มาสด้าขึ้นแท่นผู้นำเทคโนโลยีจัดงานเทคโนโลยีฟอรัมเจ้าแรกในประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมเทคโนโลยีอนาคต”สกายแอคทีฟ”
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จัดงานเปิดตัวแนะนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่กำลังจะถูกนำมาผลิตเป็นรถยนต์คันจริงเข้าสู่ตลาดประเทศไทยในเร็วๆ นี้ ภายใต้ชื่อว่า “เทคโนโลยี สกายแอคทีฟ” SKYACTIV TECHNOLOGY ที่มาสด้ามุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาจนประสบความสำเร็จ จนวันนี้ได้เป็นเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด จนได้รับการยอมรับมาแล้วทั่วโลก ซึ่งถือเป็นความก้าวล้ำทางด้านเทคโนโลยีและความท้าทายใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ผนวกด้วย 4 หัวใจหลักของรถยนต์ ประกอบด้วยเครื่องยนต์ทั้งเบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล ระบบส่งกำลังเกียร์ออโตเมติกและเกียร์ธรรมดา โครงสร้างตัวถัง และแชสซีส์ ที่พร้อมส่งมอบการขับขี่แบบ ซูม-ซูม สไตล์สปอร์ตของมาสด้า ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความปลอดภัยสูงสุด โดยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดทั้งหมดนี้จะอยู่ในรถในอนาคตของมาสด้าทุกรุ่น
หลังจากเผยนวัตกรรมด้านการออกแบบเจเนอเรชั่นแห่งอนาคต ด้วยการจัดงาน “MAZDA DESIGN FORUM 2012” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างมิติใหม่ของมาสด้า ประเทศไทย เพราะเป็นครั้งแรกของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่สามารถเปิดเผยข้อมูลเบื้องลึกของการออกแบบและการพัฒนารถยนต์ ซึ่งไม่เคยถูกเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ได้จุดประกายให้บุคลากรในอุตสาหกรรมรถยนต์เกิดการตื่นตัวและเข้าใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับปรัชญาในการออกแบบรถยนต์มาสด้า ภายใต้แนวคิด “โคโดะ ดีไซน์” จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว (KODO – Soul of Motion) ซึ่งถ่ายทอดเส้นสายการออกแบบล่าสุดผ่านยนตรกรรมรถต้นแบบคันแรก “มาสด้า ชินาริ (Mazda SHINARI)” ด้วย โคโดะ ดีไซน์ ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และกำลังจะถูกถ่ายทอดเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสู่รถเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
มาในครั้งนี้มาสด้าเดินหน้าต่อยอดทันทีด้วยการเปิดเผยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีของมาสด้าเพื่ออนาคต ด้วยการจัดงาน “The Next Generation Technology Forum 2013” โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากบริษัทแม่ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น โดยให้วิศวกรชาวญี่ปุ่นหลายคน มาถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มาสด้าได้คิดค้นจนประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับมาแล้วทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมทุกชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นรถยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่กำลังจะนำมาใส่ในรถรุ่นใหม่ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดนี้ คือ “สกายแอคทีฟ-จี” SKYACTIV-G ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินที่มีประสิทธิภาพสูงแบบไดเรค อินเจ็คชั่น ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของเครื่องยนต์เบนซินที่มีอัตราส่วนการอัดอากาศสูงสุดในโลก และเป็นอัตราส่วนกำลังอัดที่ไม่เคยมีมาก่อนสูงถึง 14:1 ส่งผลให้เครื่องยนต์ “สกายแอคทีฟ-จี” SKYACTIV-G เป็นเครื่องยนต์ที่มีระบบการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบและทรงพลัง แต่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยแต่อย่างใด
มร. ฮิโรตากะ คานาซาวา ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “สกายแอคทีฟ เทคโนโลยี” SKYACTIV Technology เป็นชื่อเรียกขานของนวัตกรรมเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ล่าสุดซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเราชาวมาสด้า ทั้งหมดนี้ได้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นจากวิสัยทัศน์ของพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนของมาสด้า หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ซูม-ซูม แบบยั่งยืน” หรือ “Sustainable Zoom-Zoom” ซึ่งนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่นี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจจริงและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมาสด้าในความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ด้านการขับขี่ ไปพร้อมๆ กับความห่วงใยที่มีต่อสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติ รวมถึงระบบความปลอดภัยสูงสุดสำหรับยนตรกรรมที่กำลังจะถูกพัฒนาขึ้นต่อจากนี้
“เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เรามองเห็นการเติบโตของรถยนต์ไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้า โดยเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายใน จะเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ผู้ใช้รถจำนวนมากยังคงใช้อยู่อย่างต่อเนื่องไปอย่างน้อยอีก 10 ปี อันที่จริง ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ยังคงสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของพลังงานที่ได้รับจากเครื่องยนต์ในปัจจุบันให้ดีขึ้นกว่านี้ เพราะปัจจุบันพลังงานถูกนำมาใช้ได้เพียงแค่ 30% เท่านั้น มาสด้าจึงมุ่งมั่นในการคิดทบทวนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อีกครั้ง โดยเริ่มคิดจากศูนย์ เพื่อให้ได้การเผาไหม้เชิงอุดมคติ ด้วยทุกวิธีทางที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ และหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็คือ “สกายแอคทีฟ-จี” SKYACTIV-G
เทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ให้ความประหยัดน้ำมันได้ในระดับสูงสุด ด้วยราคาที่เหมาะสม และยังคงให้ความรู้สึกสนุกสนานเร้าใจในการขับขี่อยู่เช่นเดิม ขณะนี้ โครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมยังไม่ได้มีความจำเป็น เราจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า แนวทางที่เราคิดค้นเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคมไทยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว” มร. คานาซาวา กล่าวเพิ่มเติม
นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย รวมถึงระบบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการให้การตอบรับเป็นอย่างดียิ่งต่อแบรนด์มาสด้า นอกจากเราจะมุ่งมั่นทุมเทในการพัฒนาสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วมาสด้าได้ลงทุนสร้างโรงงานการผลิตรถยนต์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่จังหวัดระยอง มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำลังการผลิตรถยนต์สูงถึง 290,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย และมีประชากรอีก 140 ประเทศทั่วโลกที่กำลังขับรถยนต์มาสด้าที่ถูกผลิตขึ้นด้วยฝีมือของคนไทย โดยล่าสุดมาสด้าได้เพิ่มเงินลงทุนอีกกว่า 26,000 ล้านเยน เพื่อผลิตชุดเกียร์อัตโนมัติแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 400,000 ลูกต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปทั่วโลก พร้อมปณิธานอันแน่วแน่ที่จะร่วมแรงร่วมใจพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีศักยภาพให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญของโลก
“การจัดงาน The Next Generation Technology Forum 2013 นี้ถือเป็นการประกาศความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของมาสด้าในตลาดรถยนต์ทั่วโลก ที่สำคัญสำหรับในประเทศไทย มาสด้าถือเป็นเจ้าแรกที่จัดงานฟอรัมประเภทนี้ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญอันดียิ่งที่ลูกค้ามาสด้ารวมถึงชาวไทยทุกคนจะได้เข้าใกล้เทคโนโลยีที่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไกลตัวอีกต่อไป มาสด้ากำลังจะนำเอารถยนต์ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ผู้ใช้รถสู่ตลาดประเทศไทย ซึ่งสกายแอคทีฟเทคโนโลยี ถือเป็นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลกที่ไร้ขีดจำกัดใดๆ และกำลังจะเปิดตัวต่อสาธารณะชนในเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างกว้างขวาง” นายโชอิชิ ยูกิ กล่าวเสริม
ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้าสร้างสรรค์ขึ้นมานี้ ส่งผลเป็นที่ประจักษ์ต่อคนทั้งโลกโดยได้รับการยอรับอย่างกว้างขวาง และสามารถคว้ารางวัลสำคัญๆ ด้านเทคโนโลยีมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะรางวัลชนะเลิศ “The First Green Car Technology Award”จากวารสาร Green Car รวมทั้งรางวัล Japan Industry Technology Award จากหนังสือพิมพ์ Nikkan Kogyo Shimbun จากประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรางวัล The Commendation for Science Technology 2013 โดยกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม การกีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เป็นรถยนต์ที่มีความประหยัดน้ำมันเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ที่ใส่ระบบไฮบริด
รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรม “สกายแอคทีฟ
เทคโนโลยี” SKYACTIV TECHNOLOGY
1. SKYACTIV-G (สกายแอคทีฟ-จี)
คือเครื่องยนต์เบนซินแบบไดเรค อินเจ็คชั่น ที่ให้ประสิทธิภาพสูง เจเนอเรชั่นใหม่ที่เป็นนวัตกรรมชิ้นเอกของวงการยานยนต์โลก นับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีอัตราแรงอัดอากาศในการเผาไหม้สูงที่สุดของโลก คืออัตรา 14:1 โดยที่เครื่องยนต์ไม่เกิดอาการน๊อค
– เป็นเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตเพื่อจำหน่ายเครื่องแรกที่มีอัตราแรงอัดอากาศสูงที่สุดในโลก คือ 14:1
– เป็นเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้และการจุดระเบิดที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ประหยัดขึ้น และกำลังแรงบิดที่ดีขึ้นถึง 15%
– ยังคงสมรรถนะการขับขี่ประจำวันที่สมบูรณ์แบบ สนุกสนานเร้าใจ เพราะเพิ่มกำลังแรงบิดที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่รอบต่ำถึงปานกลาง
– ระบบไอเสียแบบ 4-2-1 การเพิ่มปริมาตรกระบอกสูบ ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ มัลติโฮล และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มอัตราส่วนการอัดอากาศในห้องเผาไหม้
2. SKYACTIV-D (สกายแอคทีฟ-ดี)
คือเครื่องยนต์ดีเซลที่เผาไหม้สะอาดเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดที่สามารถผ่านข้อกำหนดมาตรฐานไอเสียโลกโดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเร่งปฏิกิริยาที่มีราคาสูงเพื่อลดไอเสีย – ระบบ Selective catalytic reduction SCR กำจัดไอเสีย และระบบ Lean NOx Trap (LNT) – เป็นผลงานล้ำค่าที่ได้มาจากเครื่องยนต์นี้ที่มีอัตราส่วนการอัดอากาศต่ำที่สุดในโลกที่ 14:1
– เนื่องจากอัตราส่วนการอัดอากาศที่ต่ำเพียง 14:1 จึงส่งผลให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันประหยัดขึ้นถึง 20%
– ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ 2 ขั้นตอนใหม่ ให้การตอบสนองที่ราบเรียบและแม่นยำในรอบความเร็วต่ำจนถึงสูง และยังเพิ่มแรงบิดให้สูงขึ้นทั้งในรอบเครื่องยนต์ต่ำถึงรอบสูง (ให้แรงบิดสูงสุดได้ที่ 5,200 รอบต่อนาที)
– ผ่านข้อกำหนดมาตรฐานไอเสียของโลก ได้แก่ Euro6 ในยุโรป, Tier2Bin5 ในอเมริกาเหนือ และข้อกำหนดของประเทศญี่ปุ่น โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเร่งปฏิกิริยาที่มีราคาสูงเพื่อลดมลภาวะของไอเสีย
3. SKYACTIV-Drive (สกายแอคทีฟ-ไดร์ฟ)
คือระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเจเนอเรชั่นใหม่ที่ส่งถ่ายแรงบิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ผสมผสานข้อดีของระบบเกียร์อัตโนมัติทั้ง 3 แบบเข้าด้วยกัน ทั้งแบบดั้งเดิม (Conventional AT Transmission) แบบแปรผันที่ต่อเนื่อง (CVT) และแบบคลัชท์คู่ (Dual Clutch)
– ปรับปรุงประสิทธิภาพของการส่งถ่ายแรงบิดโดยออกแบบให้การขบกันของเกียร์มีช่วงที่กว้างขึ้น และยังให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับที่ได้รับจากการขับขี่ด้วยเกียร์ธรรมดา
– ปรับปรุงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันให้ประหยัดขึ้นถึง 4-7% เมื่อเทียบกับระบบเกียร์อัตโนมัติที่มีอยู่ในปัจจุบัน
4. SKYACTIV-MT (สกายแอคทีฟ-เอ็มที)
คือระบบเกียร์ธรรมดาเจเนอเรชั่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาและมีขนาดกะทัดรัด ที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่นุ่มนวลแม่นยำ ในขณะที่เปลี่ยนเกียร์ เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่ได้รับจากการขับรถสปอร์ต ถูกออกแบบให้ประสานการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเฉกเช่นเดียวกับรถยนต์ที่วางเครื่องยนต์ด้านหน้าและมีระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
– ช่วงชักของเกียร์สั้นและนุ่มนวล
– ลดขนาดและน้ำหนักลงได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างตัวถังใหม่
– เนื่องจากขนาดที่กะทัดรัดและมีน้ำหนักเบา จึงทำให้การจัดวางเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
– ปรับปรุงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน อันเป็นผลมาจากการลดแรงเสียดทานของกลไกภายใน
5. SKYACTIV-Body (สกายแอคทีฟ-บอดี้)
คือโครงสร้างตัวถังเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ถูกพัฒนาเพื่อลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นลง เป็นโครงสร้างที่คงความแข็งแกร่ง เสถียร และให้ความปลอดภัยสูงสุดจากแรงปะทะรอบทิศทาง
– มีความแข็งแกร่ง และมีน้ำหนักเบา (น้ำหนักลดลง 8% ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 30%)
– เป็นโครงสร้างที่มีความปลอดภัยสูงสุด
– โครงสร้างรูปแบบใหม่ ที่ชิ้นส่วนโครงสร้างถูกออกแบบให้มีความตรงและยาวที่สุดในแต่ละชิ้น และแนวคิดของโครงสร้างต่อเนื่องหรือ Continuous Framework ที่ทุกชิ้นส่วนจะถูกเชื่อมต่อกันอย่างลงตัว
– โครงสร้างมีน้ำหนักเบาขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ของการเชื่อมชิ้นส่วน และเพิ่มการใช้เหล็กกล้าน้ำหนักเบา High Tensile Steel ทีมีคุณภาพสูง
6. SKYACTIV-Chassis (สกายแอคทีฟ-แชสซีส์)
คือแชสซีส์เจเนอเรชั่นใหม่ ที่ให้ประสิทธิภาพสูง มีน้ำหนักเบา แต่ให้สมดุลที่สมบูรณ์แบบของทั้งการควบคุมการขับขี่ที่สะดวกสบายและปลอดภัยสูงสุด
– ช่วงล่างแบบอิสระที่พัฒนาขึ้นจากระบบสตรัท (หน้า) และมัลติลิงค์ (หลัง) ที่ให้ความแข็งแกร่งสูงและมีน้ำหนักเบา (น้ำหนักเบาขึ้น 14% เมื่อเทียบกับแชสซีส์ปัจจุบัน)
– ให้ความนุ่มนวลที่การขับขี่ความเร็วปานกลาง และให้เสถียรภาพที่ความเร็วสูง เพิ่มคุณภาพของความรู้สึกในห้องโดยสารในทุกความเร็ว ผ่านการทำงานที่ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบของระบบช่วงล่างและระบบพวงมาลัย