Michelin Pilot Sport Experience @ Sepang International Circuit : By Mr.O
Michelin Pilot Sport Experience @ Sepang International Circuit : By Mr.O
ที่ต้องขึ้นหัวภาษาอังกฤษกันนี่ก็เพราะคราวนี้ Caronline.net โดยผม โอ สารฑูล สักการเวช ได้รับมอบหมายจาก คุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ทำให้มีโอกาสไปรับประสบการณ์ดีๆกันแบบนอกประเทศกับบริษัทยางยักษ์ใหญ่อย่าง Michelin โดยทดสอบยางมิชลินใหม่กันที่สนามแข่ง F1 ที่ใกล้บ้านเรามาที่สุดนั่นคือสนาม Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการออกนอกประเทศครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ ถ้านับเรื่องการทำงานนะครับ
Michelin Pilot Sport Experience เป็นการรวมกันของยางในตระกูล Pilot Sport ไม่ว่าจะเป็น Michelin Pilot Sport Cup เป็นยางที่ใช้ในสนามแข่งซะเป็นส่วนใหญ่ Michelin Pilot Sport 3 เป็นยางแบบสปอร์ตที่ใครๆก็เอื้อมถึง และน้องใหม่ล่าสุดและเป็นพระเอกของงานนั่นคือ Michelin Pilot Super Sport ยางสปอร์ตเพื่อรถยนต์สมรรถนะสูง ซึ่งงานนี้มีให้ขับแน่นอนครับ
ขอไล่เลียงกันเลยก็แล้วกันนะครับว่าวันที่ไปสนามนี้ เราต้องทำอะไรกันบ้าง 12 พฤษภาคม 2554 พร้อมกันตั้งแต่ 7โมงเช้ากันเลยทีเดียว เพื่อที่จะต้องนั่งรถจากโรงแรม Pan Pacific ซึ่งติดกับสนามบินไปที่สนาม Sepang International Circuit ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อไปถึงก็เป็นขั้นตอนของการบรรยายสรุปกันเสียก่อนว่าวันนี้จะต้องทำอะไรกันบ้าง
ขั้นตอนต่อไปก็เรียกได้ว่าขึ้นเขียงกันเลยทีเดียวสำหรับบางคน เนื่องจากทางสนาม Sepang International Circuit ได้จัดเจ้าหน้าที่เพื่อทำการวัดความดัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงๆ เกิดใครความดันขึ้นตอนขับอยู่นี่อาจจะเป็นอันตรายแก่รถและคนได้ ส่วนผลการตรวจนั้น ของผมสบายๆครับ ครั้งเดียวผ่าน แต่ของท่านอื่น สองรอบสามรอบบ้าง แต่ก็ผ่านครับ เห็นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ผ่าน แล้วก็ไม่ได้ลงไปขับในสนามครับ เสียดายแทนจริงๆ
มาถึงกิจกรรมแรกกันครับ เป็นการขับรถที่ใส่ยาง Michelin Pilot Sport Cup ที่ไม่ค่อยจะมีขายในบ้านเราสักเท่าไหร่ครับ และส่วนมากก็จะใช้กันในสนามแข่งเท่านั้น รถที่เราจะได้ขับก็เลยต้องเป็นรถแข่ง โดยในกิจกรรมนี้เราจะได้ขับเจ้า Renault Clio กันครับ ซึ่งในบ้านเราก็เรียกได้ว่าหาได้ยากครับ ที่จะเห็นกันก็คงจะเป็นตัวปี 90 เห็นจะได้ซึ่งก็มีน้อยมากๆครับ Renault Clio ที่เราจะได้ขับกันนี้เป็นตัวแข่งของทีม Michelin ครับ
ภายนอกของเจ้า Renault Clio ก็เหมือนรถบ้านปกตินั่นแหละครับ แต่ภายในนี่สิครับ แถบจะไม่มีอะไรเลย ก็รถแข่งนี่ครับ ภายในก็จะมีแต่แผงหน้าปัด พวงมาลัย เบาะที่นั่งแล้วก็โรลล์บาร์เท่านั้นครับ แต่ที่แปลกออกไปก็คงจะเป็นระบบเกียร์ครับ ที่ใช้ระบบเกียร์แบบซีเควนเชียลครับ เรียงง่ายๆก็เหมือนเกียร์มอเตอร์ไซค์แบบมีคลัทช์นั่นแหละครับ ส่วนยางก็แน่นอนครับว่าเป็น Michelin Pilot Sport Cup
ส่วนการขับขี่ในสนามนั้น เนื่องจากสนามทั้งหมดยาวประมาณ 5.5กิโลเมตร เลยแบ่งกันจัดกิจกรรมเป็นสนามด้านเหนือ และสนามด้านใต้ ส่วนที่เราจะต้องขับเจ้า Renault Clio ในช่วงเช้านั้นก็จะเป็นสนามทางด้านใต้ก่อนครับ ซึ่งความยาวสนามด้านใต้โดยรวมนั้นก็ประมาณ 2.6กิโลเมตรครับ
การขับขี่ในสนามยอมรับครับว่ารู้สึกเกร็งและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่พอ Instructor หรือครูฝึกพานั่งรถไปดูไลน์ที่จะขับ การเข้าโค้งต่างๆ หรือแม้แต่กระทั้งการใช้เกียร์ที่เหมาะสม ก็ทำให้ลดความตื่นเต้นไปได้มากเลยทีเดียวครับ
ก่อนจะขับกันจริงๆก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับการที่จะขับรถแข่งกันซะหน่อยครับ เป็นชุดแข่งที่ทาง Michelin เตรียมไว้ให้ครับ มีทั้งหมวกกันน็อค ชุดแข่ง หรือแม้แต่กระทั้งรองเท้าเขาก็มีเตรียมไว้ให้ครับ ส่วนผมนั้นขอแค่ชุดแข่งกับหมวกเท่านั้นครับ รองเท้าไม่ต้อง เพราะผมใส่มาตั้งแต่เมืองไทยแล้วครับ….
พอลงมาขับจริงๆก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก จดจำจากที่ Instructor บอกไว้ แถมยังมีรถ Safety Car ขับนำและคอยควบคุมความเร็วด้วยแล้ว บอกได้เลยครับว่าสบายๆ ไม่ยากอย่างที่คิด ความเร็วที่ทำได้ในทางตรงนั้นก็ประมาณ 175-180 กม./ชม.ครับ ไม่ได้มากกว่านั้นครับ ส่วนการเข้าโค้งทุกโค้ง เข้าได้ด้วยความเร็วที่เหมาะสมครับ ไม่รู้สึกว่าจะหลุดเลย คงเป็นเพราะรถเค้าเซ็ตมาดี รวมถึงยางที่มีคุณภาพด้วยครับ ผลถึงออกมาเป็นเช่นนี้
มาถึงกิจกรรมที่สองของวันครับ เป็นกิจกรรมสั้นๆก่อนไปพักทานข้าวเที่ยงกันครับ ที่บอกว่าสั้นเพราะสั้นจริงๆครับ โดยให้ขับรถในทางตรงแบบสลาลมในระยะทางประมาณ 500 เมตรไป-กลับ โดยจะแบ่งเป็นพื้นแห้งและพื้นเปียกครับ โดยจะใช้รถ Subaru Impreza ใส่ยางสปอร์ตรุ่นเล็กอย่าง Michelin Pilot Sport 3 เพื่อที่จะให้ดูว่า ระหว่างถนนแห้งกับเปียก อาการของรถจะเป็นอย่างไร
ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจครับ จากการเข้าสลาลมในพื้นแห้ง แล้วต่อด้วยพื้นเปียกนั้น อาการของรถไม่ได้ต่างกันเลย ยังคงควบคุมรถได้ดั่งใจ ทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเวลาเจอถนนเปียกลื่นครับ แต่ก็ต้องเปียกพอประมาณแล้วก็ใช้ความเร็วที่เหมาะสมนะครับ ไม่อย่างนั้นยางจะดีแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ครับ
ส่วนเรื่องรายละเอียดยาง Michelin Pilot Sport 3 นั้นผมขอข้ามไปเลยนะครับ เพราะทั้งผมและคุณโจ้ เปรมศักดิ์ ได้ไปทดสอบและเขียนลงไว้ใน http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=530&dshow=all เรียบร้อยแล้วครับ สนใจยางรุ่นนี้ก็ตามอ่านได้เลยครับ
มาถึงพระเอกของงานนี้กันครับ นั้นคือ Michelin Pilot Super Sport โดยยางตัวนี้ได้รับการออกแบบเพื่อรถสปอร์ตพันธุ์แท้หรือที่เรียกกันว่า”ซุปเปอร์คาร์”นั้นแหละครับ รวมถึงรถที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อสมรรถนะสูงสุด ซึ่งมิชลินได้นำประสบการณ์ และความชำนาญเฉพาะด้านจากการแข่งขัน เลอมังค์ เข้ามาปรับใช้ในการพัฒนายางรุ่นดังกล่าว
Michelin Pilot Super Sport ได้รับความไว้วางใจจากค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ชั้นนำทั่วโลก ที่เปิดโอกาสให้ทางมิชลินได้ร่วมพัฒนายางสำหรับติดรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น Porsche, BMW M (ศูนย์พัฒนารถยนต์สปอร์ตของ BMW ที่เมืองมิวนิค) และ Ferrari ซึ่งในวันนี้เราก็จะได้ขับกันครับ
ก่อนจะขับก็มาทำความเข้าใจกับผลิตภัณฑ์ของเขากันซะก่อนครับ Michelin Pilot Super Sport ได้นำ 3 เทคโนโลยีที่โดดเด่นมาใช้ นั่นคือ Twaron® fiber Belt , สูตรเนื้อยางคู่ (Bi-Compound) และหน้าสัมผัสแบบแปรผัน(Variable Contact Patch 2.0) เดี๋ยวมาดูกันครับว่าแต่ละตัวเป็นอย่างไรกันบ้าง
Twaron® fiber Belt
เป็นเส้นใยไฟเบอร์ความหนาแน่นสูง ที่ถูกใช้ในอุปกรณ์ที่ทันสมัยในวงการกีฬา ไม่ว่าจะเป็น เทนนิส เรือใบ และจักรยานเสือภูเขา หรือแม้แต่กระทั้ง เสื้อเกราะทางทหาร เทคโนโลยี Twaron® ช่วยให้ Michelin Pilot Super Sport คงรูปได้เมื่อความเร็วสูงๆ กล่าวคือความแปรผัน และความตึงของเส้นใย ที่ทำให้มีแรงตึงบริเวณหน้ายางมากกว่าไหล่ยาง
เป็นผลให้ป้องกันการโก่งตัวของหน้ายางเนื่องจากแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ของยางที่ความเร็วสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยกระจายแรงกดบนหน้ายางได้สม่ำเสมอ ส่งผลให้หน้ายางสัมผัสพื้นถนนได้อย่างเต็มที่ แม้จะอยู่ในความเร็วสูงก็ตาม
สูตรเนื้อยางคู่ (Bi-Compound)
ด้านนอกของหน้ายาง เป็นสูตรเนื้อยางที่มีคาร์บอนแบล็ก (Carbon Black) ซึ่งมีเอกลักษณ์พิเศษ และเสริมแรงด้วยเส้นใยอีลาสโตเมอร์ (เทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการแข่งขัน 24 ชั่วโมง เลอมังค์โดยเฉพาะ) ช่วยให้มีความคงทนแม้เข้าโค้งแรงๆ ส่วนด้านในเป็นเนื้อยางแบบใหม่ล่าสุดที่มีเส้นใย ไฮกริป อีลาสโตเมอร์ (High-Grip Elastomer) ทำหน้าที่ตัดฝ่าผิวน้ำ และยึดติดกับความขรุขระแม้เพียงเล็กน้อยของพื้นถนนได้เต็มประสิทธิภาพ
หน้าสัมผัสแบบแปรผัน(Variable Contact Patch 2.0)
โปรแกรมแบบจำลองอันทันสมัยที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่วยให้สามารถออกแบบการกระจายแรงกด และอุณหภูมิสะสมบนหน้ายางได้อย่างสม่ำเสมอ และถึงแม้ว่าหน้ายางจะเปลี่ยนรูปร่างไปในขณะเข้าโค้ง แต่ปริมาณเนื้อยางที่สัมผัสกับพื้นถนนยังคงมีเท่าเดิม
และแล้วก็มาถึงช่วงที่หลายๆท่านรวมถึงผมด้วยที่รอคอย นั้นคือการที่ได้ขับรถ”ซุปเปอร์คาร์”ในสนาม Sepang International Circuit เพราะคงจะมีไม่บ่อยหรอกครับ ที่จะได้ทำกันแบบนี้ เพราะแค่ค่าเช่าสนามทั้งสนาม ก็ปาเข้าไปวันละ 5แสนบาทแล้วครับ แล้วไหนจะรถแต่ละคัน ไม่ว่าจะเป็น BMW M3 , Porsche GT3 , Ferrari 458 italia ที่ค่าขนส่งและค่าเช่านี่ไม่ต้องพูดถึงครับ เอาง่ายๆ Ferrari 458 italia ที่นำมา 2คัน ก็นำเข้ามาเพื่องานนี้โดนเฉพาะ ค่าเช่าเห็นบอกว่า ซื้อคัมรี่ได้ 3-4 คันเลยทีเดียวครับ
สนามที่ให้เราได้ขับเจ้าซุปเปอร์คาร์ที่ใส่ยาง Michelin Pilot Super Sport นั่นเป็นสนามทางด้านทิศเหนือครับ ความยาวโดยรวมก็ประมาณ 2.7 กิโลเมตรครับ ทางตรงก็ตรงที่เป็นจุดจุดสตาร์ทพอดีนั้นแหละครับ
คันแรกที่ได้ขับเป็นเจ้า BMW M3 Convertible มีสองคันด้วยกัน คันแรกใส่ Michelin Pilot Super Sport ส่วนอีกคันใส่ยางยี่ห้ออื่น เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ โดยที่ผมไม่ทราบว่าคันไหนใส่ยางอะไร เมื่อวิ่งในสนาม ก็รู้สึกได้ถึงการเกาะถนนเป็นอย่างมากครับ เข้าโค้งได้ดังใจ แต่พอมาโค้งแรกสุดทางตรง เกิดอาการท้ายออกเล็กน้อย แต่ก็สามารถแก้คืนกลับมาได้โดยง่ายครับ
พอมาเป็นคันที่สอง ก็พยายามขับให้เหมือนคันแรกมากที่สุดครับ ผลที่ได้ก็คือหลุดในโค้งเดียวกัน แต่คราวนี้แก้ยากหน่อย แต่อย่างอื่นก็เหมือนๆกัน ส่วนความเร็วสูงสุดที่ทำได้ในทางตรงนั้น ทั้งสองคันความเร็วเกิน 210กม./ชม.ครับ พอลงจากรถคันที่สองก็เลยไปดูยางเสียหน่อย ปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่คาดไว้ครับ คันแรกใส่ยาง Michelin Pilot Super Sport ส่วนคันที่สอง ขอไม่เอ่ยชื่อก็แล้วกันนะครับ
พอจบจากการขับ BMW M3 Convertible แล้วนั้นก็ถึงคิวที่จะต้องได้ขับ Ferrari 458 italia แล้วครับ แต่ฝนเจ้ากรรมดันมาตกอย่างหนัก ทาง Instructor และผู้ควบคุมสนามก็ได้หยุดพักกิจกรรมไป รอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่
ฝนตกก็ไม่มีอะไรจะทำสิครับ ก็ได้แต่นั่งคุยกันไป ก็เลยได้ถามถึงแผนการตลาดในบ้านเราสำหรับยางตัวนี้ ก็ได้คำตอบว่า ตัวแทนจำหน่ายในบ้านเรานั้นจะมีเจ้าเดียวครับ ก็คือ SCW ตรงสนามเป้าครับใครสนใจก็ไปติดต่อเขาได้ครับ ส่วนขนาดของยางนั้น ก็เริ่มตั้งแต่ 225/45 ZR18 ไปจนถึง 295/25 ZR21 โน่นแหละครับ ส่วนราคานั้นก็เริ่มต้นที่หลักหมื่นเลยครับ ราคาสูงเอาเรื่องเลยนะครับ
ส่วนเรื่องที่ต้องขอชมหน่อย ไม่ใช่เรื่องยางนะครับ แต่เป็นสนาม Sepang International Circuit ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการ ความสะอาดโดยรวม ความสวยงาม ที่สำคัญคงจะเป็นเรื่องพื้นสนามที่ได้มาตรฐานด้วย นี่ถ้าฝนไม่ตก ก็คงไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ นั้นก็คือระบบระบายน้ำออกจากพื้นสนามที่ดีมาก ฝนที่ตกลงมาตกไปเกือบชั่วโมง และตกอย่างหนักด้วย แต่พอฝนหยุดไม่ถึง15 นาที พื้นสนามก็เหลือแต่ร่องรอยให้รู้ว่าฝนเพิ่งจะตกเท่านั้นครับ น้ำขังบนพื้นสนามแทบจะไม่มีเลย บ้านเราน่าจะมีสนามแข่งรถที่เป็นหน้าเป็นตา อย่างประเทศเขาบ้างนะครับ
เมื่อฝนหยุด ก็ได้เวลาขับ Ferrari 458 italia กันแล้วครับ ก็มีสองคันเช่นกัน ให้เราลองเปรียบเทียบกันดูครับว่าระหว่างยาง Michelin Pilot Super Sport กับยางคู่แข่ง อันไหนจะดีกว่ากันครับ ผลที่ออกมาคล้ายกันครับคือ Michelin Pilot Super Sport ควบคุมรถได้ง่ายกว่า รู้สึกมั่นใจกว่า และแก้อาการของรถที่ผิดปกติไปได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ ข้อนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าซุปเปอร์คาร์อยากได้กันนะครับ
เพราะถ้าหากควบคุมรถไม่ได้ ความเสียหายในหลักแสนหรือหลักล้านจะตามมาได้ครับ ส่วนความเร็วสูงสุดที่ผมทำได้นั้นไม่มากอย่างที่ตั้งใจไว้ครับ เพราะเป็นที่พื้นสนามแข่งยังคงลื้นอยู่เลยทำให้เราทำความเร็วได้ไม่สูงมากนัก ทำได้แค่ประมาณ 180-190 กม./ชม.เท่านั้นครับ
พอเสร็จจากการขับ Ferrari 458 italia ก็ถึงคิวที่จะต้องได้ขับเจ้า Porsche GT3 แต่เนื่องจากเกิดฝนตกมาก่อนหน้านี้ ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร สรุปก็คืออดนั่นแหละครับ เสียดายจริงๆครับ จอดอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ก็ไม่ได้ขับ ได้แต่เก็บภาพมาให้ชมเท่านั้นครับ เป็นอันเสร็จสิ้นการทดลองขับรถที่ใส่ยางในตระกูล Pilot Sport แต่เพียงเท่านี้ครับ
Michelin Pilot Super Sport เป็นยางที่คุณภาพสูงครับ และราคาก็สูงด้วย ก็แหมได้รับการพัฒนามาจากรถแข่งนี่ครับ เก็บข้อมูล ทำการวิจัยต่างๆกว่าจะมาเป็นยางเส้นกลมๆให้เราได้ใช้กันอย่างสบาย จนบางคนลืมที่จะดูแลมัน ไม่ว่าจะเป็นลมยาง การถ่วงล้อ การตั้งศูนย์ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการขับขี่ทั้งสิ้น หากใช้ยางดีแต่ขาดการดูแล มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นหรอกครับ
***************************************************************************************************************
สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net