ครึ่งครึ่งกลางกลาง
ผมอาจจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่รู้สึกเฉยเฉย เมื่อเพิ่งซื้อรถใหม่เอี่ยมมา แล้วปรากฏว่า ผู้ผลิตออกรถใหม่ มีอะไรบางอย่างดีกว่าเดิม แก้ปัญหาเดิมได้ในรถใหม่ และทำสิ่งที่ถูกใจผมและอยากได้อยู่เหมือนกันเข้าไปบ้าง
อาจจะเพราะรู้อยู่เต็มอกแล้วก็ได้นะครับ ว่าฟอร์ดจะออกรถ Escape ใหม่ ตกแต่งปรับปรุงส่วนที่เคยมีคนบ่นเรื่องเสียงลม และแก้ไขเสาอากาศให้เป็นแบบใช้ไฟฟ้า ขึ้นและลงได้เมื่อเปิดและปิดวิทยุประจำรถ กับตกแต่งให้สีของกันชน และกันกระแทกข้างรถ เป็นสีใหม่ เหมือนตัวถัง หรือเป็นสีตะกั่ว แบบ Two-Tone
เหตุผลที่ผมรู้สึกเฉยเฉย ก็อาจจะเป็นด้วยว่า เครื่องยนต์ของ Escape ใหม่นั้น จะเป็นเครื่อง 2.3 ลิตรกระมัง
ผมชอบเครื่องยนต์ใหญ่ กำลังสูง เอาไว้กับรถยนต์แบบ Escape หรือ SUV ที่จะให้อัตราเร่งแซงดุเดือดสะใจมากกว่าเครื่องยนต์เล็ก ลดขนาดลง เพื่อให้ประหยัดเชื้อเพลิงเวลาวิ่งในเมือง แต่น่าจะกินน้ำมันมากกว่าสำหรับการวิ่งนอกเมืองด้วยความเร็วสูงเท่าเทียมกัน
เดิมทีนั้น ฟอร์ดมีเอสเคปอยู่สองรุ่น คือ 2.0 และ 3.0 ลิตร รูปร่างเหมือนกัน ภายในก็เหมือนกัน ต่างกันแค่ตอนออกมาจากห้างนั้น รุ่น 2.0 ไม่มีบันไดข้างไว้ให้เท่านั้น
ส่วนอำนวยความสะดวก ก็คือรุ่น 2.0 ลิตรไม่มี Cruise Control ไว้ช่วยในขณะเดินทางไกล เช่นเดียวกับรุ่นใหม่ 2.3 ลิตร ที่ก็ไม่มีระบบควบคุมความเร็วเดินทางนี้ด้วยเช่นกัน
รุ่น 2.3 ลิตรที่เป็นรถใหม่ล่าสุด จะเข้ามาถึงเมืองไทยในไม่น่าจะช้ากว่าเมษายนนี้ ราคาขายยังไม่กำหนดในวันที่ผมไปขับในเขต South Australia แต่น่าจะอยู่ระดับล้านหนึ่งแสนสูง และล้านสองแสนสูง คือมีสองแบบให้เลือก
ฟอร์ดคงเห็นว่า ในช่วงแรก คนที่อยากได้รถเครื่องยนต์ใหญ่ ระดับสามพันซีซี.คงซื้อรถไปหมดแล้ว เหลืออยู่กลุ่มหนึ่งที่ยังลังเล เกี่ยงเรื่องเครื่องยนต์ใหญ่ กลัวการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และเห็นว่า รุ่น 2.0 นั้นเล็กเกินไปสำหรับรถแบบ SUV
ก็คงเป็นจังหวะพอเหมาะ ที่จะนำรถที่ใช้เครื่องยนต์ระหว่างกลาง ของ 2.0 กับ 3.0 ออกมาเปิดตัวละนะครับ
เช้าวันพุธที่ 10 มีนาคม ฟอร์ดก็นำพวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร ด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ มุ่งหน้าไปสิงคโปร์ เพื่อต่อเครื่องบินไปออสเตรเลีย เมือง Adelaide ที่ผมถามเพื่อนชาวออสเตรเลียว่า ออกเสียงอย่างไร เขาบอกว่า”แอดเดอเล่ด์” ไม่ใช่ อดาเลท หรือเอดีเลท อย่างที่เราเคยชินกัน
แต่เพื่อความปลอดภัย ในการแก้คำถูกให้เป็นผิดหรือจากผิดให้ผิดหนักขึ้น ผมจะใช้ภาษาอังกฤษในการพูดถึงชื่อเมืองนี้นะครับ ส่วนท่านจะออกเสียงอย่างไร ก็แล้วแต่ใจท่าน จะให้เจ้าของภาษาและเจ้าของเมืองเขาเข้าใจ ก็ขอให้ออกเสียงอย่างที่ผมบอกไว้ตัวแรก อยากเข้าใจกันเองในหมู่พวกเรา ก็ออกอย่างที่เคยปากไปก็แล้วกัน
ที่เราต้องเดินทางด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ก็เพราะไม่มีสายการบินไทยไปลงที่เมืองนั้น แล้วโดยใจจริงผมก็ไม่อยากเดินทางไปแถวออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ด้วยสายการบินไทยอีกเหมือนกัน เพราะเข็ดที่นั่งอันแสนจะคับแคบ โดยเฉพาะและเป็นพิเศษสำหรับทิศทางนี้ละครับ ต่อให้นั่งที่ธุรกิจก็แคบและเอนนอนไม่ได้มากพอสบายเอาด้วยซ้ำไป
เมื่อเราต้องไปถึงสิงคโปร์เช้า และจะอยู่ที่นั่นจนถึงกลางคืน ก็เป็นเหตุให้เราอ้างได้ว่า จะต้องออกไปเดินดูเมืองสิงคโปร์กันบ้าง สักสี่ห้าชั่วโมงก็พอใจแล้วละน่า
ดังนั้น การเช็กอินจากเมืองไทย เราก็เช็กผ่านจากสิงคโปร์ไปถึง Adelaide เลยทีเดียว โดยมีบัตรขึ้นเครื่องสองใบ กระเป๋าใหญ่ส่งลงใต้เครื่องบินผ่านไปเลยทีเดียว เราเข้าเมืองสิงคโปร์ด้วยกระเป๋าเล็ก หรือบางคนก็ไม่ถืออะไรให้หนักมือ เตรียมมือสองข้างไว้ถืออะไรออกมาจากสิงคโปร์แบบไม่ประมาทกันได้เต็มที่
ผมเอากล้องถ่าย VDO ไปตัวหนึ่ง กับกล้องถ่ายภาพนิ่งไปอีกตัว ก็เลยเอากระเป๋าเล็กติดตัวไป มีเสื้อยืดกับอุปกรณ์พวกแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาประจำตัว ไปพร้อม เพราะกะจะไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำของสายการบินสิงคโปร์ ที่เขามีให้ในห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจพร้อมแล้ว ก่อนจะเดินทางจากสิงคโปร์ไป Adelaide
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของสิงคโปร์แล้ว เราก็ลงไปชั้นใต้ดินของสนามบิน เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมือง ในราคาจากสนามบินไปสถานี Bukit เป็นเงิน 1.60 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ที่เราจะต้องซื้อบัตรโดยสารด้วยการเพิ่มเงินอีกหนึ่งดอลล่าร์ เป็นค่ามัดจำบัตร ที่จะได้คืนเมื่อใช้บัตรเสร็จแล้ว เอาบัตรกลับมาเสียบคืนในตู้ที่ขายบัตรนั่นแหละครับ สำหรับเรา และการใช้บัตรเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว อย่างนี้ประหยัดกว่าซื้อบัตรแบบเติมเงิน
รถไฟฟ้าเดินทางออกจากสนามบินไปแค่สองสถานี เราก็ต้องลงเพื่อเปลี่ยนรถ แล้วนั่งต่อไปอีกจนถึงสถานี Bukit โดยการนั่งนับสถานีไปก็ได้ หรือถือว่าหูดีจะนั่งฟังผู้ประกาศบอกสถานีก็ทำได้ตามใจชอบ
ออกจากรถ ก็เดินขึ้นบันไดเลื่อน ขึ้นสู่พื้นดินใต้ชอปปิ้งเซนเตอร์ใหญ่ของเขา โผล่ออกไปเจอร้านอาหารเป็นแถว พอถึงพื้นดินก็เลี้ยวซ้าย เดินอีกสองสามบล็อกก็ถึงพันทิปของสิงคโปร์ อันเป็นย่านขายของพวกคอมพิวเตอร์ สภาพเหมือนห้างพันทิปของเรา มีกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ และคอมพิวเตอร์ขายกันแทบทุกร้าน ในหลายชั้นของแหล่งรวมห้างนั้น
ผมสนใจกล้อง 300D สอบถามราคาแล้ว ปรากฏว่า เป็นเงินไทยสามหมื่นเก้าพันกว่าบาท ถูกกว่าที่บ้านเราอยู่ราวสิบสองเปอร์เซนต์ ก็ว่าจะซื้อ หลังจากที่ดูอยู่นาน ลองแล้วลองอีก พอใจในคุณภาพของภาพที่ได้อย่างมาก แต่พอดูในกล่อง กลับให้แต่ถ่านชาร์ทสองก้อน ไม่ได้ให้แบตเตอรี่ และไม่ให้เครื่องชาร์ทแบตเตอรี่ อย่างที่ให้กันในสากล ผมดูแล้ว ราคาหากต้องซื้อแบตเตอรี่ กับซื้อที่ชาร์ท แม้จะในสิงคโปร์ ก็คงไล่เลี่ยกับบ้านเรา เลยไม่เอา
เท่าที่เช็กราคาจากอินเตอร์เน็ต ผมทราบว่า ในสหรัฐอเมริกา ขายกันอยู่สามหมื่นเจ็ดพันบาท ในญี่ปุ่นแสนสองหมื่นเยน แพงกว่าในสหรัฐอยู่สามพันกว่าบาท แต่ของในญี่ปุ่นจะได้มอเตอร์แบบพิเศษกับเลนซ์ที่ใช้ รอเอาไว้ไปซื้อในอเมริกาน่าจะดีกว่านะครับ กว่าจะไปอีกก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน ราคากล้องแบบนี้ น่าจะลดลงแล้วก็ได้
ก็เลยขอเรียนเสนอแนะท่านที่จะไปเที่ยวต่างแดน หากต้องการซื้อของอะไร อยากให้ท่านเปรียบเทียบราคาจำหน่ายในบ้านเราไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะเครื่องไฟฟ้า ควรจะดูด้วยว่า เขามีอุปกรณ์อะไรแถมมาให้ในกล่อง เพื่อดูว่า ที่จะซื้อในต่างแดนนั้น มีให้เหมือนกันหรือน้อยกว่า จะได้ไม่ผิดหวัง และเจ็บใจน่ะครับ
ผมกลับมาที่สนามบินในช่วงบ่ายแก่แก่ เข้าผ่านด่านตรวจคนออกจากเมืองแล้ว ก็ไปที่ห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจของสิงคโปร์แอร์ไลน์เลยทีเดียว ไม่ได้ดูอะไรในสนามบินอีก ทั้งที่มีร้านค้ามากมายเรียงรายกันอยู่ในบริเวณอาคาร
นั่งพัก รับประทานอาหารว่าง ปล่อยวางกับเครื่องดื่มขมขม มึนมึน สักพักก็ลุกไปอาบน้ำ ห้องอาบน้ำของเขาแบ่งเป็นส่วนแห้งและเปียก ที่แห้งนั้นเป็นส่วนแต่งตัว มีอ่างล้างหน้า กระจก และที่แขวนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ส่วนเปียกก็เป็นที่อาบน้ำแบบฝักบัว มีสบู่เหลวให้ใช้ พอเราจะเข้าไป ก็บอกคนที่คอยบริการผ้าเช็ดตัว เมื่อห้องว่าง เขาก็จัดให้เราได้เลย
อาบเสร็จ เปลี่ยนเสื้อยืดชั้นใน กางเกงใน ถุงเท้า เรียบร้อย ก็แต่งตัวภายนอกชุดเดิม ที่ไม่เปียกเหงื่อ เพราะถูกซับไว้ด้วยเสื้อยืดชั้นในตัวเก่าหมด ผมก็สะอาดเอี่ยมเตรียมตัวนอนบนเครื่องบินเดินทางไป Adelaide ได้แล้วละครับ
จะทิปให้ผู้บริการที่ยิ้มแย้มแจ่มใสสักหน่อย ค้นพบว่ามีแต่ธนบัตรใบละ 10 เหรียญ อย่าเอาเลยเพื่อน
เอาใบละร้อยของไทยไปแลกเองก็แล้วกัน
————————————-
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…