Categories: รถใหม่

ํYokoso Japan : เก็บตก จากท้องถนนสายอาทิตย์อุทัย…ภาค 5 ตอนจบ…By : J!MMY


28 ตุลาคม 2550

6.00 น.

"อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้านั้นคงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ
ว่าคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้าคอย"

(เพลง Season change โดย บอยด์ โกสิยพงศ์)

บางครั้งการที่เราอดทนกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เป็นใจนั้น
แม้จะเหนื่อยหนักหนาแสนสาหัสเพียงใด

แต่ผลของการรอคอยนั้น เชื่อเถอะว่า สวยงามเสมอ

สิ่งที่ผมคาดว่าคงจะไม่ได้เห็นนั้น เช้านี้ ผมก็ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็นเสียที…

แม้เราจะต้องตื่นกันตอน ตี5 และเตรียมตัวกันตอน 6 โมง
ล้อต้อเริ่มหมุนตอน 7 โมงเช้า เพื่อจะเข้ากรุงโตเกียว
ให้ทันเพียงพอที่จะมีเวลาช้อปปิ้ง 3 ชั่วโมง ก็ตาม

โทรสัพท์วอล์กแมนของผม ที่อัดแน่นมาด้วยเพลงซึ่งเหมาะกับบรรยากาศ
ในแบบที่ผมคาดคิดไว้แล้วตั้งแต่ตอนค้นหาข้อมูลของที่พัก เริ่มทำงาน…



ภาพที่มองออกมาจากระเบียงกระจกห้องพัุกเปิดได้…

มันช่างสวยงามอะไรเช่นนี้….



กวาดสายตาจากขวา มาทางซ้าย…



ผมทนไมไ่หวต่อไปแล้วละครับ

เมื่อแพ็คกระเป๋า ออกมาเรียบร้อยแล้ว ขนของออกมาจนครบ

ผมก็ถลาร่อนออกมาท้าทายอากาศที่หนาวเย็นด้วยอุณหภูมิ 6 องศาเซลเซียส

ออกมาเก็บความทรงจำเอาไว้สักหน่อย เพราะไม่รู้ว่าโอกาสที่จะมาเยือนอีกครั้งนั้น
เราไม่รู้ว่าจะมีอีกไหม และถ้ามี เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเมื่อไหร่



จากหน้าต่างของห้องอาหาร ที่เราทานมื้อเย็นกันท่ามกลางความเกรี้ยวกราดแห่งสายฝนและพายุกระหน่ำ

เช้านี้ ความชุ่มฉ่ำ ที่ยังคั่งค้างจากค่ำคืนอันหนาวสั่น
ทำให้บรรยากาศโดยรอบของโรงแรม สวยงามจนไม่อยากจะจากไปไหน



แสงแดดที่ตกกระทบกับผิวไม้ของตัวอาคารนั้น มันบ่งบอกถึงการต้องทนอยู่
และเผชิญหน้ากับทุกความเปลี่ยนแปลงในแต่ละฤดูกาลที่ผ่านพ้นไป

แต่ยังคงพร้อมเป็นที่พักพิงอันอบอุ่นสำหรับผู้อาศัย ที่อาจจะทุกข์ร้อนใจจากที่อื่น
ให้มาผ่อนคลาย และค้นหาความหมายของชีวิตที่นี่



เมื่อยืนออกมาระยะไกลสักหน่อย…แล้วมองช้่าๆไปทางขวา….

ก็จะเห็นห้องพักที่เราเพิ่งเดินจากออกมาเมื่อสักรู่นี้

จากออกมาพร้อมกับความรู้สึกดีๆ ที่พร้อมจะเดินทางกันต่อ

ทั้งการเดินทางกลับสู่เมืองไทยในเย็นวันนั้น

และการเดินทางไปตามความฝันที่รออยู่เบื้องหน้า



สะพานไม้ท่าน้ำ คือจุดชมวิวที่ดีที่สุดของบริเวณนี้…


ความใสของน้ำ ทำให้เรามองเห็นไปถึงพื้นทรายข้างใต้

ถ้าใจของคนเรา ใสขนาดนี้ เราคงจะได้เห็นความสวยงามของแต่ละคน
ไม่เว้นแม้แต่ใจของนักโทษคดีร้ายแรง เขาต้องมีด้านดีอยู่บ้างละน่า
อยู่ที่ว่า เราตั้งใจจะค้นหาเข้าไปในใจเขาจริงๆกัน หรือจะทำเป็นไม่สนใจ
และปล่อยให้สังคมอันเชี่ยวกราก ตัดสินกันอย่างผาดเผิน



เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมา….

ใบไม้่เปลี่ยนสี เตรียมผลัดใบ เต็มแนวเขาไปหมด

ถือเป็นโชคดีที่ได้มีโอกาสไปเห็น

ช่วงเวลาที่ใบไม้ในนิกโก้ จะเป็นแบบนี้ มีเพียง 2 สัปดาห์ต่อปี เท่านั้น

และหลังจากผมกลับมาได้ 1 สัปดาห์
เจ้าของร้านกาแฟ Macchiato ที่ซอยอารีย์ ซึ่งผมไปนั่งเล่นแถวนั้นบ่อยๆ
ก็มีทริปไปเที่ยวนิกโก้เหมือนกัน

เจ้าตัวกลับมาบอกว่า ใบไม้ร่วงไปพอสมควรแล้ว แต่ยังพอหาความสวยงามได้
ทว่า…มันไม่สวยมากเท่าตอนที่ผมได้ไปเห็น…



แสงอรุณแสงแรกของโลกในแต่ละวัน เริ่มสาดส่องสู่สรรพสิ่งที่ยังสงบสำรวมนิ่ง รอต้อนรับการมาถึงของความสว่างไสว



รายชื่อของ เพลงที่ผมดาวน์โหลดจากแฟ่นซีดีลิขสิทธิ์แท้ เข้าไปใน โทรศัพท์วอล์กแมนของผม

อยากจะแบ่งปันกันสักหน่อย ว่าลองไปหาฟังดู

ชื่อศิลปินจะอยู่ด้านหน้า ส่วนชื่อเพลงจะอยู่ด้านหลัง

Lanni Hall – Water of March

Autobahn – ความรัก (เพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณา คอฟฟีเมท
แต่เป็๋นเวอร์ชันที่คุณป้อมร้องเอง ไม่ใช่ที่พี่ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ ถ่ายทอดเอาไว้ เรื่องของเรื่องคือหาเวอร์ชันนั้นไมไ่ด้ครับ)

นภ พรชำนิ – ยอม

Christina Agila – มีเพียงแต่เธอ

Natalie Cole – Miss you like crazy (งานปี 1988)

Boyd Kosiyapong อัลบั้มแรก – รักคุณเข้าแล้ว Season change เจ้าหญิง เก็บดาว

Calories Bla Bla – กุญแจที่หายไป (งานเก่าของ Palmmy)แต่เป็นเวอร์ชันที่ผมชอบกว่าต้นฉบับเสียอีก

Dos – คนคนนี้ , งานเลี้ยงดวงดาว

Etc ชุด 2 – เธอคือใคร , ต้องมีสักครั้ง , จริง จริง

Tatsuro Yamashita อัลบั้ม Tresures (1995) – Turner-s no kikansha (เพลงโฆษณา Nissan Skyline R32), Jungle Swings (โฆษณาของ Skyline R33)

และอัลบั้ม Soronite ปี 2005 (จำชื่อเพลงไมไ่ด้ แต่เป็นเพลงประกอบโฆษณา Honda Life เมื่อปีที่แล้วในญี่ปุ่น)

ทั้งหมดนี้ อยู่ในโสตประสาทของผม ตอนที่ยืนดื่มด่ำกับบรรยากาศของเช้าวันใหม่ที่ริมทะเลสาบแห่งนี้

แต่ตอนนี้

อยากจะเพิ่มอีกเพลงหนึ่งที่กำลังฟังอยู่ขณะอัพเดทรีวิวนี้ ให้คุณได้อ่านกัน

"กันและกัน"
เพลงประกอบภาพยนตร์ "รักแห่งสยาม"
และต้องเป็น เวอร์ชันที่ "น้องพิช วิชญ์วิสิทธิ์ นักแสดงนำในเรื่องเป็นคนร้อง "เท่านั้น"

——————-

เห็นมีแต่เพลงรักแบบนี้

เปล่าหรอกครับ
ผมอาจแค่กำลังหลงทางอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง ที่ผมไม่รู้ว่าที่ไหน

รอใครสักคนมานำทางไปอยู่…..



แสงเริ่มแรงขึ้นตามเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไป

ความสวยงามที่ระตีกาลพยายามเก็บซ่อนไว้ ถูกแง้มออกอย่างช้าๆ


บรรยากาศด้านหลังทั้งหมดนั้น

ก็จะเป็นอย่างที่เ็ห็นในภาพรวม



และนี่คือคุณกอล์ฟ พิสันต์ จากนสพ. Post Today

มีคนจำผิด ระหว่างผม กับเฮียเขาเป็นประจำ

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว คราวนี้เลยตัดสินใจว่า ถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่นสักใบดีกว่า

อยากได้คำตัดสินจังเลยว่า ผมกับเขา หน้าตาเหมือนกันมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?

ตัวอย่าง…

– พี่อ๊อด พีอาร์ โตโยต้าเคยเรียกผิดในงานแถลงข่าวโครงการ IMV
ณ ดุสิตธานี ยุคที่ยังต้องใช้เวลาอีก เกือบ 1 ปี กว่าที่ ไฮลักซ์ วีโก้ จะเปิดตัว ว่า "กอล์ฟ ไปญี่ปุ่นกันไหมคราวนี้"

– วรพล สิงห์เขียวพงษ์ พี่บอย ลุงกวนร้านแก้ส แห่งนิตยสาร Thaidriver เจ้าของนิตยสารที่ผมเขียนบทความส่งให้เขาอยู่
หัวเราะแบบไม่ติดเบรก ต่อหน้า อดีตพีอาร์ มิตซูบิชิ ในงานขอบคุณสื่อมวลชน เมื่อนานมาแล้ว ระหว่างชี้ผม กับตากอล์ฟ
ว่าหน้าเหมือนกันมาก

– ล่าสุด…ยามหน้า บริษัท มาสด้า โทรหาพี่อุทัย พีอาร์ผิวกาแฟของค่ายนี้
ในวันที่ผมเอาเจ้า MX-5 ไปคืนเขาว่า "คุณอุทัยครับ คุณกอล์ฟ โพสต์ทูเดย์นำรถมาคืนครับ!"

พีอาร์ทักผิดยังพอว่า
แต่ถ้ายามหน้ามาสด้า ยังทักแบบนั้น
มันต้องมีอะไรผิดปกติแล้วแน่ๆเลย….



ได้เวลาต้องบอกลานิกโก้แล้วละครับ


จากตรงนี้ จนถึงช่วงขึ้นทางด่วน Tohoku Expressway มุ่งหน้าลงใต้ เข้าโตเีกียว

ผมจะปล่อยให้คุณผู้อ่านดึ่มด่ำ กับบรรยากาศของสองข้างทาง จากยอดเขา
จนถึงพื้นราบ อย่างเต็มที่

เน็ตใครอืด ต้องขออภัยด้วย แต่ได้โปรดอดใจรอโหลดเถิดครับ

ภาพสวยคุ้มค่าสมการรอคอยแน่้ๆ แม้ทุกภาพจะถ่ายขณะรถแล่นอยู่ก็ตาม


เราออกจากโรงแรมนิกโก้ โดยทางโรงแรมจัดทำ แซนด์วิชให้เราทานเป็นมื้อรองท้องกันบนรถ

แซนด์วิช แฮม ปาดด้วย วาซาบิ!!

พนักงานที่โรงแรมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย

แซนด์วิชนะจ้ะ ไม่ใช่ซูชิ จะได้ปาดวาซาบิมาให้เนี่ย!!

——————

ตามบางจุดของแนวเขาที่เรานั่งรถผ่าน จะพบเห็นความพยายามในการกระคับประคองแนวเขา ไม่ให้ต้องถล่มลงมา
ขณะฝนตก ซึ่งนั่นจะอันตรายมาก เพราะเส้นทางที่จะใช้ติดต่อกันระัหว่างด้านบนกับด้านล่าง
ดูเหมือนจะมีเพียงเส้นนี้เส้นเดียวเท่านั้น


ทะเลสาบที่เราไปชมกันมาเมื่อวานนี้ แล้วไม่มีบรรยากาศที่ดีนัก

วันนี้ ฟ้าโปร่งแล้วละครับ


จากนั้น เราลอดเข้าอุโมงค์ รวม 2 แห่ง ติดกัน…ก่อนจะเข้าสู่พื้นราบ



จากจุดนี้ เราเบี่ยงซ้ายเข้าสู่ทางด่วนสาย Tohoku เพื่อมุ่งหน้าลงใต้สู่กรุงโตเกียว


มองจากทางด้านหลังของรถบัส



สักพักหนึ่ง ก็มาผ่าน ทางแยกเข้าสู่ตัวเมือง Utsunomiya

แต่เราคงไม่แวะเมืองนี้อีกแล้วในทริปนี้


เราเดินทางกันด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป๊ะๆ และต่อเนื่อง



ทีนี้ เราก็ผ่านทางออก Tsuga – Kaminogawa
มุ่งหน้าไปโตเกียวกันต่อ

แต่พอดูป้ายแล้ว ถอดใจเหมือนกัน อีกตั้ง 102 กิโลเมตร

ชลบุรี ถึงอนุเสาวรีย์ฯ เลยนะนั่น



Hummer H2 เวลาวิ่งดุกๆ บนทางด่วนอย่างนี้ ก็ดูเหมือนตัวจะเล็กไปเลย



พอข้ามสะพาน ข่้ามแม่น้ำแห่งนี้มาแล้ว…

ก็ถึงเวลาที่เราต้องแวะจุดพักกลางทางแล้วละครับ เราจะไปทานมื้อเช้ากันที่นั่น
ซึ่งเวลาก็อยู่ในช่วง 8.30 น. ของที่ญี่ปุ่น แต่บ้านเรา ก็ประมาณ 6.30 น.

นี่คือรถบัสที่เราใช้เดินทางมา



เอ….มันควรจะเป็นรูปนี้ต่างหาก..



และนี่คือจุดพักรถที่ค่อนข้างจะไฮโซที่สุดใน 3 แห่งที่เรามีโอกาสแวะพักใช้บริการกัน



คุณป้าเค้ากำลังใส่เครื่องดื่ม ลงในตู้ตามช่อง

และตามปริมาณ ที่มีการกำหนดมาจากยี่ปั้ว
และมีการเก็บสถิติยอดขายเพื่อเช็คได้ว่า ยอดขายสินค้าในตู้ ตัวไำหนขายดี
ขายไม่ดี และตัวไหนควรเพิ่มของตัวไหนควรลดปริมาณลง

ที่ผมเห็นมานั้น บางรายการ ใส่เพิ่มแค่ 2 กระป๋องเท่านั้นเอง


บรรยากาศภายใน….

ถ้าเดินไปข้างในสุดของภาพนี้ จะเป็นมินิมาร์ท…



และมีป้ายแจ้งข้อมูลการเดินทาง ในระบบทางด่วน พร้อมระบบเก็บค่าผ่านทาง ETC



ป้ายจะบอกหมดเลยว่า จากจุดที่คุณยืนอยู่นี้ ถ้าจะเิดินทางต่อไป ต้องไปทางเส้นไหน ระยะทางเท่าไหร่



แต่สิ่งที่พิเศษสุดที่ผมว่า เมืองไทยควรจะมีไว้บ้าง

คือนี่ครับ

เครื่องมือช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจในภาวะแน่นหน้าอกฉับพลัน! AED ของ Philips

มีจอสาธิตการใช้งานด้วย!

รายละเอียดเพิ่มเติม?

http://www.fukuda.co.jp/m/aed/



เดินย้อนกลับมายังส่วนของร้านอาหาร




ถ้าต้องการจะสั่งอาหาร คุณก็ควรจะมองหาเมนูก่อนว่า มันอ่านว่าอย่างไร

ตัวอักษรญี่ปุ่นอาจจะอ่านยากสักหน่อย แต่ไม่เกินความพยายามครับ
เพราะมันเป็นตัวอักษรรูปภาพ แบบเดียวกับภาษาจีน อันเป็นภาษารากฐาน
ของภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

แต่ตัวอักษรญี่ปุ่นนั้น มี 3 แบบ คือ คันจิ มาจากภาษาจีนโดยตรงเลย
ดัดแปลงนิดหน่อยในบางตัว มีเยอะแยะมากมายก่ายกอง
อยู่ญี่ปุ่นแบบพอเอาตัวรอดได้บ้างแล้วละครับ

มื้อนี้ผมจะทานอะไรดีละ

โคร็อกเกะ อีกสักชิ้นดีกว่า…

หยอดเหรียญเข้าตู้ แล้วหาตัวอักษรญี่ปุ่นว่า เป็น โค-โร-กุ-เกะ ราคา 300 เยน

แต่ผมก็ดันพลาดครับพี่น้อง ไปกดเอา โค-โร-กุ-เกะ-คา-เระ
อันแปลว่า ข้าวแกงกะหรี่ โคร็อกเกะ 450 เยน
ไอ้เราก็รีบๆล่กๆ ใส่เหรียญเข้าไป ก็นึกเหมือนกันละว่า
ทำไมโคร็อกเกะที่นี่ มัน 450 เยนหว่า ที่อื่นเขาแค่ 300 เยนเอง

ป้าเค้ารู้ว่าผมจะทานอะไร เพราะพี่ไกด์เค้าคุยให้แล้ว เลยคืนเงินให้ผมเรียบร้อย ยิ้มแฉ่งเป็นของแถม
สรุปว่า ใช้วิธีจ่ายสด ไม่เข้าตู้กันแบบไทยๆ นั่นแหละง่ายกว่ากันเยอะเลย



เอ วันนี้มันไม่อิ่มละสิพี่น้อง

MOS Burger ไง มาเปิดสาขาที่นี่ด้วย ไฮโซใช้ได้ ฮ่าๆ

อุดหนุนซะหน่อยดีกว่า จำรสชาติให้ได้ว่า มันเป็นไง เผื่อจะไปเปรียบเทียบที่สาขา่เมืองไทย ณ เซ็นทรัลเวิล์ด ในโอกาสต่อไป



การจะสั่งเบอร์เกอร์ ที่นี่ ก็ต้องรอประมาณ 5 นาที เหมือนกันกับบ้านเรานั่นละครับ เพราะเขาจะปรุงสดๆ เลย ไม่มีสต็อกเตรียมไว้ แบบที่อื่น

เมนูที่เตรียมไว้ ละลานตา

แต่ ตัวอักษรคาตาคานะ และความฉลาดในสมองจะช่วยให้คุณเลือกได้ในสิ่งที่ต้องการ

ราคาเริ่มต้นคือ ตัวแรกฝั่งซ้ายสุด ฮัม-บา-ก้า หรือไอ้แฮมเบอร์เกอร์ เปล่าๆนั่นละครับ 220 เยน

ผมก็เลือก โม-สุ-บา-ก้า่ หรือแปลว่า มอส เบอร์เกอร์ นั่นแหละ! 330 เยน 1 ชิ้น

แล้วก็กันเหนียวไว้ด้วย โรส-กัต-บา-ก้า ที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
รู้แต่ว่า โรส หนะ มันน่าจะมาจาก Roast อันแปลว่า "ย่าง"
จนต้องถามป้าคนขาย เค้าก็พอจะบอกได้ว่า ที่ผมสั่งไปนั้น จะมีหมู 1 และเนื้อวัว 1

อีก 320 เยน



รวมแล้ว 620 เยน ก็โอเคนะ

อิ่มแน่นเลยละ

มาดูสารรูปของสิ่งที่ผมกินเข้าไปสักหน่อยดีกว่า



อันนี้ละครับ Mos Burger พระเอกหลักของร้าน

ผักของร้านนี้ สดใช้ได้ครับ เนื้อที่ใช้ โอเค

ผมว่า เข้าท่ากว่าแมคโดนัลด์ และ เบอร์เกอร์คิง ซึ่งหลายหลังนั้น บ้านเรา รสจัดไปหน่อย มอสจะมีรสละมุนกว่า แต่มวลของมันเวลาอยู่ในปากจะหนักแน่นกว่า



ส่วนก้อนนี้คือ โรสต์ กัต เบอร์เกอร์

มันเป็นเนื้อหมู หรืออะไรสักอย่าง แล้วก็ใส่ซอสมะเขือเทศ ชิ้นโตมาก
ประมาณว่า 1 ใน 3 ของลูก เห็นจะได้

ส่วนรสชาติ ดีครับ กำลังดีเลย ก้อนแค่นี้ แต่กินเข้าไป อิ่มกำลังดีสำหรับท้องของคุณสาวๆ



เอาละครับได้เวลาออกรถแล้วละ 9.00 กันพอดี ครึ่งชั่วโมงสำหรับการพักทานข้าวกัน



จากนัุั้นเรามุ่งหน้าเข้าโตเกียวกันต่อไป

รู้สึกโชคดีว่าเรามาเที่ยวตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะวันนี้ ฝั่งขาออกจากโตเกียว บนทางด่วนเส้น โตโฮกุ รถติดยาวมาก แต่ยังไม่ต้องลากตัว ก. ไก่ให้ยาวไปเกินกว่า 1 ตัว ผมกำลังจะบอกว่า ยาวมาก แต่ไม่ยาวมากกกกก

Daihatsu Copen คันกระจึ๋งกำลังแล่นผ่านรถคอมแพกต์มินิแวนคันเล็ก
อย่าง Honda S-MX ไปง่ายดาย ทั้งที่มีเครื่องยนต์แค่ 660 ซีซี



นั่งรถมาเรื่อยๆ จนถึงทางแยก Kawaguchi อีกครั้ง

บนทางด่วนสาย Shuto



Nissan Cube อาจมีดีไซน์ที่แปลกตา

แต่การพบเห็น คิวบ์ กลับไม่ใช่เรื่องแปลกเท่า พบเจอ ลินคอร์น คอนติเน็นตัล คูเป้ จากฟอร์ด คันนี้ บนถนนญี่ปุ่น

ในเมืองไทย จะมีสักกี่คนที่เคยเห็นตัวจริงรถคันนี้?

คนญี่ปุ่นก็เช่นกัน…



และที่ยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจไปกว่า คือการได้พบรถ Japan Rerto
อย่าง Nissan Farilady Z (340Z) แท้ๆ สภาพดีๆ
ในสภาพที่แล่นได้เหมือนใหม่เปี๊ยบ บนทางด่วนญี่ปุ่นยามเช้าวันอาทิตย์!!

@_@



ทางด่วนที่เราใช้นั้น ถ้าคุณยังจำได้ เส้นข้างบนนั้น ก็คือเส้นที่เราใช้ในตอนขาออกจากโตเกียว ไปโตชิกิ กับ อุซึโนะมิยะ นั่นละครับ



เลี้ยวขวาเข้าโค้งนี้ ไปทางที่สามารถไปลงยัง Ginza ได้



มองไปทางขวาก็เจอแม่น้ำ Sumida



ถึงจุดนี้เราก็เตรียมลงทางด่วน



ลงทางด่วนแล้ว เราเลี้ยวขวาไปทางริเวอร์พาร์ค ชิโออิริ



ข้ามสะพานที่เราเห็นมาแล้วจากบนทางด่วนเมื่อสองสามวันก่อน



แล้วเราก็เลี้่ยวซ้ายไปทาง Meji dori



ย่าน Shioiri เป็นย่านที่พักอาศัยริมแม่น้ำที่ค่อนข้างสงบใช้ได้เลยทีเดียว สำหรับความวุ่นวายยุ่งเหยิงระดับอย่างมหานครโตเกียว



จังหวะเลี้ยวซ้าย

ผมก็เจอเลยครับ…..คันเนี้ย…ที่หลายๆคนรอกัน….

มีคนซื้อมาวิ่งแล้วนะ



แล้วก็ลอดใต้อุโมงค์



ขับเลียบแม่น้ำ Sumida ไปเรื่อยๆ จนถึง สี่แยก



มาถึงสี่แยกนี้



มองไปทางขวา โอ๊ะโอ Mazda RX-7 FD แต่งเต็มยศ เรียบๆ แต่ดุ
ป้ายทะเบียนก็ไม่ติด



ตรงมาตามทาง

สองข้างทางในโตเกียว ยังมีความสวยงาม จากแมกไม้



เราตรงไปทาง NihonBashi และ Asakusa



ผ่านสี่แยกแล้ว มองทางซ้ายก็เจอ ตึกเบียร์ อาซาฮี ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวันก่อน….ในตอน 3



ตรงไปต่อ



แล้วก็ตรงไปต่อ จนถึงสี่แยกนี้ จึงจะเลี้ยวขวาไปทาง Hongo



ส่วนรูปนี้ ไม่ได้แค่ให้ดู แคดิลแล็ก STS และ นิสสัน Cube

แต่จะให้สังเกตที่พื้นผิวถนน

อันที่จริงแล้วก็มีคลื่นเล็กๆน้อยๆเหมือนผิวถนนบ้านเรานั่นละครับ

แต่ไม่มากเท่า



ตรงไปทาง Hongo



ถ้าเลี้ยวขวา ที่แยกนี้ ก็คือ Ueno ย่านตลาดค้าขาย

จำได้แต่ว่า มีร้านขาย แผ่นเสียงและ ซีดีมือสอง ที่ฝั่งตรงเข้ามกับทางขึ้นสถานีรถไฟอุเอโนะ อยู่
ไม่รู้ว่า 8 ปีผ่านไป ร้านจะยังอยู่หรือเปล่าหนอ…



แต่เราเลี้ยวซ้ายที่แยกเพื่อจะตรงไปยัง Nihonbashi เลย



และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้

Akihabara แหล่งช้อปปิ้งอันเลื่องชื่อ สำหรับสินค้าไฮเทคทั้งหลาย ในญี่ปุ่น



รถจะจอดให้เราลงตรงใต้สะพานรถไำฟข้างหน้านี้



เมื่อมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เราเิ่พิ่งผ่านมา Akihabara ที่ผมเคยมาเยือนครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน วันนั้นเป็นอย่างไร วันนี้ก็ยังคล้ายกับเดิม

อาจจะแตกต่างไปบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก



มองไปทางซ้ายมือ ก็จะเป็นอาคารสถานีรถไฟ ซึ่งดูแล้วน่าจะสร้างมานานพอดู



มองไปทางขวามือ ก็จะเจอ คลองโบราณ ซึ่งน่าจะขุดกันมานานแล้ว
ไม่แพ้กัน



เราเดินตรงมา ข้ามถนน แล้วเลี้ยวเข้าซอยแรกขวามือ อันเป็นซอยที่จะเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟ Akihabara

(เมื่อเดินไปแล้วหันไปถ่าย ก็จะเป็นเช่้นนี้)



จุดหมายวันนี้ของผม คงต้องเปลี่ยนไป

ในเมื่อ นายบอมบ์ เพื่อนในต่างแดนของผม ติดไปงานแสดงวัฒนธรรมอะไรสักอย่างของคนไทย ที่โอไดบะ
ทำให้ผมเองก็คิดอะไรไม่ออก นอกจากตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนๆสื่อมวลชน
อีกกลุ่มหนึ่งไป

เพราะช่วงนี้ เขาจะปล่อยฟรี อิสระ กลับมาเจอกันอีกครั้ง บ่าย 2 โมง ที่ใต้สะพานตามเดิม

ตากอล์ฟ พิสันต์ มีเพื่อนคนไทย ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัย สวนกุหลาบ
และเป็นนักเรียนไทย ที่กำลังศึกษา ปริญญาเอก ด้านรัฐประศาสนศาสตร์
การเมืองระหว่างประเทศ อยู่ที่นั่น และเป็นคนที่มี Profile ชีวิต ที่ผ่านมาในด้านการเรียนและการงาน ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
มาเป็นเพื่อนที่จะพาพวกเราไปช่้อป และไปชิม
เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย ซึ่งต้องขอบคุณมากๆ ที่ สละเวลาี่มาเป็นไกด์พาเราไปในคราวนี้

ี่นี่มุมหล่อของเขาละ
ถ่ายหน้าเครื่องขายตั๋วสรถไฟอัตโนมัติของ JR Rail



รถไฟสายสีเขียว วนลูปรอบเมือง Yamanote ยังคงเป็นรถไฟที่เราใช้บริการเป็นรอบที่ 3 ในทริปนี้

แต่เราจะลงที่สถานี Kanda

และไปต่อรถไฟอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งจะพาเราไปยังจุดหมายที่ใกล้กันพอสมควร

นั่นคือ Shinjuku ! (อีกแล้ว)



ภายในโบกี้รถไฟตอนกลางวัน ผิดไปจากตอนกลางคืนอยู่บ้าง



ที่แน่ๆ เรายังได้เห็น Print-Ad ของ Honda Crossroad เวอร์ชันใหม่ ปิดอยู่ข้างตู้รถไฟอีกด้วย

แคมเปญโฆษณาเดียวกันกับที่พบได้ ในสถานีรถไฟ ชินจูกุ เมื่อช่วงคืนแรกที่มาเยือน นั่นละครับ



แล้วเราก็มาถึงสถานี Kanda

ซึ่งเดี๋ยวนี้ การรถไฟ JR ค่อนข้า่งดี ตรงที่ว่า มีป้ายข้อมูลบอกทาง
เป็นภาษาอังกฤษ มาหลายปีแล้ว ให้เราได้รับรู้ ดังนั้น โอกาสหลง จะน้อยลง

คราวก่อน ปี 1999 ยังไม่มี แต่ 2005 มีแล้ว



นี่คือ สถานี Kanda



ถ้าทำของตกลงไปในรางก็แจ้งเจ้าหน้าที่ แบบเดียวกับ BTS บ้านเรานั่นเอง



ชุดกิโมโน เดี๋ยวนี้ใช่ว่าจะเห็นกันได้ง่ายๆ ดังนั้นต้องถ่ายเก็บมาสักหน่อยแม้จะเป็นด้านหลังก็ตาม



เราขึ้นรถไฟสายสีส้ม ออกเดินทางมาจนถึงสถานี ชินจูกุ
ออกทางประตูทิศใต้



เดินออกมาข้างนอกสถานีแล้ว…



มองขึ้นไปทางขวา…



จุดที่เราเดินออกมา ก็คือิ ห้างสรรพสินค้า Lumine 2

ซึ่งเชื่อมกับสถานีรถไฟชินจูกุโดยตรง


ข้างๆห้าง Lumine 2 ก็จะมีจอภาพ ทีวี

อันกลายเป็นของที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว สำหรับย่านการค้าสำคัญๆ ในญี่ปุ่น

Tower-s Record ในญี่ปุ่น ยังอยู่นะครับ
แม้จะโดนร้าน HMV ตีตลาดจนเหนื่อยไปก็ตาม

เราเดินมาเข้าประตูทางออกของสถานีรถไฟ JR ชินจูกุกันอีกครั้งหนึ่ง



เราก็เดินเข้าห้างสรรพสินค้า Takashimaya

ซึ่งน่าเดินไม่น้อยเลย

ที่นั่นทำให้ผมได้รู้ว่า

1. เดี๋ยวนี้ ตู้ ATM มีขายเป็นส่วนตัวแล้ว…(มันก็คือกระปุกออมสินรูป ตู้ ATM พร้อมบัตรเล็กๆ และปุ่มกดรหัสนั่นเอง) เจอที่ร้าน Tokyo Hands

2. ร้านอาหารไทยชั้นดี ชื่อ บัวบาน อยู่ที่ห้างนี้

3. ผมว่าผมเจอร้านขายซีดี HMV ในโตเกียว ว่ามีสาขาเยอะให้เห็นพอกันกับ 7-11 บ้านเรา แต่มากกว่า 7-11 ที่ผมเจอในญี่ปุ่นด้วยซ้ำแหะ

4. และที่ร้านเดียวกันนี้ ซีดีของ "กอล์ฟ-ไมค์" มาขายถึงญี่ปุ่นแล้ว…

5. การต้องไปซื้อ เครื่องสำอางค์ หรือ เครื่องประทิืนผิว ฝากญาติพี่น้อง หรือแฟน บางที ก็สร้างความมึนงงได้ ว่า ขนาดเท่าไหร่ถึงจะเหมาะกว่ากัน
โดยเฉพาะยี่ห้อที่ชื่อ Shu uemura



ออกจากห้างนี้แล้ว ได้เวลาทานมื้อเที่ยง ไกด์ของเรา พาเดินเลี้ยวขวา ไปยังตึก มารุอิข้างหน้านี้

ช่วงที่เดินผ่านโชว์รูมโตโยต้า เครือข่ายจำหน่าย โคโรลล่า นั้น
ผมไม่แน่ใจว่าืทำไมคนถึงเดินรอคิวเยอะจัง เลยหันไปถ่ายรูป ก็ดูเหมือนว่า
จะมีใครสักคนเป่านกหวีดลั่นเลย แต่เราไม่ได้สนใจ

ตัวผมหนะรู้แกวแล้วละครับว่า "ตูแน่ๆเลย"
และเริ่มรู้สึกว่า มันอาจจะเป็นสถานที่อโคจรอะไรบางอย่าง

ผมเลยตัดสินใจลบไฟล์รูปนั้นทิ้งไป และทำเป็นไม่ได้สนใจกับคนที่ผมรู้สึกได้เลยว่า พยายามจะเดินตามผมมาห่างๆ

แต่ ในเมื่อ ผมให้ความสนใจอยู่แต่ในกลุ่มอย่างเดียว
พอผมข้ามถนนไป คนพวกนั้นก็ดูเหมอืนจะทำอะไรเราไมไ่ด้

แต่ผมก็ยังไม่ไว้วางใจนัก…



ไม่รู้ละ ที่แน่ๆ เรามาอยู่ที่ตึก มารูอิ 0101 ชินจูกุ ตึกสีเขียว ฝั่งขวานี้ กันแล้ว



เราไปทานซูชิ ชั้นดีสมราคา ในร้านที่ชื่อว่า Hina-Sushi



เมนู ดูจากราคา เหมือนจะแพงแต่ขอบอกเลยว่า อิ่มและอร่อยทุกชุดที่คุณเลือก

แต่ขอแนะนำว่า อย่าเลือกแบบ All you can eat เลย สำหรับคนที่ไม่ใช่พวกกินจุ



ปลาโทโร ที่นี่ รสชาติดีมากครับ

อาจจะไม่ใช่เกรด AAA แต่ก็ถือว่า เกรด A หรือ AA เลยแล้วกัน
อันนี้จากปากคำของไกด์ของเรา



ข้าวหน้าซูชิ พร้อมซุบ เมนูของไกด์



ส่วนชุดนี้เป็น Lady set มีสลัดผัก และของหวาน แถมมาให้



ร้านนี้ขอแนะนำเลยครับว่า อร่อยใช้ได้จริงๆ



จากนั้นเราจะลงลิฟต์ มายังชั้นล่างสุด ออกไปเดินบนถนนใหญ่กันในวันนี้

ถนนที่ว่า อยู่อีกด้านหลังห้างครับ

ลิฟต์ที่นี่ ในห้างใหญ่ๆบางแห่ง จะมีปุ่มกด ระดับล่าง สำหรับผู้ทุพลภาพเป็นพิเศษ

สวัสดิการสำหรับผู้ทุพลภาพที่นี่ถือว่าค่อนข้างดี เพราะได้รับการใส่ใจให้ความสำคัญกว่าที่อื่น
แต่คนญี่ปุ่นเอง บางครั้ง ก็ยังมีชำเลืองมองกันอยู่บ้างนิดหน่อย
แต่ไม่มากนัก เพราะสังคมญี่ปุ่นระยะหลังๆนี้ ถ้าเป็นสังคมเมืองจะไม่ค่อยยุ่งเีกี่ยวกัน ตัวใครตัวมัน

ผิดกับสังคมต่างจังหวัด ที่จะคุยกันแลกเปลี่ยนข่าวสารกันเยอะกว่า จนสัมผัสได้


ลงมามองทางขวา ก็เจอร้านขายเครื่องดนตรี

แต่เราไมไ่ด้มาซื้อกีตาร์ หรือคีย์บอร์ด

ทว่า เราจะเลี้ยวซ้ายไปเดินเล่นบนถนน ชินจูกุ กัน



ตัวอาคารดูเก่าแก่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ ห้างสรรพสินค้าอิเซตัน นั่นเอง
สาขาในไทยยังเหลืออยู่ที่เซ็นทรัลเวิล์ด



ในวันอาทิตย์ ชินจูกุ จะถูกปิดการจราจร เพื่อเปิดทางให้เป็น ถนนคนเดิน

สถานีตำรวจ Yotsuya ตั้งป้ายไว้ว่า ไม่อนุญาตให้มีการแสดงแบบวณิพกต่างๆ

ก็น่าเสียดายที่เราไมไ่ด้มีโอกาส และเวลาเพียงพอจะไปชมของแบบนี้
ที่ ฮาราจูกุ… มา 3 ครั้ง ก็ไม่ได้ไปทั้ง 3 ครั้งเลย
คือฮาราจูกุนั้นผมพอจะมีโอกาส เดินจาก ชิบูย่า วนไปถึงที่นั่นแล้วเดินกลับมา
แต่ทว่า มันเป็นช่วงเวลาหัวค่ำ ของคืนวันธรรมดาซึ่งไม่มีอะไรให้ดูเลยต่างหาก
ของดีๆ การแสดงแปลกๆ หรือบรรดากลุ่มคนที่แต่งตัวเลียนแบบการ์ตูนญี่ปุ่น Crossplay ต้องดูในวันเสาร์ อาทิตย์ ครับ



ข้างบนเป็นธนาคาร Mitsukoshi

แต่ข้างล่างนะ Louise Vuitton

คนญี่ปุ่น ได้ชื่อว่าเป็นพวกบ้าแบรนด์เนมขึ้นสมองเลยทีเดียว

ใครใช้ของอะไรกันนี่ ก็อวดศักดาบารมีกันอย่างหนัก
เผลอๆจะหนักกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ

กระทรวงวัฒนธรรม หนะ ไม่ต้องเป็นห่วงสังคมไทยนักหรอกครับ
ประเด็นนี้ ยังไงๆ เราก็แพ้ญี่ปุ่นเค้า ^_^



แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรให้ความสำคัญเร่งด่วนก็คือ

คนญี่ปุ่นเค้าบ้าอ่านหนังสือกัน
แต่คนไทย กลับเป็นในทางตรงกันข้าม…

(ร้านคิโนะคุนิยะ สาขาชินจูกุ)



แล้วเราก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟ ชินจูกุ ฝั่ง ห้าง Lumine 1
และตึก ALTA Vision จนได้

โลเกชันนี้ คือสิ่งที่ผมคุ้นตาที่สุดแล้วในญี่ปุ่น เพราะมากี่ทีๆ ก็ต้องมาแวะตรงนี้

ร้านราเม็งอร่อยๆ ก็อยู่แถวนี้ แหล่งรวมความบันเทิงทุกรูปแบบ ตั้งแต่โรงหนังไปจนถึงเรื่องแนวคาวโลกีย์ ก็อยู่แถวนี้



และก็ยังเป็นจุดนัดพบระหว่างผมกับเจ้าบอมบ์ บ่อยที่สุดอีกด้วย

ถ้าจำได้ ในตอนแรกของทัวร์ญี่ปุ่นผมเล่าว่า ABC-MART จะมาเกี่ยวพันในตอนท้ายๆนิดเดียว

ก็แน่ละครับ

แค่้แวะไปเดินดูรองเท้านิดหน่อย
กำลังคิดเล่นๆว่าจะซื้อดีไม่ดี ตาพี่กอล์ฟ ก็ยุส่งเลยว่า ซื้อไปเลย
ถูกกว่าเมืองไทยพอสมควร

แต่ลวดลายจะต่างจากที่ขายในไทยอยู่พอสมควร
และคุณภาพของ รองเท้าที่ขายอยู่นั้น ต่อให้มาจากแหล่งผลิตเดียวกัน แต่คัดเกรดมาดีกว่าเยอะ

โดยเฉพาะ Nike ที่ผมเห็นได้ัดที่สุดว่า
ของที่มาขายบ้านเรานั้น เก็บงานไม่ได้เรียบร้อยเอาเสียเลย
แต่พอมาขายญี่ปุ่น การเก็บงาน เนี้ยบกว่าพอสมควร
ทั้งที่ Made in China เหมือนกัน
แต่ลวดลายจะต่างกัน เพาะเอาใจเทรนด์แฟชันญี่ปุ่นเป็นหลัก
หลายลวดลายจะหาไม่ไ่ด้ในเมืองไทย

ตาก็เหลือบไปเห็น Timberland มาคู่นึง
12,600 เยน คิดไปคิดมา 3,780 บาท เท่านั้น ถูกกว่าซื้อเมืองไทยน่าจะราวๆ 1 เท่าตัวเลยเห็นจะได้

คิดได้ดังนั้น ก็เรียกพนักงานในร้านมา
พอรู้ว่าจะเอาคู่นี้ ก็กุลีกุจอ เชื้อเชิญให้นั่งไปนำมาให้ลอง
พอใส่เสร็จแล้วเขาถึงขั้นผูกเชือกรองเท้าให้ด้วย
ผมก็ตกใจนิดหน่อย แต่ ก็พอรู้ว่า บริการของเขาเป็นประมาณนี้ละ
กับลูกค้าคนอื่นๆด้วย
พอลองแล้วก็โอเค ซื้อเลย

นับว่าเป็นการตัดสินใจซื้อรองเท้าที่ไวที่สุด เท่าที่เคยซื้อมาเลยทีเดียว
คือทุกอย่างที่เล่ามานี้ มันเกิดขึ้นในเวลารวมกันแล้วไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น….



ได้เวลาต้องตรงดิ่งไปยังจุดนัดพบแล้วละครับ

เราลงสถานีรถไฟชินจูกุ ไปขึ้นรถไฟสายสีส้มย้อนกลับทางเดิม ไปขึ้นสายยามาโนเตะ ที่สถานี คันดะ (เป็นชื่อที่เขียนออกมาเป็นภาษาไทยแล้วทุเรศทุรังเอาเรื่องเลยนะนั่น)



และมาถึงสถานี Akihabara ในที่สุด…



แต่ ใช่ว่าจะมีแค่ชินจูกุ ที่ปิดถนน ให้คนเดิน

ที่อากิฮาบาระ นี่ก็เช่นเดียวกันครับ สำหรับวันอาทิตย์ มีรายการปิดถนนคนเดินด้วยเช่นกัน

อันที่จริงผมลงไปนอนแอ๊คท่าถ่ายรูปบนถนนเลยนะนั่น ฝุ่นควันไม่มี อากาศก็ดี

ไม่อยากจะนึกถึงกรุงเทพฯ เลยจริงๆพับเผื่อยสิเอ้า



ยังไงๆก็ขอขอบคุณ ไกด์ผู้อารีย์ของเรา เพื่อนของคุณกอล์ฟไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ
ก็ได้แต่ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต และขอให้ สาวๆเยอะสมดังใจก็แล้วกันครับ



ได้เวลาแล้วละครับ ที่เราจะต้องจากลา ญี่ปุ่น ประเทศที่ผมยังอยากจะอยู่ต่ออีกสักนิดด้วยซ้ำ
แต่ถ้าขืนอยู่ต่อ เห็นทีจะไม่ไหวแน่ๆ
งานรออยู่ที่เมืองไทยเพียบเลย อย่างหนึ่งที่แน่ๆ ก็คือการมานั่งอัพเดทบทความให้ได้อ่านกันนี่ไงครับ

โตเกียวมอเตอร์โชว์ 3 ตอน ทดลองขับ ฮอนด้า 1 ตอน พาเที่ยว 5 ตอน
ไปเที่ยวมา 6 วัน 5 คืน มีเรื่องมาเขียนได้ 9 ตอนรวด…นับว่าเป็นสถิติที่บ้าบอใช้การได้เลยทีเดียว และคงไม่ค่อยมีใครให้พื้นที่เยอะขนาดนี้เป็นแน่ ถ้าไม่ใช่ อินเตอร์เน็ต

และหลังจากนี้ผมคงจะปล่อยรูปเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อย ระหว่างเดินทางไปยังสนามบินนาริตะให้ได้ชมกันเป็นการสั่งลา



จุดที่อยู่ใกล้ลิบนั้น น่าจะเป็น Tokyo Disneyland



ในวันอาทิตย์นั้น คนญี่ปุ่นมักนิยมออกมาตากอากาศกันข้างนอกในฤดู ที่มีอากาศเย็นสบายแบบนี้



Lancer Evolution IV



มอเตอร์ไซค์ ก็สามารถแล่นบนทางด่วนได้อย่างมีความสุข (ถ้าคุณขี่เร็วเพียงพอ ไม่ใช่้บ้าระห่ำแบบเด็กแว๊น)



วิทยุคลื่นข่าวจราจรของเขานั้นเอาไว้แจ้งข่าวจราจรบนทางด่วนมากกว่าครับ

อยู่ที่คลื่น AM 1620 KHz. High way Radio



สภาพบ้านเรือนในเขตใกล้กับสนามบินนาริตะ



อีก 500 เมตร จะถึงทางออกที่ 10 อันเลี้ยวขวาลอดใต้อุโมงค์เข้าเขตสนามบิน



รถที่ดูเหมือนจะโบราณนั่น Mitsuoka Viewt เปิดประทุน ซึ่งมิตซูโอกะ ซื้อ นิสสัน มาร์ช เปิดประทุนรุ่นที่แล้ว
ไปดัดแปลงตัวถังเป็นสไตล์หรูแปลกๆของตนเอง



เข้าด่านเก็บเงิน ETC เป็๋นครั้งสุดท้าย…



พอมาถึงสนามบินนาริตะแล้ว

เราหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย จำเป็นต้องจัดกระเป๋าใหม่ทั้งหมด เพราะช้อปปิ้งกันมาเยอะ

ผมจำเป็นต้องทิ้งกล่องรองเท้าไว้ที่สนามบินอย่างน่้าเสียดาย

แต่ก็จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยจนได้



แต่ด้วยการเช็คอิน แบบ หมู่คณะ ทำให้เฉลี่ยน้ำหนักกันไปได้
โดยไม่ต้องสนใจว่าใครน้ำหนักเกินหรือไม่ ทั้งที่ปกติแล้วก็มีเพดานกำหนดเอาไว้

จากนั้น การหาซื้อขนมของฝากที่สนามบิน ก็ยิ่งทำให้เราต้องแบกของเพิ่มขึ้น แต่ขนมต่างๆของเขานั้น น่าซื้อจริงๆ

คนของฮอนด้าบอกว่า ต้องหาซื้อ โตเกียว บานาน่า ให้ได้
ซึ่งเป็นขนมที่อร่อยมาก

เราพยายามจะหากัน ทว่า มีแต่โตเกียว บานาน่า ในแบบที่ไม่ต้องการ

อยากรู้ว่าอร่อยแค่ไหน คงต้องถามพี่แอน พีอาร์ ฮอนด้าดูครับ
ในฐานะคนแนะนำเลย…เพราะงานนี้ผมหาซื้อไม่ได้จริงๆ



และนี่ก็คงเป็นภาพสุดท้ายของประเทศญี่ปุ่น ที่มองจากบนที่นั่งเครื่องบิน
เวลาราวๆ 6 โมงเย็นของที่นั่น อาจจะเห็นแสงไฟที่เต็มพื้นที่บริเวณโตเกียวอยู่จางๆ

ถือเป็นทริปญี่ปุ่นที่น่าประทับใจอีกทริปหนึ่ง เพราะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เกือบจะครบทุกอย่าง

ตั้งแต่เดินชมโตเกียวมอเตอร์โชว์ จนถึง ลองขับรถรุ่นใหม่ๆของฮอนด้าในสนาม แม้ฝนจะตกพรำๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา
ได้ทดลองขับรถยนต์ Fuel cell ไปจนถึงการทองเที่ยวในเมืองนิกโก้ อันเป็นมรดกโลกที่สวยงามอย่างยิ่ง สมกับที่มีคนกล่าวไว้ว่า ถ้ามาไม่ถึงนิกโก้ ก็ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นจริงๆ

ผมมาถึงแล้วครับ มาถึงอย่างน่าประทับใจเสียด้วย



หมูผัดซอสมะเขือเทศและถั่วราดข้าว กับสลัดมันฝรั่ง คืออาหารที่เราทานบนเครื่องเพื่อรองท้อง ก่อนจะกลับไปเจออาหารไทยที่คิดถึงมา 1 สัปดาห์เต็มๆ



ผมรู้สึกว่า ตัวเองโชคดีมาก ที่ได้มาร่วมทริปครั้งนี้

บางที เมื่อมานั่งนึกย้อนกลับไปยังอดีต เมื่อ 9-10 ปีก่อน

ผมก็ยังไม่คิดว่า ตัวเองจะได้มีโอกาสเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้

ผมชอบสโลแกนของฮอนด้าที่ว่า
พลังของความฝัน สรรสร้างพลังแห่งความคิด

เพราะที่ผ่านมา ด้วยความฝันนี่แหละ ที่ทำให้ผมเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำมา เราเดินมาถูกทางแล้ว

ความท้าทายข้างหน้ายังรออยู่ที่อนาคตไม่ไกลนัก
และความฝัน ที่ยังอยู่กับเรา จะยังพาให้เราทลายกำแพงเดิมๆ ในใจเรา
เพื่อให้ได้มาซึ่งความมุ่งมั่น ที่จะสร้างสรรค์ความฝันให้พลันเป็นความจริง

พลังแห่งความฝัน ในแบบที่ ฮอนด้า เชื่อมาตลอด จนถึงทุกวันนี้

My Heart Draws a Dream…..

***ขอขอบคุณ***
คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ของ
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิลล์ (ประเทศไทย)จำกัด
สำหรับความเอื้อเฟื้อตลอดการเดินทางในครั้งนี้

Facebook Comments
CarOnline Team

Recent Posts