30 ปีแห่งความสำเร็จของนวัตกรรม Airbag


เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class เป็นรุ่นแรกที่ได้รับการติดตั้งถุงลมนิรภัยจากสายพานการผลิตที่โรงงาน Sindelfingen ในเยอรมนี ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์หลังจากได้ใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ช่วยชีวิตนี้ถึง 13 ปี ถือเป็นการเริ่มเข้าสู่ศตวรรษใหม่ยานยนต์เพื่อความปลอดภัย จากสถิติข้อมูลจากหน่วยงานการจราจรเพื่อความปลอดภัยแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ US National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ถุงลมนิรภัยได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตผู้ขับขี่ได้กว่า 28,000 รายในอเมริกา เมอร์เซเดส-เบนซ์นับเป็นเจ้าแรกที่คิดค้นอุปกรณ์ช่วยปกป้องชีวิตนี้และได้ติดตั้งในรถยนต์มาแล้วเป็นล้านๆคัน และในเดือนตุลาคม 1992 ถุงลมนิรภัยได้กลายมาเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมาตรฐานสำหรับรถยนต์นั่งทั่วไปในปัจจุบัน


ที่ประเทศเยอรมนี สำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานว่า “มีอุบัติเหตุรุนแรงเกิดขึ้นบนท้องถนนจำนวน 1,675 ครั้งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2010 ซึ่งลดลง 291 หรือคิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนอุบัติเหตุในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มการลดลงของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงภายในสิ้นปีนี้จะไม่ถึง 4,000 ครั้งแน่นอน”

เมื่อเร็วๆนี้ หน่วยงานการจราจรเพื่อความปลอดภัยแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ NHTSA ได้ทำการศึกษาข้อมูลระบบการทำงานของเข็มขัดและถุงลมนิรภัยและได้ข้อสรุปอันน่าพึงพอใจว่า “ผู้ที่ใช้อุปกรณ์ถุงลมนิรภัยและคาดเข็มขัดเสมอเมื่อเปรียบกับผู้ที่ไม่คาดเข็มขัด โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงชีวิตจะลดลงถึง 61 เปอร์เซ็นต์”

ซึ่งข้อมูลข้างบนดังกล่าวมีสาระตรงกันกับการค้นคว้าวิจัยของเมอร์เซเดส-เบนซ์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ทำการศึกษาข้อมูลในรายละเอียดอย่างจริงจังและยังได้นำผลสำเร็จนี้ไปใช้ในการสื่อสารการตลาดร่วมกับแบรนด์ดังนี้
• เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นเจ้าแรกที่คิดค้นพัฒนาอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย อาทิ โปรแกรมการควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
• ระบบ PRE-SAFE® หรือการปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุซึ่งติดตั้งครั้งแรกในปี 2002 ซึ่งสามารถช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
• ระบบถุงลมด้านข้าง: นอกเหนือจากถุงลมนิรภัยผู้โดยสารด้านคนขับและตอนหน้าแล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการคิดค้นถุงลมนิรภัยด้านข้างและถุงลมนิรภัยป้องกันศรีษะสำหรับผู้โดยสารด้วย – ซึ่งผลการสำรวจปรากฏว่ามีอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่เสี่ยงต่อชีวิตลดลงกว่าครึ่ง
• ระบบป้องกันมีการพัฒนาให้ทันสมัยและเพิ่มความปลอดภัยอยู่เสมอ: เข็มขัดนิรภัยได้พัฒนาให้มีระดับปกป้องให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นคือแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ พร้อมทำงานเป็นจังหวะตอบสนองตามความรุนแรงของอุบัติเหตุ


ถึงแม้ว่าอุปกรณ์ถุงลมนี้จะได้ทำหน้าที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้คนให้รอดพ้นจากการบาดเจ็บสาหัสหรือรอดตายมาได้เป็นหมื่นเป็นแสน หรืออาจจะนับล้านชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั่วโลก และได้กลายมาเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมาตรฐานสำหรับรถยนต์นั่งทั่วไปในปัจจุบัน โดยมีรูปแบบต่าง ๆ และติดตั้งในตำแหน่งที่จะให้ความปลอดภัยกับผู้โดยสารในรถมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงมีคำถามถึงอันตรายจากถุงลมที่เกิดขึ้นต่อผู้ใช้งานเช่นกัน ทำให้ในปี 1970 มีหลายค่ายรถยนต์ที่หยุดพัฒนาเรื่องถุงลมชั่วคราว แต่สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยวิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาให้ถุงลมเพิ่มประสิทธิภาพสมบูรณ์ขึ้นและมีการทดสอบในหลายรูปแบบ ในที่สุดเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงเป็นเจ้าแรกที่ประกาศใช้ถุงลมนิรภัยติดตั้งในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกคันในสายการผลิตตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นไป
นับแต่นั้นมาจึงเริ่มมีการค้นคว้าระบบถุงลมนิรภัยอีกครั้งหนึ่ง ในรายงานของ NHTSA ฉบับเดือนมกราคม 2009 ได้กล่าวถึงประสิทธิภาพการใช้งานว่า ถุงลมสามารถช่วยชีวิตคนอเมริกันได้ถึง 28,244 ราย โดยแยกเป็นผู้ขับขี่จำนวน 23,127 (ในจำนวนนี้ 13,999 ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย) และผู้โดยสารตอนหน้า 5,117 ราย (ในจำนวนนี้ 2,883 ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย)

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต่างมีความเห็นเดียวกันว่าทั้งถุงลมและเข็มขัดนิรภัยจะปกป้องชีวิตเราจากอุบัติเหตุรุนแรงได้ดีที่สุดโดยจะทำงานร่วมกัน และคำกล่าวนี้ยืนยันได้จากสำนักงานควบคุมการจราจร หรือ German Road Traffic Office (Bundesanstalt für Straßenwesen – BASt) ถึงความสำคัญในการใช้อุปกรณ์ถุงลมและเข็มขัดนิรภัยว่าสามารถช่วยให้ความรุนแรงอุบัติเหตุลดลง 42 เปอร์เซ็นต์ถ้าในรถใหม่ และ 14 เปอร์เซ็นต์ในรถเก่า

thunyaluk@caronline.net

Facebook Comments