เป็นอีกครั้งสำหรับผมที่ได้มีโอกาศเข้าร่วมทำสถิติในการขับประหยัดน้ำมันหลังจากครั้งแรกกับเจ้า ฟอร์ดเฟียสต้าเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ตามติดมาด้วยฟอร์ดเรนเจอร์มาคราวนี้กลับมาที่ ฟอร์ด เฟียสต้า อีกครั้งแต่ที่ไม่เหมือนเดิมนั้นแม้ว่าจะเป็นรุ่นเดิมแต่เป็นเครื่องยนต์ใหม่นั้นคือเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร
ส่วนเรื่องที่ว่าเครื่องยนต์ 1.5 นั้นมาได้ยังไงต้องบอกว่าประเด็นหลักนั้นมาจากเรื่องนโยบายการคืนภาษีรถคันแรกจากทางรัฐบาลทำให้ทางฟอร์ดต้องนำเข้ามาเพื่ออุดช่องว่างตรงนี้
การขับประหยัดน้ำมันในครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 12 ท่าน ขับฟอร์ด เฟียสต้า รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ฟอร์ดกำหนดขึ้น โดยได้รับเกียรติจากดร. สายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน และคณะร่วมสังเกตการณ์และประเมินผลโดยแบ่งออกเป็น 6 ทีม ทีมละ 2 คน โดย 3 ทีมแรกขับฟอร์ด เฟียสต้า รุ่นสปอร์ต แฮทช์แบค 5 ประตู และอีก 3 ทีมขับฟอร์ด เฟียสต้า รุ่นสปอร์ต ซีดาน 4 ประตู โดยผู้ขับและผู้โดยสารในรถทั้งสองคันจะสลับหน้าที่กันขับในช่วงใดก็ได้ กติกาเป็นแบบเดิมครับความเร็วเฉลี่ยตลอดการขับขี่จะต้องไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เริ่มต้นกันที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง เพื่อฟังเส้นทางที่จะใช้และกติกาต่างๆแล้วจับฉลากว่าจะได้รถคันไหนซึ่งครั้งนี้คู่หูยังเป็นคนเดิมอยู่นั้นคือ คุณ รชฏ สุวรรณรัตน์ จาก โชว์รูมออนแอร์ ได้ขับรถหมายเลข 4 เป็นรุ่น 5 ประตูเมื่อรู้แล้วว่าได้รถคันไหนก็ตรงรี่ไปทันทีตรวจดูความเรียบร้อยพร้อมกับทีมงาน
โดยทีมงานนั้นมีการติดตัวครอบปุ่มปรับอุณภูมิเครื่องปรับอากาศซึ่งทีมงานนั้นได้ปรับไว้ที่พัดลมเบอร์ 1 ส่วนตัวปรับความเย็นนั้นให้อยู่กึ่งกลางแล้วติดครอบไว้
ส่วนเรื่องการเติมน้ำมันนั้นจะมีมาเติมกรอกทิ้งให้จนเรียกว่าเต็มจนถึงคอถังแล้วก็มีการปิดผนึกพร้อมกรรมการเซ็นต์ชื่อรับรองไว้
ส่วนจุดอื่นๆก็มีการติดสติกเกอร์ไว้ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรงหน้า กระจกมองข้างทั้งสองฝั่ง กระจกในห้องโดยสารทั้ง 4 บาน ห้ามเปิดโดยเด็ดขาดหากสติกเกอร์ขาดก็ปรับแพ้ทันที
ช่วงแรกนั้นกับระยะทาง 89.8 กิโลเมตรจุดหมายแรกอยู่ที่ปั้ม ปตท. สระบุรี ช่วงนี้ถนนนั้นยังเป็นขนาด 4 เลนไปยาวๆไม่มีปัญหาในเรื่องของถนนแต่ต้องทำความคุ้นเคยกับรถและหาความเร็วที่ประหยัดที่สุด อ้อลืมบอกไปครับว่ารถคันนี้เป็น เกียร์อัตโนมัติพาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด แม้ว่าทุกอย่างจะเหมือนกับตัว 1.6 แต่เมื่อขับแล้วนั้นการคุมคันเร่งเพื่อที่จะรักษาความเร็วที่ 68 กิโลเมตร/ชั่วโมง และตำแหน่งเกียร์ให้อยู่ที่เกียร์ 6 นั้นลำบากทีเดียวเพราะถ้าขยับคันเร่งนิดเดียวความเร็วและเกียร์ก็จะเปลี่ยนทันที การจราจรช่วงแรกนั้นไม่มีปัญหาเท่าไรไฟแดงก็ไม่มีแต่รถจะเยอะแถวบริเวณทางลงโทลเวย์ผ่านมาก็วิ่งรักษาความเร็วกันยาวๆช่วงแรกก็ผ่านมาได้เข้าไปเช็คเวลาตอน 10.17 น.
ช่วงที่สองวิ่งจากปั้ม ปตท. ไปยังร้านอาหารตอไม้ที่ อ.สีคิ้วระยะทาง 107.1 กิโลเมตรช่วงนี้ก็ยังไม่มีอะไรมากยังเป็นถนนขนาด 4 เลนอยู่การขับนั้นยังไม่มีอะไรต้องกังวลเวลานั้นยังเหลืออยู่ ขออธิบายตรงนี้ก่อนนะครับในเรื่องของเวลาหากช่วงไหนนั้นเข้าเช็คเวลาช้าไปนั้นจะโดนบวกเวลาเพิ่มไปหากเข้าเร็วเวลาก็ทดเอาไว้ให้แต่เมื่อถึงจบการแข่งขันเวลาห้ามเกินครับ
ช่วงที่สามจากร้านตอไม้ถึงปั้ม ปตท. นางรอง หลังจากออกจากร้านตอไม้บางช่วงก็เป็นถนนสองเลนแถมยังมีรถบรรทุกวิ่งอีกทำให้การขับนั้นลำบากหากจะขับตามรถบรรทุกแบบนี้ไม่คงไม่ดีแน่เลยต้องมีการเรียกอัตราเร่งขึ้นมาแบบที่ไม่อยากทำเลยเพราะมันจะกินน้ำมันขึ้นมาอีกมากแต่ก็ต้องทำไม่งั้นเข้าไม่ทันเวลาแน่นอน
ช่วงที่สี่จากปตท.นางรองถึงปตท. ศรีสะเกษช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุดสำหรับวันเพราะระยะทางยาวที่สุดกับ 209.7 การขับเส้นนี้ต้องมีการวางแผนกับพี่กบใหม่ว่าจะรีบออกไปหรือจะรอเวลาเพราะเส้นทางนี้จะมีทั้งช่วงที่เป็นถนนสองเลนแถมยังเป็นช่วงเย็นที่จะมีการขับผ่านตัวเมืองที่การจราจรหนาแน่นอีกกว่าจะผ่านเส้นทางนี้ได้เรียกว่าเหนื่อยทีเดียว
ช่วงที่ห้าปตท.ศรีสะเกษถึงโรงแรมเป็นตาฮัก จ.อุบลราชธานีกับระยะทาง 70.7 กิโลเมตรแม้ระยะทางจะไม่ไกลมากกับเวลาที่ต้องไม่เกิน 1.10 ชั่วโมงแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกินขึ้นครับฝนตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาทางก็มืดแถมฝนยังตกลงมาอีกก็ต้องลดความเร็วลงมาอีกเพื่อความปลอดภัยแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของวันแรกแบบมีลุ้นส่วนเรื่องน้ำมันนั้นเกจ์อยุ่ประมาณกลางๆครับ
เช้าวันที่สองฝนก็ตกลงมาก่อนเดินทางแต่คงไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้เราหยุดเดินทางโดยช่วงที่หกนั้นจุดเช็คเวลาอยู่จังหวัดอำนาจเจริญที่ปั้ม PT ก่อนนิคมคำสร้อย ไฟแดงช่วงก่อนออกจากตัวเมืองนั้นมีหลายแยกก่อนที่ออกจากตัวเมืองเจอช่วงถนน 4 เลนอยู่ประมาณ 30 กิโลเมตรก่อนที่จะเป็นทางวิ่งรถสวนอีกประมาณ 70 กว่ากิโลเมตรเข้มน้ำมันนั้นก็ลดลงเรื่อยๆ
ช่วงที่เจ็ดระยะทาง 26.8 กิโลเมตรจากปั้ม PT – ร้านอาหาร ปร๋อเหรอ ถนนสี่เลนยาวแต่มีทางเนินเขาสลับอยู่แถมยังต้องกลับรถก่อนที่จะเข้าร้านอาหารด้วยเรียกว่าต้องอาศัยจังหวะกันน่าดูก่อนที่รับประทานอาหารเที่ยงกัน
ช่วงที่แปดร้านอาหาร ปร๋อเหรอ- พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม รถบางคันในกลุ่มนั้นเข็มวัดน้ำมันนั้นเริ่มปริ่มกันแล้วทำให้ลุ้นว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางกันได้หรือเปล่าช่วง 40 กิโลเมตรแรกนั้นยังเป็นช่วงถนนสี่เลนอยู่แต่เมื่อผ่านช่วงแยกสะพานมิตรภาพถนนก็ถูกบีบมาเหลือสองเลนการจราจรช่วงก่อนเข้าวัดพระธาตุนั้นรถที่สัญจรไปมาเริ่มเยอะขึ้นและแล้วเราก็ได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารแจ้งมาจากเพื่อนในกลุ่มเราว่าไฟโชว์เตือนให้เติมน้ำมันมันแดงวาบมาแล้วแต่เราก็ยังเดินทางกันต่อไป โดยช่วงที่เราไปกันนั้นทางวัดได้มีการปรับภูมิทัศน์รอบๆวัดกันอยู่เราจึงจอดรถอยู่ด้านนอกเช็คเวลาแล้วเดินเข้าไปไหว้องค์พระธาตุกัน
ช่วงที่เก้า พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม- ปตท.ท่าแร่ สกลนครระยะทาง 125.2 หลังจากออกจากพระธาตุพนมมาถึงบริเวณป้ายตอนรับเข้าสู่จังหวัดสกลนครสิ่งที่ยังไม่อยากให้เห็นตอนนี้มีก็มาโชว์หลาอยู่บนหน้าปัดนั้นคือไฟโชว์เตือนว่าน้ำมันกำลังจะหมดซึ่งตลอดสองวันที่ผมขับกับพี่กบนั้นก็ขับกันแบบสบายๆชิวๆเฮฮากันไปตลอดทางแต่เมื่อไฟเตือนขึ้นมานั้นก็มีอาการเครียดกันเล็กน้อยไม่ใช่อะไรนะครับที่เครียดนี่อยากจะทำให้ได้ระยะทางให้ดีสุดแล้วก็ไม่รู้ว่าข้างหน้านั้นการจราจรจะเป็นยังไงและถ้าขับช้าลงไปอีกความเร็วเฉลี่ยก็ไม่ได้อีกหากความเร็วหรือเวลาคิดคำนวณออกมาแล้วไม่ได้เนี่ยที่ทำมาสองวันคือจบหมดกันไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยนะครับสิ่งที่ต้องการของผมกับพี่กบคืออยากให้เข้าจุดหมายจุดสุดท้ายเท่านั้นเองแล้วกลุ่มของเราทั้ง 6 คันก็เข้ามาถึงจุดเช็คเวลานี้ครบทุกคันยังไม่มีคันไหนน้ำมันหมด
หลังจากนั้นแล้วทางทีมงานก็ได้ปรึกษากับ อ. สายประสิทธิ์ เกิดนิยมและคณะร่วมสังเกตการณ์และประเมินผลว่าจะให้วิ่งกันจนน้ำมันหมดถังแต่ถ้าวิ่งตามเส้นทางที่กำหนดนั้นซึ่งจะต้องวิ่งเข้าไปผ่านในตัวเมืองแล้วก็ไม่รู้ว่าแต่ละคันจะไปหมดตรงไหนซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรในตัวเมืองก็เป็นได้จึงสรุปว่าให้รถทั้งหมดนั้นวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมที่วิ่งมาโดยวิ่งออกจากปั้ม ปตท.ไปแล้วจะมีทีมงานประจำจุดที่จะให้กลับหลังจากกลับรถแล้วก็วิ่งย้อนไปประมาณสามสิบกิโลเมตรก็จะมีทีมงานกำหนดจุดกลับให้ซึ่งแต่ละคันนั้นเมื่อน้ำมันหมดก็จะมีทางทีมงานเข้าไปเติมน้ำมันพร้อมกับจดระยะทางที่วิ่งได้ซึ่งหลังจากกลับรถในจุดที่สองนั้นรถในรุ่น 5 ประตูก็ทยอยน้ำมันหมดลงทุกคัน เหลือแต่เพียงรุ่น 4 ประตูที่ยังวิ่งได้วนได้อีกประมาณสองรอบ ซึ่งผลในการขับครั้งนี้รถทุกคันนั้นน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้เกิน 900 กิโลเมตร
ผลของการทดสอบขับ:
เฟียสต้า สปอร์ต 4 ประตู เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 23.14 กม./ลิตร ขับได้ระยะทาง 1,050 กม.
เฟียสต้า สปอร์ต 5 ประตู เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 21.71 กม./ลิตร ขับได้ระยะทาง 985 กม.
เส้นทาง: กรุงเทพฯ สกลนคร ผสมผสานขับในเมือง บนทางหลวง และขับขึ้นเขา
ระบบปรับอากาศ: ระดับความเย็นตรงกลาง พัดลมเบอร์ 1 และล็อกปุ่มปรับความเย็นไว้
ฝาถังน้ำมัน: ปิดผนึกหนาแน่นตลอดเส้นทาง
ลมยาง: คู่หน้า 31 พีเอสไอ – คู่หลัง 31 พีเอสไอ
น้ำหนักบรรทุก: ผู้โดยสาร 2 คน (พร้อมกระเป๋าขนาดเล็ก 2 ใบ)
####################################
เรื่อง premsak@caronline.net
ภาพ Ford
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…