ทดลองขับ Honda ACCORD 2.0 L & V6 3.5 L VCM : จ่ายถูกกว่า (หรือจ่ายเกินงบ) ไปทำไม? By : J!MMY



ความเดิมจากตอนที่แล้ว มีอยู่นิดหน่อย

เพียง 1 วัน หลังจากที่บทความทดลองขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด 2.4 ลิตร ของผม เผยแพร่ขึ้นทาง Caronline.net
(http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=173#head)
ทางพี่เอ้อ เจ้าของเว็บตัวจริง ก็แจ้งมาว่า มีผู้เข้าชมในวันเดียวมากถึง 5,000 คน !!
และเป็นการนับสถิติ ชนิดที่ไม่นับการเข้ามาชมซ้ำในวันเดียว

โอ้แม่เจ้า! เยอะขนาดนี้เชียวหรือนี่?

แสดงว่ามีผู้รออ่านกันเยอะมาก เพราะตัวรถยังอยู่ในกระแสความสนใจของสังคม



แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น ก็คือ เสียงเรียกร้องว่า เมื่อไหร่ผมจะยืมรุ่น 2.0 ลิตร
มาทดลองขับให้ดูกันบ้าง เพราะมีลูกค้าจำนวนมาก ที่สนใจรอดูผลการทดลองขับรุ่น 2.0 ลิตรอยู่

อีกทั้งรุ่น V6 3.5 ลิตร พร้อมระบบแปรผันการทำงานของกระบอกสูบ VCM
ก็ยังเป็นอีก 1 รุ่นที่น่าสนใจพอให้นำมาทดลองขับ

ทิ้งช่วงห่างเหินกันไปนาน จนเหนียงยานขึ้นเป็นก้อน

กว่าที่ฮอนด้าจะพร้อมปล่อยรถทดลองขับของ แอคคอร์ด 2.0 ลิตร และ V6 3.5 ลิตร
ให้กับสื่อมวลชนได้ยืมไปทดลองขับ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงครึ่งปีพอดี



ดังนั้น ในวันนี้ ผมจึงอยากจะนำเสนอเฉพาะเรื่องราวของ ทั้ง 2 รุ่นที่เหลือนี้ เนื้อๆเน้นๆ
ให้ละเอียด และกระชับ ที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้

เพราะตอนนี้ เหลือเพียงแค่เรื่องของ ประสิทธิภาพเครื่องยนต์
และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่หลายๆคนยังคงมีคำถามค้างคาข้างใน
ว่าเครื่องยนต์ บล็อกใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะให้สมรรถนะออกมาได้ร้ายดีตีบทแตกมากน้อยอย่างไร?

กับคำถามคาใจที่สำคัญว่า ตกลงแล้ว ควรจะใส่จีวร
ทำตัวเป็นพระกระโดดกำแพง จากรุ่น 2.0 ลิตร
ขึ้นไปเล่นรุ่น 2.4 ลิตรกันเลยดีไหม?



ผมจะไม่ย้อนอดีตให้คุณได้ทราบอีกเป็นรอบที่สามหมื่นหกพันสี่ร้อยเจ็ดสิบห้า
ว่า แอคคอร์ด ทั้งในเมืองนอก และเมืองไทย เป็นมาอย่างไร
เพราะได้เคยเขียนไว้ให้อ่านกันในรีวิว ทั้งรุ่น 2.4 ลิตร
และในรีวิวของรุ่นเดิม ซึ่งคุณจะหาอ่านได้ จาก Link ด้านล่างสุดของบทความนี้

รวมทั้ง บทความ History of Accord ที่เคยตีพิมพ์มาแล้วใน THAIDRiVER ฉบับเก่าๆ

ภาพยนตร์บางเรื่อง ฉายซ้ำกันเรื่อยๆ ก็ยังมีคนดูอยู่เรื่อยๆ
แต่ถ้าเอาแต่ฉายซ้ำกันไปกันมา ก็มิเป็นอันต้องฉายเรื่องใหม่กันพอดี



ภายนอก ของรุ่น 2.0 ลิตรนั้น อย่างที่เห็นกันอยู่ว่า จะมีล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว
ที่ดูตุ่นๆ ไม่ค่อยเข้ากับเส้นสายของตัวรถ แต่ก็เหมาะกับบุคลิกของสมรรถนะภาพรวมของตัวรถ

อย่าเพิ่ง งง ว่าทำไมสำนวนผมมันช่างกำกวมและกวนส้นเยี่ยงนี้

อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นเอง…

ส่วนชุดไฟหน้า ก็ยังคงเป็นแบบมาตรฐาน ไม่ได้วิลิศมาหราพิสดารแต่อย่างใด



ตัวอักษรประทับบั้นท้าย ฮอนด้าคงเกรงว่าลูกค้าบางคนอาจจะอ๊ายอาย
เลยไม่ระบุความจุกระบอกสูบ เอาไว้บน Emblem ด้านหลังรถเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงคำว่า i-VTEC ให้ดูต่างหน้าว่า “ตัวข้าก็มิใช่ อุนจิอุนจิ นะเฟ้ย เจ้ารถที่ตามมาข้างหลัง!”

(แต่ใครจะรู้ กว่ามันจะสำแดงเดช คุณต้องกดคันเร่งแช่ยาวๆ นานพอกับการแช่เท้าในน้ำอุ่นตอนนวดสปา)

เพียง 2 สิ่งนี้เท่านั้น ที่จะแตกต่างจากแอคคอร์ดรุ่นอื่นๆ
นอกนั้น เหมือนกันแทบจะทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่ง
ชุดไฟเลี้ยวที่ฝังตัว ณ กรอบกระจกมองข้างทั้งสองฝั่ง



ขณะเดียวกัน รุ่น วี6 3.5 ลิตร
ก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะต่างกันเท่าใดนัก…



ดูล้ออัลลอยลายนั้นสิ! ดูเหมือนว่า มันควรจะอยู่ในรุ่น 2.0 ลิตร
หรือ 2.4 ลิตรมากกว่า ใช่ไหมเจ้า!



ล้ออัลลอย ฝั่งซ้าย ที่หันหน้าให้คุณผู้อ่านอยู่ในรูปนี้ ตอบสวนกลับมาทันใด
“ใช่เลยครับท่าน”!

!!!!!! เฮ่ย เจ้าล้อบ้า! ทำไมเอ็งพูดได้!!!!!!?



ผมยืนมองมันงุนงง ว่ามันพูดได้ด้วยเหรอ?
เหลียวซ้าย แลขวา มองหน้า หันหลัง
กำลังตัดสินใจว่าจะรีบวิ่งหนีเพราะผีหลอกตอน 5 โมงเย็น
หรือใจดีสู้ล้อ ลองต่อล้อต่อเถียงกับล้ออัลลอยเจ้ากรรมนั่นต่อดี

เอาละวะ…ผมเลือกอย่างหลัง…

“แล้วใครเขาสั่งให้เจ้ามาอยู่ในรุ่น วี6 กันละนี่?”



เจ้าล้อฝั่งซ้ายพูดได้ ก็ตอบกลับมาอย่างกับผมเป็นอ้ายโง่ว่า
“ท่านก็ลองไปถามฝ่าย Product Planing เค้าดูสิ อะไรกันเนี่ย
ท่านอยู่ในวงการมาตั้ง 10 ปี นี่ยังต้องให้ข้าผู้ด้อยพรรษาอ่อนขวบปีกว่าท่าน
สอนเอาอย่างง่ายๆด้วยมุขเยี่ยงนี่เชียวหรือ?”

นี่ถ้าไม่ติดว่า รถคันนี้ไม่ใช่รถตัวเองแล้วนะ
ป่านนี้ ล้ออัลลอยฝั่งซ้าย ขนาด 17 นิ้ว ลายบ้านๆ แบบนี้
คงโดนผมเหวี่ยงลูกแป ใส่สักป๊าบ ไปโดยง่ายเสียแล้วกระมัง



อีกจุดหนึ่งที่จะทำให้คุณแยกได้ถึงความแตกต่างของรุ่น วี6 3.5 ลิตร
จากรุ่นอื่นๆ นั่นคือ ท่อไอเสียคู่ ที่ทำให้ตัวรถดูดุดันขึ้นเล็กน้อย
เป็นมรดกตกทอดมาจาก แอคคอร์ด วี6 3.0 ลิตร รุ่นที่แล้ว

นอกจากนั้น หากดูเผินๆแบบนี้ ยากนักที่จะหาความต่างในความเหมือน



ภายในห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่น (อันที่จริงแล้วก็ควรจะนับรวมถึงรุ่น 2.4 ลิตรเข้าไปด้วย
เป็น 3 รุ่น) มันแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันอย่างเด่นชัดนัก หากมองแค่
ชุดเบาะนั่งและวัสดุหุ้มเบาะ

เพราะไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่น 2.0 ลิตร (กับ 2.4 ลิตร)
ซึ่งจะตกแต่งภายในด้วยโทนสีเบจ…



หรือเลือกรุ่น วี6 3.5 ลิตร ที่จะตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำเข้ม
พร้อมลายไม้สีดำ ที่ดูแล้วชวนให้นึกถึงห้องโดยสารของ
Honda Legend / Acura RL หรือไม่ก็ Toyota Crown Athelete กันไปเลย



คุณก็จะพบกับชุดเบาะนั่งคู่หน้า ออกแบบปรับปรุงขึ้นใหม่จากชุดเบาะนั่งของแอคคอร์ดรุ่นที่แล้ว
ฝีมือของทีมออกแบบฮอนด้า ผลิตขึ้นโดย โรงงาน SAB ที่ถ้าจำไม่ผิด ผมว่ามันตั้งอยู่ที่ บางนา-ตราด กม.12
เลยจากบ้านผมไปไม่ไกล แค่ปั่นจักรยานไปก็ถึงนี่เอง!

ชุดเบาะนั่งคู่หน้า ปรับระดับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง
พร้อมระบบดันหลัง ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า เฉพาะฝั่งคนขับ
มีมาให้ครบทุกขนาดเครื่องยนต์ ก็จริงอยู่



แต่ในรุ่น วี6 3.5 ลิตร จะมีระบบหน่ายความจำตำแหน่งเบาะ 2 ตำแหน่ง
ติดตั้งบนแผงประตูฝั่งคนขับใกล้คันโยกเปิดประตู
วิธีการใช้ ก็เหมือนกับสวิชต์แบบเดียวกันนี้ ใน BMW ทั่วๆไป
คือกดปุ่ม SET จนมีไฟขึ้นที่ตัวเลข 1 หรือ 2
แล้วก็เลือกไปสิว่าจะให้จดจำตำแหน่งไว้ที่ Memory หมายเลข 1 หรือ 2

ทว่า หน่ายความจำนี้ มิได้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับระบบปรับดันหลัง
ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ที่ติดตั้ง ถัดจากสวิชต์ ปรับเลื่อนตำแหน่งเบาะฝั่งคนขับ
ไปไม่ไกลนัก แต่อย่างใด และจะว่าไปแล้ว การดันหลังของเบาะนั่ง
แอคคอร์ดใหม่นี้ ออกแนวสบายกำลังดีสำหรับผม เวลาขับรถทางไกล
แต่เมื่อใดที่เปลี่ยนไปนั่งข้างคนขับ กลับรู้สึกว่า แม้จะไม่ปวดเมื่อย
แต่กลับนั่งไม่ค่อยสบายตัวเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นเบาะชุดเดียวกันเป๊ะ?

ไม่ใช่เพราะการโอบกระชับกับลำตัวที่ทำได้ดีกว่าเดิมนั่นหรอก
แต่น่าจะเกิดจาก การดันแผ่นหลังด้านบน ไม่มากพอ
เมื่อเทียบกับบริเวณ แผ่นหลังตอนล่าง

แถมพนักศีรษะก็ยังปรับตำแหน่งไม่ได้มากไปกว่าเลื่อนสูง-ต่ำเท่านั้นเลย…



หนึ่งในจุดที่ต้องชมเชยกันสำหรับแอคคอร์ดรุ่นนี้ คือช่องประตูทางเข้า
เบาะแถวหลัง มันมีขนาดกว้างใหญ่ขึ้นม
และช่วยให้การก้าวเข้า-ออกจากตัวรถ
สะดวกสบายจริงๆ ดีขึ้นจากรุ่นก่อน อย่างไม่เห็นฝุ่น



แถมการออกแบบให้เสาหลังคาคู่หลัง ออกมาเป็นรูปตัว C คล้าย BMW นั้น
กลับกลายเป็นข้อดี คือ นอกจากจะทำให้ทัศนวิสัยด้านหลัง โปร่งตาขึ้น
เพราะเสาหลังคาคู่ลัง C-Pillar มีขนาดเล็กลงแล้ว
ยังช่วยลดโอกาส ที่ศีรษะผู้โดยสาร จะกระแทกกับขอบธรณีประตู
ด้านใดด้านหนึ่งเมื่อต้องก้าวเข้าไปนั่งในรถอีกด้วย

และถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่า มีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง
มาให้ครบทุกรุ่นเครื่องยนต์ แม้ว่า ในความเป็นจริง ลมที่เป่าออกมา
จะไมได้ช่วยทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเย็นขึ้นมากมายเท่าที่ควร ก็ตาม



ส่วนเบาะแถวหลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 2.0 ลิตร 2.4 ลิตร
หรือจะเป็นรุ่น วี6 3.5 ลิตร ก็จะมีที่พักแขนพับเก็บได้
ซึ่งออกแบบมาให้วางแขนได้ในตำแหน่งพอดีๆ
มาพร้อมกับช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งพร้อมฝาปิดได้
กับฝาพลาสติกที่เปิดทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมาให้ครบทุกรุ่น



ในด้านความสบาย ผมก็ยังยืนยันตามเดิมว่า
เบาะนั่งด้านหลังของแอคคอร์ดใหม่ มีเบาะรองนั่งที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม
รองรับต้นขา และข้อพับได้พอดีๆ ช่วยให้นั่งสบายขึ้น และไม่เมื่อยล้า
ขณะเดินทางไกลมากเท่ารถรุ่นก่อน อีกทั้งยังมีพื้นที่เหนือศีรษะที่มากกว่า
ทั้งแคมรี และเทียนา ดังนั้น จึงไม่ต้องหวาดเสียว ว่าศีรษะจะเฉี่ยวกับเพดานหลังคารถแต่อย่างใด

เข็มขัดนิรภัยคู่หลัง ทุกรุ่นเป็นแบบ ELR 3 จุด ทุกตำแหน่ง



รุ่น V6 3.5 ลิตร นั้น ใช้ชุดแผงควบคุมคอนโซลกลาง ร่วมกับรุ่น 2.4 ลิตร
มีเพียงการตกแต่งคอนโซลกลาง บริเวณคันเกียร์ และเบรกมือ ด้วยลายไม้
และใช้สีดำเป็นโทนสีหลักในห้องโดยสาร ที่ทำให้ตัวรถดูต่างจากรุ่น 2.4 ลิตร
นอกนั้น เหมือนกันหมด…



แต่ในรุ่น 2.0 ลิตรนั้น ในเมื่อไม่มีระบบนำร่องผ่านดาวเทียม GPS มาให้
จึงมีการปรับเปลี่ยนจอแสดงผลแนวยาวเหนือช่องแอร์คู่กลางออก
แล้วย้ายทุกการแสดงผล ไปไว้บนจอ Multi Information Display ด้านบนแทน
เหมือนกับที่พบได้ใน นิสสัน เทียนา นั่นเอง



(ชุดมาตรวัดของรุ่น 2.0 ลิตร มาในแบบมาตรฐาน เบสิกๆ มีระบบควบคุมความเร็วคงที่
Cruise Control มาให้ เช่นเดียวกับรุ่นพี่ 2.4 และ วี6 3.5 ลิตร)



(ชุดมาตรวัดของรุ่น วี6 3.5 ลิตร สังเกตได้ว่า จะมี สัญญาณเตือน ชุดไฟหน้า Light Control
สัญญาณแจ้งเตือนระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA หรือ Vehicle Stability Assist
และจอขนาดเล็ก แจ้งบอกตำแหน่งเกียร์ ตรงกลาง)



และนอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนจอแสดงผลระบบ Multi Information Display
ให้เล็กลงแล้ว ยังทำให้ต้องปรับตำแหน่งของสวิชต์ต่างๆ
และตำแหน่งของช่องแอร์ ในรุ่น 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตร
ที่ไม่มีระบบนำร่องมาให้ กันใหม่ทั้งหมด

แม้การตกแต่งในรุ่น 2.0 ลิตรนั้น เรียบง่าย
และไม่ต้องมีไม้ประดับให้ดูวุ่นวายเกินจำเป็น

แต่เอาเข้าจริงแล้ว แผงควบคุมบนคอนโซลกลางนั้น ใช้งานค่อนข้างยากลำบาก
หากต้องขับรถไป แล้วคิดจะปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบปรับอากาศนั้น
ยังดีที่ แยกสวิชต์ปรับอุณหภูมิไว้ 2 ฝั่ง ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
โดยมีสวิชต์ปรับความแรงของพัดลม อยู่ตรงกลาง

และยังดีที่แยกสวิชต์ชุดเครื่องเสียงทั้งหมด
ให้ถัดลงมาจาก ระบบปรับอากาศ



แต่ในรุ่น 2.4 ลิตร และ V6 3.5 ลิตร นั้น กลับให้สวิชต์ระบบปรับอากาศ
แยกไปอยู่ฝั่งซ้าย และขวา ขนาบข้างสวิชต์ชุดเครื่องเสียงและระบบนำร่อง
ถูกจัดวางไว้ตรงกลาง คราวนี้ สวิชต์พัดลม อยู่ห่างไกลจากผู้ขับ
ไปกว่ารุ่น 2.0 ลิตร คือโยกไปอยู่ทางซ้ายสุด

ฮอนด้านั้นเคยได้ชื่อในเรื่องการออกแบบ แผงหน้าปัด ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้
(User’s friendly) แต่ในแอคคอร์ดใหม่นี้ ผมกลับไม่เห็นเป็นเช่นเดิมอีกต่อไป

แม้ว่ามันจะสวย ใช้วัสดุดีขึ้นมาก ให้สัมผัสในการกดที่ดีขึ้น ดูหรูขึ้น
แต่ มันลายตาไปหมด และต้องละสายตาจากถนน เพื่อมองหาสวิชต์
ของอุปกรณ์ที่ต้องการในหลายๆครั้ง

โชคดีที่ ฮอนด้า เลือกติดตั้งสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนพวงมาลัยมาให้ทุกรุ่น
ช่วยลดความวุ่นวายในการควบคุมชุดเครื่องเสียง ขณะขับขี่ลงไปได้พอสมควร

ส่วนคุณภาพเสียง จากชุดเครื่องเสียงติดรถที่ให้มา จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
และเหมือนๆกัน ทั้งรุ่น 2.0 ลิตร 2.4 ลิตร และ วี6 3.5 ลิตร
โดยไม่จำเป็นต้องไปถอดทิ้งเปลี่ยนใหม่ให้เปลืองงบแต่อย่างใด
ยกเว้นแต่คุณจะเป็นนักฟังหูชุบทอง…



อุปกรณ์ที่มีเฉพาะรุ่น วี6 3.5 ลิตร…
นั่นคือ ซันรูฟ เปิด-ปิดได้ และยกกระดกขึ้น เพื่อระบายอากาศด้วยไฟฟ้า
ตอนแรกก็สงสัย ว่าทำไม แผงบังแสงแดดด้านใน ถึงได้เลื่อนเปิดไม่สุด
แต่พอเลื่อนเปิดชุดซันรูฟจนสุด จึงพบว่า อันที่จริงแล้ว มันเลื่อนได้จนสุดนั่นละ
แต่คงจะเปิดให้สุด โดยไม่เปิดรับอากาศข้างนอกคงไมได้ เพราะมันต้องทำหน้าที่
ปิดบังซ่อนเร้นกลไกของระบบไม่ให้คุณๆได้เห็น

ที่แน่ๆ มีระบบ Jam-Protection เช่นเดียวกับกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับ
ดีดกลับเมื่อมีสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ในรุ่น วี6 3.5 ลิตร ก็ยังมี ม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
เปิดปิด-ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ข้างคันเกียร์ มาให้เช่นเดียวกับรุ่น 2.4 ลิตร



มีสวิชต์เปิด-ปิดการทำงานของระบบ VSA ระบบหน่ายความจำของเบาะปรับด้วยไฟฟ้า
อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้น และสวิชต์ควบคุมระบบกระจกและหน้าต่างทั้งหมด
ซึ่งต้องขอชมว่า วางตำแหน่ง สวิชต์หน้าต่างฝั่งคนขับ ได้พอดี และลงตัวมาก
ไม่ต้องเอื้อมมือไปข้างหน้า หรือถอยร่นมือมาข้างหลังแต่อย่างใด



ส่วนรายละเอียดภายในห้องโดยสาร และสิ่งละอันพันละน้อยอื่นใดนอกเหนือจากนี้
รวมทั้ง การทำงานของชุดเครื่องเสียง ระบบ ฮาร์ดดิสก์ที่จุเพลงได้เป็น พันๆ เพลง
ระบบนำร่อง GPS อันตระการตา และอัพเดทข้อมูลสดใหม่กว่า ในแคมรี
ไปจนถึงพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับรุ่น 2.4 ลิตร ทุกประการ!

ดังนั้น ขอรบกวนคุณผู้อ่าน ช่วยเปิดย้อนกลับไปดูในรีวิว ของ แอคคอร์ด 2.4 ลิตร
ที่มีอยู่แล้วใน http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=173#head
ไปอ่านในนั้นกันเอาเองอีกที เพื่อความละเอียดและสมบูรณ์



********** รายละเอียดทางเทคนิค และการทดลองขับ **********

นอกเหนือจาก ขุมพลัง K24A ในรุ่น 2.4 ลิตร แล้ว
ฮอนด้า ยังมีทางเลือกให้กับแอคคอร์ดใหม่ มาอีก 2 เครื่องยนต์
อันเป็นเหตุให้ต้องมีรีวิวชิ้นนี้เกิดขึ้นตามมาจากรีวิวแอคคอร์ด ก่อนหน้านี้

นั่นคือ เครื่องยนต์ รหัส R20A
4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC
คันเร่งไฟฟ้า ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Drive By Wire
เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.9 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1
156 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 19.3 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

เครื่องยนต์นี้ พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ เครื่องยนต์ R18A
ที่วางอยู่ใน CIVIC รุ่นปัจจุบัน โดยเครื่องยนต์ตัวนี้
วางอยู่ใน CR-V รุ่นปัจจุบัน ทั้งขับล้อหน้า และสี่ล้อ
รวมทั้งใน Stream เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งไม่ได้นำเข้ามาขายในเมืองไทย

เท่าที่ทราบมา ฮอนด้าบอก ณ วันเปิดตัว ว่า
ประเทศไทย ดูเหมือนจะเป็นประเทศเดียวในโลก
ที่มีเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มาให้เลือกใช้กันเป็นกรณีพิเศษ
ไม่แน่ใจว่า ณ วันนี้ จะยังมีประเทศอื่นนอกจากไทยอีกหรือไม่
ที่ได้เครื่องยนต์ตัวนี้ไปทำตลาดด้วย



ส่วน เครื่องยนต์ J35A
วี6 SOHC 24 วาล์ว 3,471 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC
เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.0 x 93.0 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1
275 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 34.7 กก.-ม.ที่ 5,000 รอบ/นาที ….นั้น

มีเทคโนโลยี VCM ( Variable Cylinder Management)
แปรผันการทำงานของกระบอกสูบ ให้สัมพันธ์กับความต้องการ
ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ มีแนวคิดมาจากเครื่องยนต์ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์
และฮอนด้า เคยนำมาใช้แล้วกับ Accord รุ่นที่แล้วในเวอร์ชันญี่ปุ่น
ซึ่งทำตลาดในชื่อ Inspire

หลักการทำงานก็คือ ระบบนี้จะอาศัยเซ็นเซอร์ตรวจจับการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ
ทั้งการเปิด-ปิด ลิ้นปีกผีเสื้อ ความเร็วรถ ความเร็วรอบเครื่องยนต์ และลักษณะการเปลี่ยนเกียร์
มาคำนวนร่วมกัน โดยเครื่องยนต์จะจ่ายส่วนผสมไอดีเข้าห้องเผาไหม้ครบทั้ง 6 สูบตามปกติ
ในช่วงออกตัว เร่งความเร็วหรือการขับขี่ในย่านความเร็วสูง

แต่เมื่อลดความเร็วมาอยู่ในระดับการขับขี่ธรรมดา หรือช่วง CRUISING
ระบบจะสั่งให้ตัดการจ่ายส่วนผสมไอดีลงเหลือเพียง 3 สูบ โดยในห้องเผาไหม้
ที่ถูกสั่งตัดการทำงาน วาล์วไอดีและไอเสียจะปิดตัว ไม่มีการรับหรือจ่ายไอดี-ไอเสียใดๆ
แต่ลูกสูบจะยังคงเคลื่อนตัวขึ้นลงไปตามการทำงาน ของเพลาข้อเหวี่ยงตามปกติ

หากยังสงสัยในการทำงานของมัน ดูแผนภูมินี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจได้ง่ายครับ



ถ้าอธิบายในแบบที่เข้าใจกันได้ง่ายๆก็คือ
ในยามที่รถติด จอดสนิท เดินเบา
หรือคลานไปช้าๆตามสภาพการจราจรในเมือง
เครื่องยนต์จะทำงานเพียง 3 สูบ (สูบ 4 5 และ 6)

แต่เมื่อใดที่ผู้ขับต้องการจะป้อนคันเร่งเพิ่มขึ้นอีกนิด เพื่อเรียกกำลังเครื่องยนต์
สำหรับการขับขี่ในเมือง อาจจะเร่งแซงเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ใช่ Full Throttle
ก็จะเปลี่ยนมาทำงานด้วยห้องเผาไหม้ที่ 1 2 5 และ 6 โดย สูบ 4 จะดับลงไป
และสูบที่ 1 กับ 2 จะเริ่มต้นทำงาน แทน

และ ถ้าต้องการพละกำลังเร่งแซงกันเต็มพิกัด เพียงแต่กดคันเร่งจนจมมิด
ระบบจะเพิ่มการจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่กระบอกสูบทื่เหลือ จนครบ 6 สูบ

ดังนั้น หากคุณขับและเลี้ยงคันเร่งนิ่งๆ
จะมีไฟ ECO สีเขียวติดขึ้นมาเพื่อบอกให้คุณรู้ว่า
เครื่องยนต์กำลังทำงานเพียง 3 หรือ 4 สูบ

ยิ่งคุณพยายามขับให้ไฟนี้มันติดขึ้นมาบ่อยๆเพราะนั่นหมายความว่า
คุณกำลังช่วยประหยัดตังค์ในกระเป๋าสตางค์ไปได้เพิ่มขึ้นอีกนิด



รุ่น 2.0 ลิตรนั้น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
ทำงานด้วยระบบ Grade Logic Control
พร้อม Direct Control

มีอัตราทดเกียร์ดังนี้
เกียร์ 1………………..2.785
เกียร์ 2………………..1.684
เกียร์ 3………………..1.128
เกียร์ 4………………..0.772
เกียร์ 5………………..0.593
เกียร์ถอยหลัง…………….2.000
อัตราทดเฟืองท้าย………….4.437



ส่วนเครื่องยนต์ J35A ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เช่นเดียวกันก็จริง
แต่…นอกจากจะมี แป้น Paddle Shift ที่ด้านหลังพวงมาลัย
มาให้เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เอง ไม่ว่าคันเกียร์จะอยู่ในตำแหน่ง
D หรือ S ก็ตาม เหมือนกับรุ่น 2.4 ลิตร แล้ว

เกียร์อัตโนมัติ สำหรับรุ่น 3.5 ลิตร ก็ยังถูกเซ็ตอัตราทดเกียร์มาให้แตกต่างกันดังนี้

เกียร์ 1………………..2.697
เกียร์ 2………………..1.606
เกียร์ 3………………..1.071
เกียร์ 4………………..0.765
เกียร์ 5………………..0.612
เกียร์ถอยหลัง……..2.000
อัตราทดเฟืองท้าย..4.312

นั่นหมายความว่า
แม้ระบบเกียร์อัตโนมัติของทุกรุ่น จะเป็นแบบ 5 จังหวะเหมือนกัน
แต่มีการปรับเซ็ตอัตราทดเกียร์ และอัตราทดเฟืองท้าย ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
จะมีที่เหมือนกันก็เพียงแค่ อัตราทดเกียร์ถอยหลัง และทดเฟืองท้าย
ของทั้งรุ่น 2.0 และ 2.4 ลิตร ที่ทดเอาไว้ 2.000 และ 4.437 ตามลำดับ เท่านั้น

เรายังคงทดลองกันด้วยมาตรฐานเดิม
คือทดลองในตอนกลางคืน นั่ง 2 คน น้ำหนักตัวรวมแล้ว
ประมาณ 150-160 กิโลกรัม เปิดแอร์ และเปิดไฟหน้า
ใส่แต่เกียร์ D อย่างเดียว ไม่เล่นเกียร์ช่วย เหยียบคันเร่งจนจมมิด
ได้แค่ไหน เอาแค่นั้น ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้ครับ



นับว่าฮอนด้าคิดถูก ที่ปลดขุมพลัง K20A7 ตัวเดิมออก
แล้วจับเอาเครื่องยนต์ R20A ซึ่งประจำการอยู่ใน CR-V 2.0 ลิตร
และ Stream 2.0 ลิตร เวอร์ชันญี่ปุ่น รุ่นใหม่ (ซึ่งไม่มาโผล่บ้านเรา)
มาวางลงในห้องเครื่องยนต์ของแอคคอร์ดเวอร์ชันไทย

เพราะสมรรถนะของเครื่องยนต์ตัวนี้ สร้างแต่เรื่องราวเหนือความคาดหมาย
ให้เกิดขึ้นได้จริง อย่างที่จะทำให้คุณลืมความน่าเบื่อของ K20A7 ใน แอคคอร์ด 2.0 ลิตร ตัวเก่า
ไปได้ เกือบสนิทใจ แม้จะยังคงเหลือบุคลิกดั้งเดิมอย่างที่มัน จำใจต้องเป็นก็ตาม

บุคลิกที่ว่าคือ เมื่อใดก็ตาม ที่คุณพบเห็นรถยนต์ขนาดตัวถังค่อนข้างจะใหญ่
แต่ใส่เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ความจุกระบอกสูบน้อยๆ โดยธรรมชาติของมันแล้ว
คุณควรจะรับรู้ไว้เสียก่อนเลยว่า อัตราเร่งของมัน อืดกว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์
ซึ่งมีความจุกระบอกสูบมากกว่าแน่นอน

และส่วนใหญ่แล้ว อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็มักจะทำได้ด้อยกว่า หรือไม่ก็
ทำได้ดีระดับเทียบเท่ากับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ ความจุกระบอกสูบมากกว่า
มันไมได้ประหยัดกว่าพวกพี่ๆเขาไปนักหรอก

แต่ แอคคอร์ด 2.0 ลิตรเอง ก็ทำเรื่องที่ชวนให้เราประหลาดใจกันได้
เพราะอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน
ประมาณ เกือบๆ 1 วินาที และช้ากว่ารุ่น 2.4 ลิตรโฉมใหม่ไป 1 วินาที
ไม่ได้ทิ้งห่างกันไกลถึง 2 วินาทีเหมือนรุ่นเดิมอีกแล้ว

ส่วนอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
ก็ทำได้ดีขึ้น ประมาณ 0.2 วินาที

ถ้าให้พูดกันเต็มๆคือ แอคคอร์ด 2.0 ลิตร ยังคงมีบุคลิกเหมาะสำหรับ
การขับแบบอีเรื่อยเฉื่อยแฉะในเมือง แต่ถ้าจำเป็นจะต้องเฆี่ยนม้าเข้าเมืองหลวง
ยามมีกิจธุระด่วน อัตราเร่ง นั้น ทำได้ดีเท่าๆกันกับ Nissan Tiida 1.6 ลิตร
ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ที่แรงที่สุด และดีที่สุดในกลุ่ม 1.6 ลิตรตอนนี้

และที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยคือ บุคลิกเครื่องยนต์ของฮอนด้า ซึ่งมักจะมีพละกำลัง
ไหลมาเทมาต่อเนื่องที่รอบปลายๆ ก็ปรากฎให้เห็นใน R20A ตัวนี้เสียด้วย!
เพราะในขณะที่เครื่องยนต์ของรถรุ่นอื่นๆในระดับเดียวกันนั้น เมื่อพ้น 5,000 รอบ/นาที
ขึ้นไปแล้ว พละกำลังก็เริ่มจะถดถอยลง แต่ R20A นั้น กลับตรงกันข้าม เมื่อคุณกดคันเร่งจนจมมิด
แล้วปล่อยให้รถทะยานออกไป เมื่อเข้าสู่ช่วงหลัง 5,000 รอบ/นาที พบว่าเครื่องยนต์ยังฉุดลากตัวรถ
จนรู้สึกได้ถึงแรงดึงเล็กๆ ที่พารถพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความเร็วจะเลยเถิดขึ้นไปกว่า
190 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้วก็ตาม

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น รุ่น 2.0 ลิตร ทำได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อถึงระดับดังกล่าว
กล่อง ECM จะตัดการจ่ายน้ำมัน ทำให้หน้ารถหัวทิ่มหัวตำลงไปนิดนึง

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ขุมพลัง วี6 SOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร VCM มีให้กับผู้ขับขี่นั้น
กลับไม่อาจเทียบ แคมรี วี6 3.5 ลิตรได้เท่าที่ควร

หากเทียบตัวเลขกับ เครื่องยนต์ วี6 DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร VVT-i ของ โตโยต้า แคมรีแล้ว
เห็นได้ชัดเจนว่า สมรรถนะเครื่องยนต์ของแอคคอร์ด ด้อยกว่า แคมรี อย่างยากจะปฏิเสธ

เมื่อถึงจังหวะที่จะต้องตัดเปลี่ยนขึ้นเกียร์ 2 สังเกตได้ชัดเจนว่า ในรถคันที่ทดลองขับนั้น
มีอาการกระตุกอย่างแรงในขณะเปลี่ยนเกียร์ ถึงกระนั้น ความเร็วของรถก็ยังคงไหลขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ที่ถือว่าทำได้ดี ก็คือช่วงอัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น มีความต่อเนื่องดีมาก
แม้ว่าจะมีการตัดเปลี่ยนขึ้นเกียร์ 3 ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ตาม
แต่พละกำลังก็ยังไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องอยู่ ก่อนจะเริ่มไปแผ่วเอาในช่วงหลัง ผ่านพ้นเกียร์ 3 ขึ้นไป
และสำหรับรถที่ใช้ระบบเพลาราวลิ้นเดี่ยวเหนือฝาสูบ
ทำตัวเลขออกมาได้ระดับด้อยกว่า รถที่ใช้ระบบเพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบแล้ว
ก็ต้องถือว่า เอาละวะ พอรับได้แล้วกัน

ส่วนหนึ่ง ต้องแจ้งให้ทราบกันว่า แคมรี วี6 3.5 ลิตรนั้น เป็นรถสเป็กดั้งเดิม เติมได้แต่ แก้สโซฮอลล์ E10 ก่อนจะมีการปรับปรุงให้
สามารถใช้น้ำมันแก้สโซฮอลล์ E20 ได้

ขณะที่แอคคอร์ดรุ่นใหม่ นั้น ใช้ E20 ได้มาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้น ถ้าในตอนนี้ หากเอา แคมรี วี6 3.5 ลิตร
ที่ปรับสเป็กให้ใช้ E20 ได้ มาเปรียบเทียบกัน ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า ความแตกต่างของตัวเลขอัตราเร่งต่างๆ
น่าจะลดน้อยลงกว่านี้ (แต่ยังไง แคมรี วี6 3.5 ลิตร ก็ยังจะเป็นฝ่ายเข้าวินอยู่ดี)



ระบบบังคับเลี้ยว แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ และมีกลไกแปรผันอัตราทดเฟืองพวงมาลัย VGR
(Variable Gear Ratio) ของทั้ง 2 รุ่น ไม่ได้แตกต่างอะไรกับรุ่น 2.4 ลิตร มันยังคงเป็นพวงมาลัยที่ ให้การตอบสนอง
ดีที่สุดในกลุ่มรถยนต์ระดับ D-Segment ของเมืองไทยในตอนนี้ ทั้งการบังคับเลี้ยวที่คม กระชับ
และไว มีระยะฟรีกำลังดี เหมาะสมแล้ว ชวนให้นึกถึงพวงมาลัยของ ฮอนด้า ซีวิค FD รุ่นปัจจุบันขึ้นมานิดๆ

ระบบเบรกนั้น แป้นเบรกอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมกำลังดีก็จริงอยู่
แต่กับผ้าเบรกนั้น ผมเริ่มมองเห็นว่า สำหรับรุ่น 2.0 ลิตร ที่ผู้ขับขี่เป็นคุณพ่อบ้านแม่บ้าน
ผ้าเบรกแบบมาตรฐานจากโรงงาน เหลือเฟืออย่างมาก สำหรับการชะลอความเร็ว ในเมือง
หรือขณะเดินทางไกล

แต่สำหรับนักขับเท้าไฟ ผู้มีใจรักความท้าทาย และ รวยเลือกได้แล้ว
รุ่น วี6 3.5 ลิตร จะให้การตอบสนองที่ดีมาก ในการชะลอความเร็วยามปกติ
หรือแม้แต่การหยุดรถในภาวะไม่เป็นใจต่างๆ

แต่ในยามที่ไม่ปกติ เช่น คุณกำลังรีบออกจากบ้าน และต้องซัดเข้าตัวเมือง
ผ่านถนนวงแหวน และมีเหตุให้ต้องลดความเร็วจากระดับ 170-190 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ลงมาต่อเนื่องกันสัก 2-3 ครั้ง ผ้าเบรกมีโอกาส fade ได้เร็วพอสมควรเหมือนกัน

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ ปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังเป็นแบบ มัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ทั้งหน้า-หลัง
ยังคงให้การตอบสนองที่เอาใจคนชอบขับรถเป็นหลัก มากที่สุดในบรรดาคู่แข่งระดับเดียวกัน
คือ แข็งกว่า ทั้งแคมรี และเทียนา แม้ว่าจะปรับจูนให้นุ่มนวลลงจากรุ่นเดิมลงมาเล็กน้อยแล้วก็ตาม
การตอบสนองต่างๆ ให้ความมั่นใจได้ดี แทบไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่น 2.4 ลิตร
ไม่ว่าจะเป็นการขับผ่านลูกระนาด หรือสาดโค้งตัว S ณ ทางลงทางด่วนพระราม 6
ด้วยความเร็วสูงระดับ 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง (และมีอาการบั้นท้ายเหวี่ยงออกนิดๆ ณ ความเร็วระดับนั้น)
ตัวรถพยายามจะรักษาเสถียรภาพของมันเอาไว้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีอาการหน้าดื้อ หรือ Understeer
ให้พบเห็นอย่างที่รถขับหน้าทั่วๆไปมักจะมีกันแต่อย่างใด

แต่ตั้งข้อสังเกตว่า การเก็บเสียงในรุ่น วี6 3.5 ลิตรนั้น เสียงรบกวนจะน้อยกว่า รุ่นอื่นๆ
และถ้าจะได้ยินชัดเจน ก็เห็นจะมีแต่เสียงยาง Michelin ENERGY MXV8 เจ้าเก่า
ที่ต่อให้พยายามพัฒนาให้เมืองไทยเป็นพิเศษแล้วก็ตาม แต่เสียงของมัน ก็ยังดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ดี

เลยทำให้การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ยังคงด้อยกว่าเทียนา กับแคมรี เล็กน้อย อยู่ดี



********** การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง **********

เนื่องจาก ผมมีโอกาสได้ทดลองขับรถทั้ง 2 เครื่องยนต์นี้ ต่างกรรม ต่างวาระ
โดยในรุ่น วี6 3.5 ลิตรนั้น เราทดลองขับกันในช่วงต้นๆ-กลางๆ ปี
ตอนนั้น เรายังคงอยู่ในช่วงระหว่างหาปั้มน้ำมันเติสมทดแทน
ปั้มเอสโซ่ที่พระราม 6 ซึ่งยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95

และเราไปเจอปั้ม เอสโซ่ พหลโยธิน ตั้งอยู่ก่อนหน้าจากปั้มเชลล์ ไปเพียงแค่มี
โชว์รูมเบนซ์ ราชครู กั้นขวาง เราจึงใช้บริการปั้มนั้น กันครั้งหนึ่ง
ก่อนที่ปั้มนี้จะยกเลิกการจำหน่าย เบนซิน 95 ตรามติดกันมาในอีก
3-4 วันหลังจากเราทำการทดลอง



ส่วนรุ่น 2.0 ลิตรนั้น เพิ่งจะทดลองขับไปไม่นานนี้
และนั่นเป็นช่วงที่เราเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเบนซิน 95 จากปั้มเชลล์
พหลโยธิน ซึ่งเป็นปั้มที่เราใช้บริการกันประจำในช่วงหลังๆมานี้
เรียบร้อยแล้ว

เติมน้ำมัน เอาแค่หัวจ่ายตัดทั้งตอนเริ่มต้น และตอนเติมกลับรอบ 2



ยึดมาตรฐานการทดลองเดิมๆ ขับขึ้นทางด่วนพระราม 6 ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ นั่งกัน 2 คน น้ำหนักตัวคนขับและผู้โดยสารไม่เกิน 150-170 กิโลกรัม
ขับไปลงสุดปลายระบบทางด่วนที่อยุธยา เชียงราก แล้วเลี้ยวกลับ ขึ้นทางด่วน
ย้อนกลับมาเติมน้ำมันที่ปั้มเชลล์แห่งเดิมและหัวจ่ายเดิม

รุ่น 2.0 ลิตร ตาถัง เป็นผู้ร่วมทดลองไปกับผม น้ำหนักตัวราวๆ 65-70 กิโลกรัม
ส่วนรุ่น วี6 3.5 ลิตรนั้น น้อง Bombe ซึ่งน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัมในตอนนั้น เป็นผู้ร่วมทดลอง

แต่คราวนี้ เราเลือกจะขับไปลงทางด่วน ที่ ทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรูภูมิ แล้วเลี้ยวซ้าย
เข้าสู่ถนนพหลโยธิน ซึ่งจะผ่านหน้า สถานีโทรทัศน์สี กองทัพบก ช่อง 5 สนามเป้า
โรงพยาบาลพญาไท ปากซอยอารีสัมพันธ์ ผ่านโชว์รูมเบนซ์ราชครู
แล้วชิดซ้าย เลี้ยวซ้ายกลับเข้าปั้มเชลล์ เช่นเดิม ระยะทางจะเพิ่มขึ้นมาอีกนิดเดียวเท่านั้น
ราวๆ 1-2 กิโลเมตร



และตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของแอคคอร์ดใหม่
เปรียบเทียบกับทั้งรถรุ่นเดิม และคู่แข่ง มีดังนี้ครับ



เมื่อทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันจริงๆแล้ว เห็นที่ต้องบอกว่า
ผมเอง ก็คงต้องเปลี่ยนความคิด (เฉพาะรุ่นนี้) กันว่า แอคคอร์ด 2.0 ลิตรนั้น
หากใช้ความเร็วเดินทางไกล จะประหยัดพอๆกันกับ รุ่น 2.4 ลิตร

คือทำได้ที่ 14.6 กิโลเมตร/ลิตร ขณะที่ รุ่น 2.4 ลิตร ทำได้ 14.4 กิโลเมตร/ลิตร
และถ้าวิ่งในเมืองแล้วจากการสังเกต การลดลงของเข็มน้ำมัน
รุ่น 2.0 กับ 2.4 ลงแบบสูสีกัน ไม่ต่างกันมากนัก คือ ช่วงแรก
เข็มจะยังแข็งอยู่ แต่พอลดลงมาได้ตั้งแต่ 1 ใน 4 จนถึง รึ่งถัง จะลดลงมาค่อนข้างเร็ว
และจะเริ่มช้าอีกครั้ง เมื่อใกล้หมดถัง

ส่วนในรุ่น 3.5 ลิตร นั้น ต้องบอกไว้ก่อนว่า แคมรี ทุกคัน เป็นรถสเป็กเดิม เติมได้แต่แก้สโซฮอลล์ E10
ก่อนจะมีการปรับจูนให้รองรับกับน้ำมัน E20 ดังนั้น ตัวเลขสมรรถนะ
จึงอาจจะดูเหมือนว่า แอคคอร์ดด้อยกว่ากันเล็กน้อย แต่จะว่าไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา
เครื่องยนต์ของฮอนด้า พิกัดที่วางในแอคคอร์ด เกิน 3,000 ซีซี ขึ้นไปนั้น ส่วนใหญ่ ที่ผ่านมา
ตัวเลขสมรรถนะจะด้อยกว่าแคมรีอยู่นิดนึง อยู่แล้ว



แต่สิ่งที่อยากให้สังเกตคือ หลังจากนั้น ผมได้มีโอกาส นำรุ่น วี6 3.5 ลิตรกลับมาทดลองขับกันเต็มรูปแบบ
และผมได้ทดลองดูว่า หากขับแบบที่ผมขับ ซึ่งมีทั้งการคลานในเมือง ไปจนถึงการเร่งให้ทันกับเวลาจัดรายการวิทยุ
ที่ AM 1269 ตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์-เสาร์ นั้น น้ำมัน เบนซิน 95 1 ถัง จะแล่นได้ระยะทางเท่าใด
กว่าที่ไฟเตือนน้ำมันใกล้หมด จะโผล่ขึ้นมาให้ใจหายวาบเล่น

ตัวเลขที่ออกมาก็คือ 468.7 กิโลเมตร ครับ

และนั่นหมายความว่า ต่อให้คุณขับแบบอัดๆ ใช้ความเร็ว ตั้งแต่ 60 ไปจนถึง ท็อปสปีด (ทำไปแค่ครั้งเดียว)
น้ำมัน 1 ถัง คุณจะแล่นไปได้ประมาณ 500 กิโลเมตรได้แน่ๆ!

และถ้าคุณขับใช้งานในเมือง แบบเรื่อยๆ
ให้ไฟ ECO มันติดขึ้นมาลั่นล้าบ่อยๆ อาจจะทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีกว่านี้อีกเล็กน้อย…



********** สรุป **********

– รุ่น 2.0 ลิตร : ถ้ามีเงินพอ เล่น 2.4 ลิตรไปเลยดีกว่า
แต่ถ้างบไม่ถึง มันก็แรงขึ้นและประหยัดขึ้นจนไม่น่ารังเกียจอีกต่อไป
– รุ่น V6 3.5 ลิตร VCM : ขับแล้วนิ่งกว่า มั่นใจกว่า แคมรี วี6 แต่ อัตราเร่งด้อยกว่า แม้ไม่ถึงกับน่าเกลียดก็ตาม แต่กินน้ำมันพอๆ กัน
และในเมือง ส่อแววว่าอาจประหยัดกว่า?



ผมยังยืนยันว่า ยังไง๊ยังไง การขับขี่ในภาพรวมแล้ว แอคคอร์ด ก็ยังให้สมรรถนะที่ดีกว่าแคมรี
รวมทั้งยังมีพวงมาลัย และการตอบสนองของเบรกที่ดีที่สุดในกลุ่ม รวมทั้งช่วงล่างที่เอาใจนักขับ
มากที่สุดในกลุ่มด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากจะเล่นรุ่น 2.0 ลิตรแล้ว ก็ต้องรับทราบไว้ก่อนด้วยว่า
แม้จะประหยัดกว่าแคมรี 2.0 ชนิดทิ้งห่างกันเป็นทุ่ง จนแคมรีทาบไม่ติด
แต่อัตราเร่งก็ด้อยกว่ากัน กระจึ๋งนึง นะ



ส่วนรุ่น วี6 3.5 ลิตร เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งที่เหนือกว่าแคมรี วี6 3.5 ลิตร
อยู่ที่การขับขี่ในภาพรวม ทั้งหมด การทรงตัวในย่านความเร็วสูงนั้น
แคมรีชวนให้คุณหวาดเสียวมากกว่า ขณะที่ แอคคอร์ด กลับนิ่งและให้การควบคุมได้ดีกว่า



กระนั้น มีเพียง 2 ประเด็นที่จะยังสู้แคมรี วี6 3.5 ลิตรไมได้
ก็คือ ตัวเลขอัตราเร่งจะด้อยกว่า แคมรี วี6 3.5 ลิตร อย่างชัดเจน
และการเก็บเสียงจากยางติดรถที่ดังสนั่น (อันถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้วในบรรดา
Michelin ENERGY ทั้งหมดที่ผมเคยเจอมา)

แต่…ทั้งแคมรี และแอคคอร์ด ก็ยังมีห้องโดยสาร
และการซับแรงสะเทือนของช่วงล่างได้ดีสู้ นิสสัน เทียนาไม่ได้



เอาละ ถึงเวลาต้องมานั่งกดเครื่องคิดเลขกันแล้ว
รุ่น 2.0 ลิตร มีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว นั่นคือ 2.0 E
แปะป้ายราคาหน้าโชว์รูม 1,240,000 บาท

ส่วนรุ่น วี6 3.5 ลิตร VCM มี 2 ป้ายราคา
ถ้าเลือกสีธรรมดา ก็จ่าย 2,880,000 บาท
แต่ถ้าต้องการสีขาว ก็เพิ่มอีก 10,000 บาท เป็น 2,890,000 บาท

แต่ถ้า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง ออกมาเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดเรายังต้องคบหารุ่น 2.0 ลิตรอยู่ละ
ในเมื่อรุ่น 2.4 ลิตร ให้พละกำลังที่แรงกว่า ตอบสนองทันเท้ามากกว่า?

ก็เพราะว่ายังมีผู้คนอีกมากที่ไม่อาจเอื้อมถึง รุ่น 2.4 ลิตรได้ ด้วยค่าตัวของมัน
ที่ทะยานขึ้นไปในระดับ 1.4 ล้านบาทแล้วนั่นเอง

ดังนั้น หากคุณมีเงินพอ ก็ขึ้นไปเล่นรุ่น 2.4 ลิตร น่าจะช่วยให้คุณ “อิ่ม” มากกว่า
แต่ถ้างบไม่พอจริงๆ ผมยืนยันว่า รุ่น 2.0 ลิตร ให้อัตราเร่งที่ไม่ได้เลวร้ายเหมือนรุ่นก่อนอีกแล้ว
มันดีขึ้นพอ ให้คุณลืม แคมรี 2.0 ลิตร ที่กินน้ำมันกว่ากันเยอะแยะไปได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าแคมรี 2.0 ลิตร จะมีอัตราเร่งที่ดีกว่า ประมาณ 0.2 วินาที ก็ตาม



ส่วนรุ่น วี6 3.5 ลิตร ด้อยกว่าโตโยต้าแค่ตัวเลขอัตราเร่งที่ทำออกมา
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น ด้อยกว่ากันราว 0.2 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่า
ยังไม่หนีห่างกันมากมายแต่อย่างใด

ส่วนหนึ่ง มีทั้งการใช้เกียร์อัตโนมัติ แค่ 5 จังหวะ ขณะที่แคมรี ปาเข้าไป 6 จังหวะ
ตัวเครื่องของ ฮอนด้าเป็นแบบ SOHC ขณะที่ แคมรี เป็นแบบ DOHC ซึ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนิดนึงไม่เยอะนัก
แถมยังมีเรื่องของการปรับแต่งรถให้รองรับกับแก้สโซฮอลล์ E20 เข้ามาด้วยนิดนึง
ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับรถสเป็กเดิม ของแคมรี ที่เติมได้แค่ E10 ตัวเลขจึงออกมาอย่างที่เห็น
นี่ยังไม่นับกับตัวแปรต่างๆที่เราอาจไม่ได้คาดคิด เช่นในเรื่องของ คุณภาพน้ำมัน ที่ต่อให้เติมปั้มเดียวกัน
แต่ก็ไมได้นิ่งเหมือนกันเสมอทุกวันไป ฯลฯ

(แต่ก็ยังแอบ งงๆ นิดหน่อยว่า อย่างน้อย มันควรจะได้แถวๆ 7 วินาทีปลายๆ หรือ 8 วินาทีต้นๆ
ไม่ใช่ 8 วินาทีกลางๆ อย่างที่รถคันทดลองขับคันนี้ ทำได้)

และคันเร่งไฟฟ้า ของฮอนด้า ก็ตอบสนองดีกว่า โตโยต้า
Linea กว่า ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคิด 1 วินาที ว่า ตูควรจะเอายังไงกับชีวิต
ก่อนจะคิดได้ว่าควรพาคุณพุ่งโผนโจนทะยานออกไปอย่างน่ากลัว
เช่นที่แคมรีรุ่นนี้เป็นอยู่



ถ้าจะต้องให้เลือก ระหว่าง แคมรี วี6 กับ แอคคอร์ด วี6
ผมก็ยังจะเลือก แอคคอร์ด แบบไม่คิดมากในทันที!
เพราะขับแล้ว มั่นคงกว่า นิ่งกว่า เกาะถนนที่ความเร็วสูงดีกว่าแคมรี
แม้ว่าตัวเครื่องจะมีตัวเลขออกมาอย่างที่เห็นก็ตาม

แต่ถ้าให้ต้องเลือกระหว่าง แอคคอร์ด วี6 กับ BMW 320d ละ?



คุณผู้อ่านครับ…
ถ้าคุณชอบการเดินทางที่สบาย ในแนวรถผู้ใหญ่
ที่มีห้องโดยสารกว้างขวางกว่า อากงอาม่า เข้ามานั่งแล้วยิ้มหวาน
ไม่ก่นด่าว่า “ไอ้ลูกเวร ซื้อรถซิ่งๆมาให้อั้วนั่งได้ไง เด้งจนไส้อั๊วจะทะลักมาข้างนอกแล้ว”
อัตราเร่ง ไม่หนีกันนัก เร็วกว่ากันนิดนึง แต่ ทำใจเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหน่อยนะ

ชัดเจนอยู่แล้วว่า คุณควรเดินเข้าโชว์รูมฮอนด้า วางมัดจำ
แล้วก็รอไปอีกสัก 1 เดือนเศษๆ หรือเกินกว่านั้น
ทำไงได้ละ ช่วงนี้ แอคคอร์ด ก็ขายดีไม่แพ้ ซีวิค กับแจ้ส
ที่ยังมียอดจองค้างเติ่งอีกถึง 3 เดือนแทบจะทั้ง 3 รุ่น!!!

แต่…

ถ้าคุณเป็นคนอายุ ไม่เกิน 40 ขับรถเร็ว รักความสนุกในการขับรถ
และชอบอารมณ์สปอร์ตที่ติดดิบกว่า แอคคอร์ดเอาเรื่อง
และไม่กลัวไฟ Check Engine ว่ามันอาจจะติดขึ้นมาได้แม้ว่ารถจะยังป้ายแดงอยู่
แถม เติมน้ำมันเต็มถังแค่ 2-3 ครั้งต่อเดือนชัวร์ป้าด!

ต่อให้ผมไม่เขียนตรงนี้ แต่คำตอบก็ชัดอยู่แล้ว…

จริงไหมครับ คุณผู้อ่าน?

———————————————–///———————————————-



(ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิลล์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ)



********** บทความทดลองขับ ของรถยนต์ในกลุ่มคู่แข่ง ระดับเดียวกัน D-Segment ที่ควรหาอ่านเพิ่มเติม **********

Honda ACCORD
– First Impression in Japan : ชม Crash Test กันสดๆ
แล้วไปลองขับ Honda New ACCORD , Civic Type-R ,FCX Concept และอีกหลายรุ่น….by : J!MMY
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=117#head

– Full Review 2.4 ลิตร EL NAVI
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=173#head

—————–

Honda ACCORD Generation 7th
– Full Review รุ่น 2.0 โฉมเก่า
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3470403/V3470403.html

– Full Review รุ่น 2.4 และ 3.0 ไฟท้ายเบนซ์
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/05/V4332491/V4332491.html

—————–
– Toyota CAMRY
First impression ภาคแรก
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/08/V4660678/V4660678.html

Full Review 2.0 & 2.4 ลิตร
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/11/V4911946/V4911946.html

First Impression V6 3.5 ลิตร
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/11/V4911942/V4911942.html

Full Review V6 3.5 ลิตร
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=110#head

ผม ตบตี กับ “เจ๊หลง” (ระบบนำร่องของ แคมรี ใหม่) ครับ
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/11/V4911938/V4911938.html

—————–
– Nissan TEANA
Full Review
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=101#head

—————–
– Hyundai SONATA
Full Review
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=125#head

———————–///———————–



J!MMY
23 กรกฎาคม 2008
3.48 น. – 6.49 น.

Facebook Comments