เข้าป่าฝ่าดงลองสมรรถนะของ โคโลราโด : COLORADO IN THE JUNGLE
แม้ว่าจะเคยไปลองขับมาแล้วกับเจ้าเชพโรเลต โคโลราโด แต่นั้นก็เป็นถนนธรรมดาหรืออาจจะเป็นทางขึ้นเขายังไม่มีอะไรที่ท้าทายเท่าไรใครอยากจะรู้ว่ามันเป็นยังไงก็ลองไปอ่านกันอีกครั้งได้ที่นี่เลยครับhttp://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=921
อย่างที่เคยบอกตลาดรถกระบะนั้นมี่การแข่งขันกันสูงบางครั้งก็ต้องจัดกิจกรรมแปลกๆที่ไม่ค่อยมีใครจัดกันเพื่อให้เกิดความแตกต่างกันบ้าง มาครั้งนี้เชพโรเลต ก็เลยจัดทริปนำสื่อมวลชนเข้าป่าไปลองขับทางในรูปแบบออฟโรดกันแบบเบาๆ ทางนั้นไม่ถึงกับโหดมากให้พอที่ผู้สื่อข่าวได้ลุ้นได้เสียวกันซะหน่อย
นัดหมายกันในตอนเช้าที่เมืองทองธานี เข้าฟังบรรยายร่วมกับสรุปเส้นทางที่เราจะใช้กันในครั้งนี้ซึ่งเราจะมุ่งหน้าสู่ เขตชายป่าห้วยขาแข้งในอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 345 วิ่งออกไปยังสุพรรณบุรี ผ่าน อำเภอท่าช้างแล้วเข้า จังหวัดอุทัยธานี ทางธรรมดานั้นผมคงจะเล่าให้ฟังนิดหน่อยในช่วงท้ายแต่จะไปเน้นอยู่ที่ทาง ออฟโรด เพราะเรามาทริปลุยป่ากันนิครับ
ผมได้รถเชพโรเลต โคโลราโด เครื่องยนต์ 2.5 ระบบขับเคลื่อน สี่ล้อ เกียร์ธรรมดาพร้อมเพื่อนร่วมทางอีกหนึ่งคือคุณโบ๊ท จากรายการคอคนรักรถ เราออกจากเมืองทองแวะไปรับประทานอาหารเที่ยงที่สุพรรณก่อนจะไปอุทัยธานีกันในเวลาประมาณ บ่ายนิดๆก่อนที่จะลุยเข้าป่ากัน ก่อนเข้าป่าก็แวะพักทำธุระส่วนตัวกันก่อน ได้สอบถามทีมงานว่าระยะทางในการขับแบบออฟโรดยาวเท่าไรทีมงานแจ้งว่าแค่ 14 กิโลเองพี่ ซึ่งทางก็ไม่ได้ยาวเท่าไรนี่ แต่ใช้เวลานั้น 2 ชั่วโมงกว่าเลยนะ โฮ! มันจะโหดอะไรขนาดนั้นก็ได้นึกอยู่แต่ในใจ
เริ่มการทดสอบจากถนนลาดยางเข้าสู่ทางฝุ่น ข้างทางที่เป็นป่าไผ่ความแห้งแล้งของอากาศประกอบกระแสลมทำให้เพียงแค่เริ่มต้นเราก็เจอกับไฟป่าย่อมๆของข้างทาง
เสียงวิทยุสื่อสารดังว่าไม่ต้องตกใจมันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยๆกับป่าไผ่พร้อมทั้งสั่งให้พวกเราปรับเข้าสู่โหมดการขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ ซึ่งการปรับเปลี่ยนนั้นไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบไหนเพียงแค่จอดรถเข้าเกียร์ว่างแล้วหมุนปุ่มที่อยู่ตรงบริเวณคันเกียร์หมุนไปในต่ำ 4H แล้วก็ขับรถออกไปรถก็จะเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้เอง
ทางช่วงแรกนั้นไม่ลำบากยังขับกันได้แบบเรื่อยๆผิวทางถูกปกคลุมไปด้วยใบไผ่กับเศษใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นและลมพัดลงมาที่พื้นผิวทาง เราไม่อาจใช้ความเร็วได้โดยสภาพของทาง ค่อยๆไหลกันไปทีละคัน
ยิ่งเราเข้ามาลึกเรื่อยๆสัญญาณโทรศัพท์ก็หายไปมีแต่เสียง วอ ที่คอยบอกว่าจะต้องทำยังไงบ้างขับมานานแค่ไหนก็ไม่ทราบจากที่เราขับกันอยู่แบบ 4H ก็ถูกสั่งให้เปลี่ยนมาเป็น 4L เนื่องจากมาทางชันและพื้นทางนั้นเป็นโขดหินเราต้องใช้ความระมัดระวังยิ่งขึ้นเพราะถ้ารีบร้อนหรือขับผิดพลาดมีหวังใต้ท้องครูดและรถเสียหายอาจจะเป็นเหตุให้กินข้าวลิงอยู่ในป่านี้ก็เป็นได้
ผ่านมาค่อนทางเจอไปทั้งทางลูกรังอัดแน่น ทางลูกรังหินลอย เนินลาดชันสูง เราก็มาถึงอีกหนึ่งอุปสรรคที่จะต้องมาลุ้นว่าจะผ่านไปได้หรือไม่ นั่นคือการขับผ่านลำห้วยแล้วขึ้นเนินที่เป็นโคลน ว่าจะผ่านไปได้หรือไม่
สองคันแรกผ่านไปได้แบบไม่มีปัญหาพอมาถึงคันที่สามที่เป็นรถของทีมงานนั้นไม่สามารถผ่านไปได้ติดอยู่ทางขึ้นเนินที่เป็นโคลน อนาคตผมเห็นมาแต่ไกลแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากสภาพเนินที่เป็นโคลนดินค่อนข้างจะเละอยู่มากงานนี้เลยต้องอาศัยรถไถมาลากขึ้นไป แม้ว่าหลังจากที่ได้ลากรถทีมงานขึ้นไปแล้วจะมีการนำรถมาเกลี่ยดินและอัดดินเพิ่มแต่ดินก็ยังไม่แน่นพอทำให้รถที่เหลือนั้นต้องอาศัยรถไถคอยดึงลากขึ้นทุกคันเลยไม่เว้นแม้แต่รถคันที่ผมขับ
ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงกับทางในป่าเราก็เดินทางมาถึงจุดแวะพักริมบึงที่ทางทีมงานจัดของว่างไว้ให้พวกเราพักกันก่อนจะเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ เป็นอันว่าการขับแบบ ออฟโรด ก็สิ้นสุดกันถือว่าประสบความสำเร็จแม้จะมีอุปสรรคเล็กน้อยแต่ เชพโรเลต โคโลราโด้ ก็พาเราฝ่าฟันกันออกจากป่าได้โดยที่ไม่ต้องกินข้าวลิงกันอยู่ในป่า อ้อเกือบลืมบอกไปวิธีการปลดจากระบบขับสี่มาขับสองนั้นก็ง่ายเพียงแค่จอดรถเข้าเกียรว่างแล้วหมุนกลับมาที่ เลข 2 แค่นี้เองครับง่ายๆไม่ยุ่งยากเลย
สำหรับรถที่ใช้เป็นโคโลราโด รุ่นเอ็กซ์-แค็บ 2 ประตู ดูราแม็กซ์ขนาด 2.8 ลิตร แรงบิด 470 นิวตันเมตร พร้อมแรงม้าสูงสุด 180 แรงม้า และดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตร แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร พร้อมแรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ถ่ายกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อนสองล้อ และขับเคลื่อนสี่ล้อพ่วงระบบป้องกันการหมุนฟรีของล้อหลัง (Limited Slip)
การเปลี่ยนระบบนะมันง่ายครับแต่การขับในทางออฟโรดนั้นผมว่าต้องมีการเรียนรู้หรือต้องไปอบรมกัน การขับนะไม่ยากแต่จะถูกวิธีที่จะทำให้เราผ่านอุปสรรคนั้นต้องไปเรียนและอาศัยประสบการณ์ด้วยเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
###################################################
premsak@caronline.net