เดือนพฤษภาคมนับเป็นเดือนที่หลายๆ คนกำลังเริ่มต้นวางแผนในการท่องเที่ยวเพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน อากาศกำลังสบาย จึงเหมาะกับกับการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติไม่ว่าจะท่องเที่ยวชมป่าเขาเขียวชอุ่ม ล่องแพสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบที่อ่างเก็บน้ำ หรือจะขับรถลุยเข้าสวนเกษตรกรรมทานผลไม้สดๆ จากต้น
อย่างไรก็ดี การขับรถท่องเที่ยวในหน้าฝนต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างมากเนื่องจากสภาพแวดล้อมและสภาพถนนที่เปลี่ยนไป รวมถึงวิสัยทัศน์การมองเห็นถนนของผู้ขับขี่ และความสามารถในการควบคุมรถยนต์ด้วย รวมถึงพฤติกรรมของผู้ขับขึ่เช่น การขับรถเร็วเบนถนนเปียก การจอดรถใกล้รถคันข้างหน้ามากเกินไปจนไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะหยุดรถในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง ฟอร์ด ประเทศไทย จึงได้เตรียมข้อแนะนำดี ๆ เพื่อช่วยให้การท่องเที่ยช่วงหน้าฝนปลอดภัยขึ้น ได้แก่
1. เตรียมรถให้พร้อม
ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจเช็ค ดูแลรถยนต์ และเข้าศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอ โดยควรให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ (1) ใบปัดน้ำฝน เพื่อปัดน้ำฝนไม่ให้บดบังวิสัยทัศน์ซึ่งปกติมีระยะเวลาใช้งานประมาณ 1 ปี (2) น้ำฉีดกระจก เตรียมไว้ในกรณีที่มีดินหรือโคลนกระเด็นใส่กระจกหน้าด้วยเหตุนี้เอง จึงควรเช็คปริมาณน้ำฉีดกระจกและเติมน้ำสะอาดในถังน้ำฉีดกระจกให้ถึงขีดที่กำหนดทุกเดือน (3) ไฟหน้า-หลังรถ ช่วยให้มองเห็นข้างหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณ และ (4) สภาพยาง เพื่อให้ล้อรถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควรเปลี่ยนยางรถทุก 4-5 ปี เนื่องจากโดยทั่วไปอายุของยางมักจะไม่เกิน 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หรือควรเปลี่ยนยางเมื่อสภาพไม่อำนวยต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย เช่น โครงสร้างของยางชำรุด ความลึกของดอกยางต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร เป็นต้น
2. วิธีขับรถไม่ให้ไถล
เนื่องจากฝนตกทำให้ถนนเปียกและลื่น รวมถึงการยึดจับของยางกับถนนจะลดลงเมื่อขับเร็วขึ้น ดังนั้น การขับรถเร็วเกินความเหมาะสมในขณะที่ถนนเปียกจะส่งผลให้รถเสียหลักและไถลลื่นได้
โดยควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งไม่ควรขับเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเหินน้ำของรถ ป้องกันการลื่นไถลและเพื่อที่ผู้ขับจะสามารถควบคุมรถได้
3. รับมือกับฝนตกหนักจนมองไม่เห็นถนน
หากฝนตกในช่วง 10 นาทีแรก ควรเริ่มลดความเร็ว หากฝนตกหนักเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะสามารถมองเห็นถนนและข้างทางและไม่สามารถขับรถต่อได้อย่างปลอดภัยได้ ผู้ขับขี่ควรหาจุดจอดรถที่ปลอดภัย และโทรแจ้งสถานการณ์ต่อคนใกล้ชิดหรือคนรู้จัก
4. ห้ามเบรกกะทันหัน
ถนนลื่นเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อฝนตก การเบรกกะทันหันบนถนนเปียกอาจส่งผลให้เบรกไม่อยู่ เสียการควบคุมรถ จนเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากกว่าปกติ หรือราว 2 เท่าของระยะทิ้งห่างเมื่อขับรถในสภาพอากาศปกติ เพื่อให้สามารถหยุดรถได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องเบรกอย่างกระทันหัน และหลีกเลี่ยงการชนคนเดินถนนหรือรถคันอื่นบนท้องถนน
5. ขับรถลุยน้ำยังไงไม่ให้รถดับ
เมื่อพบว่าถนนที่ขับไปมีน้ำท่วมขังหรือแอ่งน้ำ ให้สังเกตระดับความลึกของน้ำจากฟุตบาทและสภาพแวดล้อมข้างทาง หรือจากรถคันข้างหน้า เพื่อประเมินความลึกและสถานการณ์ ซึ่งถ้าระดับน้ำไม่สูงมาก คุณสามารถขับผ่านไปได้โดยในเบื้องต้นควรปิดแอร์ และใช้เกียร์ต่ำ แต่ถ้าระดับน้ำสูงเกินและฝืนขับลุยต่อไปก็อาจส่งผลให้น้ำเข้าเครื่องยนต์และเกิดความเสียหายต่อรถได้
นอกจากการขับรถอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษแล้ว การเลือกขับรถที่มีฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยก็สามารถช่วยให้การขับขี่ในสายฝนปลอดภัยยิ่งขึ้นได้ เช่น ฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ที่มาพร้อมกับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program หรือ ESP) ที่สามารถปรับเบรกและกำลังของเครื่องยนต์ ช่วยรักษาสมดุลของรถในกรณีฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกข้างทาง พร้อมเสริมความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดิน Autonomous Emergency Braking System with Pedestrian Detection ซึ่งสามารถช่วยตรวจจับคนเดินถนนและยานพาหนะด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างเรดาร์และกล้องหน้า โดยระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานทันทีเมื่อประเมินว่าอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้น ช่วยลดและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและความรุนแรงของอุบัติเหตุได้
นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังสามารถลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงถึง 800 มิลลิเมตร โดยห้องเครื่องถูกออกแบบให้สามารถรับมือกับการลุยน้ำลึกได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถลุยผ่านพื้นที่น้ำท่วมได้ในยามจำเป็น
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…