วก็สูงขึ้น เพื่อรักษาเวลาให้ได้ตามที่กำหนด มีผลทำให้ตัวเลขอัตราเฉลี่ยการใช้น้ำมันนั้น ลดลงไปกันหมดทุกคัน โดยสูงสุดยังคงเป็นรถหมายเลย 11 เช่นเดิม สามารถทำได้ที่ 33.30 กม./ลิตร ในรุ่นเกียร์ CVT และในรุ่นเกียร์ธรรมดา ก็ยังคงเป็นรถหมายเลข 18 เช่นเดิม ด้วยอัตราเฉลี่ยการใช้น้ำมันที่ 29.50 กม./ลิตร เรียกได้ว่า สองคันนี้ตุนจากในช่วงแรกๆไว้เยอะ จึงทำให้ยังคงรักษาอันดับ 1 ในรุ่นของตัวเองไว้ได้



จากจุดพักที่ 3 ก่อนที่จะไปยังจุดสิ้นสุดการแข่งขัน เมื่อรวมเวลาทั้งหมด ทุกทีมใช้เวลาไปแล้วกว่า 10 ชั่วโมง เหลือระยะทางอีก 120 กิโลเมตรกว่าจะถึง ท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ อำเภอดอนสัก ระยะทางนั้นดูเหมือนจะไม่มากหากใช้การขับแบบปกติที่ไม่ประหยัดน้ำมัน 2 ชั่งโมงที่เหลือนี่ก็ไม่น่ายาก แต่เมื่ออยู่ในการแข่งขันนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ประกอบกับทางในช่วงนี้ยังคงเป็นเนินเขา และมีทางโค้ง แถมยังมีฝนตกลงมาอีกเกือบจะตลอดช่วง ทำให้แต่ละทีมต้องปวดหัวและเครียดไปตามๆกัน ไหนจะเรื่องการประหยัดน้ำมัน ไหนจะเรื่องเวลาอีก ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับดังกล่าว เกือบทุกทีมจึงหันมาแข่งกับเวลาแทน เพราะหากจะเน้นความประหยัดกันต่อไปอาจต้องใช้เวลาเกินกว่าที่กำหนด และถูกตัดสิทธิ์ได้ แถมยังอาจจะตกเรือเฟอร์รี่เที่ยวสุดท้ายอีกด้วย



ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันเกือบทุกคันหันมาใช้สมรรถนะสูงสุดของ ฮอนด้า บริโอ้ เรียกได้ว่ากระแทกคันเร่งกันอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อให้ทันเวลาที่เหลือ ด้วยความเร็วสูงสุดตลอดช่วงที่สามารถทำได้ สูงสุดนั้นก็ 145 กม./ชม.ตามที่ฮอนด้า บริโอ้ นั้นได้ล็อคความเร็วไว้ จนไปสิ้นสุดการแข่งขันที่ ท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ ด้วยระยะทางเฉลี่ยทั้งหมด 713 กิโลเมตร ภายในเวลา 12 ชั่วโมง(รวมเวลาพัก)ตามกำหนด โดยน้ำมันหนึ่งถังที่เดิมมาจากกรุงเทพยังเหลืออีกเกือบครึ่ง



เมื่อมาถึงยังจุดสิ้นสุดการแข่งขันที่ท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ เพื่อข้ามไปเกาะสมุย บางคันฉิวเฉียดกับเวลา ส่วนบางคันที่ตั้งใจปั้นตัวเลขจนลืมดูนาฬิกา มาถึงช้ากว่าที่กำหนด แม้อัตราสิ้นเปลืองจะทำได้ประหยัดขั้นเทพสักแค่ไหน ก็ต้องตกรอบไปโดยปริยาย ซึ่งต่อจากนี้เราต้องข้ามฝั่งไปยังเกาะสมุย โดยเรือเฟอร์รี่เที่ยวสุดท้ายของวัน ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายมาก ทำเอาสื่อมวลชน และทีมประชาสัมพันธ์ ฮอนด้าออโตโมบิล หลายท่าน ต่างเมาเรือไปตามๆกัน



ด้วยเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เรื่อเฟอร์รี่ลำใหญ่ก็มาเทียบท่ายัง ท่าเรือหน้าทอน อ.เกาะสมุย ขบวบฮอนด้า บริโอ รวมทั้งรถติดตามกว่า 30 คัน ก็ทยอยกันออกตั้งขบวนท่าเทียบเรือ โดยมีตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า เกาะสมุย มารอให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง จากนั้นขบวนจึงมุ่งหน้าสู่ โรงแรมเซ็นทาราวิลล่า สมุย ซึ่งเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้ และที่สำคัญยังเป็นที่ประกาศผลการแข่งขันขับประหยัดน้ำมันกับ ฮอนด้า บริโอ้ ในค่ำคืนนี้อีกด้วย



สำหรับผลการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันที่ได้อันดับ ที่ 1 ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT ได้แก่รถหมายเลข 11 ซึ่งสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้สูงสุดเฉลี่ยทั้งเส้นทาง 33.55 กิโลเมตร/ลิตร และในรุ่นเกียร์ธรรมดานั้น ก็เป็นไปตามคาด ได้แก่หมายเลข 18 ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงสุดเฉลี่ยทั้งเส้นทางเช่นกันที่ 29.68 กิโลเมตร/ลิตร



ส่วน Caronline ที่ได้จับคู่กับมือเก๋าอย่าง คุณอมร วรมาลี แห่ง นสพ.บางกอกทูเดย์ ด้วยรถหมายเลข 20 นั้นก็ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 มาครองอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยอัตราสิ้นเพลิงเชื้อเพลิงเฉลี่ยทั้งเส้นทางที่ 28.55 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่นเกียร์ธรรมดา แม้จะแข่งขันกันเพียง 5 คันก็ตามครับ



การแข่งขันประหยัดน้ำมัน ไม่ว่าค่ายไหน หรือที่ไหนเป็นคนจัด ต่างก็จะบอกว่าขับแบบเหมือนใช้งานจริง แต่สำหรับผมคงไม่ใช่ เรียกว่าเสมือนจริงจะดีกว่า เปิดแอร์จริง ขับกันแบบใช้งานจริง แต่ความเร็วที่ใช้นั้นไม่น่าจะจริง เพราะความเร็วที่ใช้กันเวลาไปต่างจังหวัดนั้น คงไม่มีใครขับที่ความเร็ว 60 กม./ชม.ไปเกือบตลอดทาง เรียกว่าช้าจนกระทั่งต้องหลบรถที่เร็วกว่าไปอยู่ในไหล่ทางหรอกครับ เพราะฉะนั้นตัวเลขต่างๆที่ออกมานั้น เป็นเพียงตัวเลขที่รถนั้นๆ สามารถทำได้เพียงเท่านั้นครับ ไม่ต้องนำมาเครียดว่าทำไมเราทำไม่ได้อย่างนั้น หากอยู่ในการแข่งขัน เชื่อว่าทุกคนก็ทำได้ครับ มันไม่ได้อยู่ที่รถเพียงอย่างเดียวนะครับ มันอยู่ที่ความอดทนของคุณด้วย ที่จะควบคุมตัวเอง และควบคุมรถ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและสม่ำเสมอ แค่นี้คุณก็จะได้อัตราการกินน้ำมันใกล้เคียงกับที่เค้าโฆษณาไว้แล้วครับ

************************************************************************************

สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net

Facebook Comments