ํYokoso Japan : เก็บตก จากท้องถนนสายอาทิตย์อุทัย…ภาค 3…By : J!MMY


25 ตุลาคม 2005
6.42 น.

เมื่อคืนนี้ ลงไปเดินถ่ายรูปเล่นที่ สวนสาธารณะ ด้านหลังห้าง Aqua City ซึ่งจะมองเห็นสะพาน เรนโบว์ บริดจ์ อย่างชัดเจน
สวนสาธารณะที่นั่น ก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเราเท่าไหร่ คือ มีคู่หนุ่มสาวมาเดินจูงมือคุยกัน เป็นเรื่องธรรมดา
แต่เขาจะมีรถ Mitsubishi Minica คันเล็กๆ ไว้ขับคอยตรวจตรา วนรอบตลอดทั้งคืน เพื่อป้องกันพวกมิจฉาชีพ หรือพฤติกรรมไม่เหมาะสม
มีบางกลุ่มตั้งก๊วน จิบเบียร์ ริมน้ำก็มี และเป็นผู้หญิงทั้ง 3 คนเลย

แล้วก็ขึ้นมาใช้เวลาส่วนใหญ่บนห้องพัก มีความสุขอยู่กับกองแค็ตตาล็อกรถรุ่นเก่าๆ ที่ถลุงเงินซื้อไปอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อวานเย็น
ส่วนแค็ตตาล็อกรถรุ่นใหม่ๆ ก็แพ็คลงกล่อง DHL ส่งกลับบ้านไปก่อนตั้งแต่อยู่ในงานแล้ว ดังนั้น คราวนี้อยากจะเดินดูอะไรในงานวันนี้
อยากถ่ายรูปอะไร คงจะทำได้ถนัดขึ้น ….

ใครสังเกตรูปข้างนี้ ก็คงพอจะเห็นว่า มีแค็ตตาล็อก Accord CA
รุ่นปีราวๆ 1988 ภาคภาษาญี่ปุ่นอยู่
เล่มนี้ เป็นแค็ตาล็อกอีกเล่มหนึ่งที่ ผมเคยคิด อยากได้ อยากหามาตั้งแต่เด็กๆ และไม่นึกว่าจะได้มาเป็นเจ้าของในวันนี้


เมื่อวานช่วงเย็น ออกจะเซ็งไปสักเล็กน้อย เพราะ SD-Ram ขนาด 1GB ของ Kingston เจ้ากรรม ดันเจ๊ง อีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ทิ้งภาพถ่ายไว้ในนั้น
แล้วเอาออกมาล่าช้าเกินงาม หากถ่ายไว้เต็มเมื่อไหร่ มันจะเจ๊ง และไม่สามารถแสดงภาพใดๆออกมาทางกล้องของเราได้เลย
ไม่เข้าใจวง่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ แต่ยังดี ที่งวดนี้ ซื้อ SD-RAM 4GB HD ของKingston เหมือนกันอีกนั่นละ มาสำรองเผื่อไว้
นั่นหมายความว่า ผมต้องถ่ายรูปรถทุกคันในงานใหม่ทั้งหมดอีกรอบ !! หมดกัน วันนี้เวลาเดิน เหลือแค่ บ่าย 3 โมง เพราะเราต้องเดินทางไปยัง
เมือง Utsunomiya จังหวัด Tochigi ด้วย ดังนั้น งานในส่วนของจักรยานยนต์ และรถบรรทุก เห็นทีส่อเค้าว่าจะต้องอดดูเป็นแน่


เหตุที่เราต้องย้ายที่พักไปยังเมือง Utsunomiya จังหวัด Tochigi ทำให้เราต้อง แพ็คกระเป๋าเก็บของเช็คเอาต์ออกจากห้องพัก ของ เลอ เมริเดียน แกรนด์
ไปอย่างน่าเสียดาย และนั่นทำให้ผมลงมาทานอาหารเช้า ค่อนข้างช้า แต่ในเมื่อยังพอมีเวลาทาน และคาดว่าจะไม่ได้ทานอะไรเพิ่มเติมตลอดทั้งวัน
ดังนั้น การตุนอาหารไว้ในท้องให้มากที่สุดเท่าที่พอจะรับไหว จึงจำเป็นยิ่ง



เมื่อทานเสร็จแล้วผมก็ออกจากห้องอาหารที่เห็นอยู่นี้ เดินลงบันไดวน มาพบกับทุกๆคน พร้อมกระเป๋าสัมภาระ ที่ถูกทะยอยขนขึ้นรถบัสไปบ้างแล้ว
และเราก็พร้อมจะออกเดินทาง บนเส้นทางเดิมอีกครั้ง จาก โอไดบะ สู่ มาคุฮาริ เมสเสะ เพียงแต่ว่า วันนี้ มีบางสิ่งที่ น่าสนใจและอยากจะให้ชมกัน
ไม่มากนัก



วันนี้ กลุ่มไหนที่จะไม่ไปเข้างานโตเกียวมอเตอร์โชว์อีกรอบ
ก็จะมี กลุ่มพาไปทัวร์วัด ไหว้พระ และกินเทปปังยากิอร่อยๆกัน
ก่อนจะกลับมารอพบกันที่โรงแรมอีกครั้ง

แต่ ผมเลือกจะกลับเข้าไปในงานอีกครั้ง เพราะผมจะต้องเริ่มถ่ายรูปใหม่ตั้งแต่ต้นทั้งหมดอย่างที่ได้บอกไป

เช้านี้ ก็เจอรถแปลกที่ยากจะหาเจอแต่เช้ากันที่หน้าโรงแรมนั่นเลย

Subaru Legacy Blitzen ออกแบบแอโรพาร์ตรอบคัน โดย Porsche Design ผมไม่ทันเห็นหน้ารถ เลยไม่รู้ว่า เป็นรุ่นปีไหน
ที่แน่ๆ เก่ากว่าปี 2005 ก็แล้วกัน



อย่างที่เล่าไปแล้วใน ภาค 2 ว่า เมื่อออกจากโรงแรม ก็ต้องเลี้ยวซ้ายมาตามทางโค้ง หากตรงไปจากที่เห็นในภาพนี้ ก็มุ่งหน้าไปยัง
ตึก โตเกียว เทเลพอร์ต ศูนย์การเค้า พาเลตต์ ทาวน์ และศูนย์ Mega Web ของ Toyota รวมทั้ง ศูนย์แสดงสินค้าของ Panasonic

แต่เราเลี้ยวซ้ายอีกที อ้อมหลังโรงแรม มาเข้่าทางหลวงสาย 357
มุ่งหน้าสู่ทางด่วนยกระดับ Higashi-Kanto



แต่วันนี้ ขอนำภาพและมุมมองที่ต่างไปจากใน ภาค 2 มาให้ได้ชมกันบ้าง
เรียงตามจังหวะเวลาที่ได้พบเจอกันเลย

ที่สี่แยก Ariake 2 ผมเจอ Suzuki Swift ใหม่ อยู่บนเทรลเลอร์ แต่ละคัน น่าจะจดทะเบียนพร้อมกัน เพราะมีเลขป้ายทะเบียนต่อเนื่องกัน

รูปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะชี้ให้ดู Nissan Skyline V35 ซีดาน
หากแต่อยากให้เห็น Bentley Flying Spur คันทื่แล่นสวนมานั่นต่างหาก!

——————–

15.30 น.

เราเดินทางออกจากศูนย์แสดงสินค้า มาคุฮาริ เมสเสะ กันค่อนข้างตรงเวลา
เพราะนอกจากเราจะต้องเดินทางไปยัง เมือง Utsunomiya ที่มีระยะทางห่างไกล
จากกรุงโตเกียว ราวๆ 130 กิโลเมตร แล้ว
เรายังต้องไปรับชาวคณะในกลุ่มเพื่อนของเราที่โรงแรม เลอ เมริเดียน แกรนด์
นั่นทำให้เราต้องย้อนกลับไปที่โรงแรมกันอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย

รถอีกรุ่นที่เราจะพบได้บ่อยพอสมควรในโตเกียว ช่วงนี้ คือ Nissan Fuga
อันเป็น ซีดานขับล้อหลังขนาดใหญ่ คู่แข่งกับ Honda Legend และ Toyota Crown และสืบทอดสายพันธุ์มาจาก Nissan Cedric และ Gloria นั่นเอง

ถ่ายมาหลายคัน แต่ที่น่าลงให้ดูที่สุด ก็คงจะเป็นคันนี้

ทำไมหนะหรือ?

ดูเลขป้ายทะเบียนสิครับ

จงใจหรือเปล่าละนั่น?

เราเข้าสู่เลนคู่ขนาน ออกจากระบบทางด่วนเรียบร้อยแล้ว มุ่งหน้ากลับมายัง
ย่าน Ariake แล้วจึงจะเข้าสู่ Odaiba

บังเอิญจังหวะสายตาพอดี ที่ได้ไปเห็น ความไม่มีวินัยของ ผู้ใช้รถใช้ถนน บางคนในญี่ปุ่น เป็นครั้งที่สองพอดี

Nissan Wingroad คันนี้ และ Toyota Estima Lucida
2 คันนี้ หยุดรถ ติดไฟแดง เกินกว่าเส้นทึบที่กฎหมายจราจรกำหนด
เหตุเพราะไม่สามารถ เชื่อมตัวเองสู่แยกติดพันกันกับการจราจรก่อนหน้านี้สักเล็กน้อย

ถ้าเรามุ่งหน้าตรงไป ก็จะลงอุโมงค์ ข้ามอ่าว Tokyo Bay
แต่ เราจะเลี้ยวขวากลับไปที่ สี่แยกห้างสรรพสินค้า่ DECKS และศูนย์เกม JoyPolis ของ SEGA และโรงภาพยนตร์ Mediage
เพื่อเลี้ยวซ้าย ผ่านตึก Fuji Television แล้วก็กลับเข้าไปยังโรงแรมอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อกลับมารอหน้าโรงแรม
ลุงคนขับรถ ดุมาก! กะอีแค่จะเข้าห้องน้ำ ยังโบกมือเลยว่า เข้าไม่ได้
ห้องน้ำบนรถไม่ดี

เราเลยปรึกษากันว่า จากนี้ ต้องแวะพักซื้อน้ำเปล่าลังใหญ่ สักลังหนึ่ง
และอาจต้องมีแวะพักที่ จุดพักรถต่างๆกลางทางกันอีกครั้งหนึ่ง

(Lexus LS460 คันนี้ จอดรออยู่หน้าโรงแรม เห็นว่า มุมสวยดี เลยถ่ายมา)


ส่้วนคันนี้ Nissan Stegea รุ่นที่ 2

หรือจะเรียก Skyline Wagon ก็ว่าได้ เพราะข้าวของต่างๆมันก็ยกชุดมาจับใส่ใน Skyline V35 นั่นละ

ในเขตโอไดบะนี้ มีรถ Shuttle Bus ไว้คอยบริการด้วย

สนใจรายละเอียด ก็ไปดูในเว็บไซต์ของเขาเอาเองแล้วกัน

เรามาแวะ คอนวิเนียนสโตร์ กันที่แถวๆ ใต้สถานีรถไฟ Monorail Yurikamome สถานี Odiaba-Keihin

เห็นร้านข้าวหน้าเนื้อย่าง Yoshinoya แล้วอยากกินขึ้นมาเหมือนกันแหะ
เคยทานกันเมื่อครั้ง มาญี่ปุ่นครั้งแรก ปี 1999
แล้วจากนั้นก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสแตะต้องกันอีกเลย

สาขาในเมืองไทยก็ปิดตัวลงไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ ในช่วงวิกฤติการณ์เชื้อวัวบ้าระบาดเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้น
Yoshinoya ถึงขั้นต้องทำข้าวชามสุดท้าย ส่งให้ลูกค้า ต่อหน้างานแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนว่า
ทางร้านจะไม่มีเนื้อวัว ให้บริการอีกพักใหญ่ๆ จนในที่สุดสถานการณ์ก็กลับคลี่คลายเป็นปกติ

เอาละครับ ตอนนี้ เราได้เวลาเดินทาง ย้อนกลับมาขึ้นทางด่วน สาย 357 Higashi-Kanto อีกครั้ง

Mazda CX-7 คันนี้ เป็นหนึ่งใน 2 คันที่ได้เห็นตลอดทริปครั้งนี้

Renault หรือเรโนลต์ ที่คนไทยเคยรู้จัก ยังคงดำเนินกิจการค้าขายรถยนต์ในญี่ปุ่นต่อไป
ภายใต้การดูแลของทาง Renault-Nissan
ด้วยความมั่นใจของลูกค้าที่ยังคงมีอยู่ แม้ยอดขายจะยังเป็นรองหลายๆแบรนด์
แต่รถก็ยังติดตลาดอยู่ในใจของลูกค้าที่งบไม่มาก แต่รสนิยมวิไล
ชอบใช้ของจากยุโรป

ผิดกับ Opel ที่ท้ายสุด GM ตัดสินใจ ยุติการทำตลาดรถยนต์แบรนด์นี้ในญี่ปุ่น
อาจกล่าวได้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศสุดท้ายในภูมิภาคเอเซีย ที่แบรนด์โอเปิล
ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อ 1-2 ปีก่อน อันมีปัญหามาจาก
การออกแบบตัวรถที่ไม่้โดนใจ คุณภาพการประกอบ ที่ไม่โดนใจคนญี่ปุ่นนัก บริการหลังการขายที่มีแต่เสียงบ่น และสถานการณ์ความมั่นใจของลูกค้ามีไม่มากเท่าที่ควร



Toyota Succeed เป็นรถสเตชันแวกอนอีกรุ่นหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนิยบมซื้อมาใช้ในงานกิจการธุรกิจกัน
มันเป็นฝาแฝดกับ Toyota Probox เลยเกือบจะไม่ผิดเพี้ยน



ถึงจุดนี้ เราจะเข้าเลนซ้าย ที่ แยก Tetsumi Junction เพื่อจะเลี้ยวซ้ายไปออกทางด่วน สาย Tohoku อันเป็นทางด่วนที่พาเรามุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือ
มุ่งหน้าออกทาง Mukojima หรือ Hakozaki



ตรงไปอีกนิด คุณจะพบว่า ที่นี่ แม้แต่บนทางด่วนแบบนี้ ยังมีจุดแวะพักสำหรับคนเดินทางกันเลย



และจุดแวะพักของเขา นอกจากจะมีห้องน้ำแล้วยังมีตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ หรือ Vending Machine ตั้งเอาไว้ เผื่อใครกระหายน้ำ

ส่วนใหญ่ ราคา 120-140 เยน โดยประมาณ



ปกติแล้วเราจะพบเห็นรถหรูอย่าง Toyota Century ได้ไม่บ่อยครั้งนัก สำหรับรถเครื่องยนต์ V12 5,000 ซีซี สำหรับเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นเขา

ปกติถ้าจะพบ มักเป็นสีเดียวคือสีดำ

แต่วันนี้ เห็นสีอื่นแล้วในที่สุด คือสีเงิน….



ส่วนสีดำ? ยังไม่ทันที่ เซ็นจูรี สีเงินจะลาลับสายตาเราไป คันสีดำก็โผล่ออกมาจากทางเชื่อมระบบทางด่วนอย่างน่าตกใจ

เวลาเปิดฉากเร่งแซงต้องระวังขึ้นมาบ้างนิดหน่อยเหมือนกัน

เมื่อเราเข้าโค้งซ้ายมาแล้ว…..เราก็มุ่งหน้าตรงไปตามทาง
ในตัวเมืองโตเกียวนั้น ทางด่วนจะมี 2 เลนเป็นหลัก
จนถึงช่วงทางแยกจึงจะทำทางแยก ทางลง เป็นกิจลักษณะ

บอร์ด แจ้งสภาพการจราจร

บอร์ด แบบนี้ในบ้านเรา จะว่าไปแล้ว
ก็ไำด้รับอิทธิพลมาจากฝั่งญ๊่ปุ่นนั่นละครับ ส่วนใหญ่

ที่รู้ๆคือ เราอาจต้องเผชิญชะตากรรมรถติดยาวๆ…..บนทางด่วนในโตเกียว?

จากนั้น จะเข้าสู่โค้งขวา ที่มีทางลงไปยัง ดินแดนเครื่องไฟฟ้า Akihabara
อยู่เลนขวา ไม่ต้องสนใจครับ ขับตรงต่อไปตามทาง

ถึงจุดนี้เรากำลังนั่งรถอยู่เหนือระดับของแม่น้ำ Sumida อันเป็นแม่้น้ำ
ที่พาดผ่านกรุงโตเกียว และมีทัศนียภาพสวยงาม

ฝั่งซ้าย เป็นทางลงทางด่วน สู่ ย่าน ชินจูกุ ที่คุ้นเคย

ขณะเดียวกัน ทัศนียภาพ ฝั่งซ้ายของเรา จะเป็นอาคารขนาดใหญ๋ ตั้งอยู่ใจกลางคุ้งน้ำ

ถัดไปอีกนิด ก็เป็นอาคารสำนักงาน….

เราลงทางด่วนกันมา เพื่อหาที่ เลี้ยวกลับ

ทางด่วนที่นี่ ถือว่าค่้อนข้างดีมาก ที่เปิดโอกาสให้สามารถเลี้ยวกลับไปยังเส้นทางที่ต้องการได้

หากตรงไป ก็จะัไปออกที่ Hagozaki

แต่ เราเลือกที่จะเลี้ยวกลับไปยังระบบทางด่วนเส้นเดิม

ระหว่างนั่งรถลัดเลาะมาตามทางเลี้ยวกลับยกระดับแบบนี้…
ก็ได้พบเห็นว่า บ้านแบบญี่ปุ่นดังเดิมดีไว้มากเลย

โผล่ขึ้นมาจากด้านล่าง มาสูดอากาศข้างบนกันต่อดีกว่า
พอพ้นทางโค้งขวาข้างหน้าแล้ว…

รถบัสของเราจะมุ่างหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 6
ซึ่งเป็นทางด่วน สายที่ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำ Sumida

สะพานข้ามแม่น้ำ Sumida นั้น มีหลายแห่งด้วยกัน
หลักๆแล้ว มีขึ้นเพื่อช่วยระบายการจราจรไปได้เปลาะหนึ่ง

บางแห่ง สร้างด้วยแรงบันดาลใจจากชาวยุโปแน่ๆ

แต่ในบางแห่ง ก็มีความแตกต่างกันในด้านงานออกแบบอย่างที่เห็นกันอยู่

ที่เห็นอยู่ลิบๆ นั่นคือ สำนักงานใหญ่ บริษัท BAN DAI ผู้ผลิตของเล่น และเกมส์ รายใหญ่ของญี่ปุ่น

ขับตรงมาเรื่อยๆ จะพบ ตึกสำนักงานใหญ่ของบริษัทเครื่องดื่ม ASAHI
ซึ่งเติบโตมาได้จากการผลิตเบียร์ และอาคารแห่งนี้ ถูกสร้างให้มีลักษณะของแก้ว
ที่มีฟองเบียร์อยู่ด้านบน ส่วนน้ำเต้าสีทองนั้น แทนความหมายถึงหยดเบียร์ นั่นเอง

ศูนย์ River Side Sport Center…..สะพานที่เชื่อมทางเดินเข้าหากัน ทำเป็นรูปโค้ง

จากจุดนี้ เราจะเริ่มสังเกตป้ายบอกทางกันให้ละเอียดยิ่งขึ้น แม้ว่าสิ่งที่ต้องทำ มีแค่ขับรถตรงไปอย่างเดียวก็ตาม

ทางลง Tsusumidori

แม้ว่าป้ายบอกทางจะดูน่าสับสน แต่เราก็จะยังคงตรงไป
ไปตามทางหลวงหมายเลข 6 ทางด่วนสาย Tohoku
แต่ถ้าชิดขวาแล้วสามารถจะวกกลับไปยัง Bayshore Route ซึ่งจะเชื่อม
กลับไปยังทางด่วน Higashi-Kanto ก็แค่นั้นเอง

ถึงตรงนี้ แม่น้ำ Sumida จะเลี้ยวและคดเคี้ยวไปทางอื่นที่ไมไ่ด้เกี่ยวข้องกับทางด่วนสายนี้อีก

รถอีกรุ่นที่เราเห็นได้เนืองๆ
และผมอยากลองขับมาก แต่ไม่มีโอกาสสักที นั่นคือ
Honda Legend ใหม่ AWD

ระบบทางด่วนจะสับสนกันอีกเพียงไม่กี่ทางลงข้างหน้าแล้ว
และนี่คือทางแยกขนาดใหญ่

เราต้องตรงไปทาง Omiya หรือ Misato

ระหว่างนี้ ดูทิวทัศน์ ริมแม่น้ำยามเย็นจากฝั่งซ้ายมือของตัวรถ กันดีกว่า

ผู้หญิงคนนี้ ที่มุมซ้ายของรูป เธอยืนอยู่คนเดียว เดียวดาย กลางสนามเบสบอล

เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เธอคือใคร คิดอะไร และตั้งใจจะทำอะไร….

ได้แต่หวังว่า สิ่งที่เธอกำลังคิดต่อไป น่าจะเป็นเรื่องดีๆ

ระบบทางด่วนของญี่ปุ่น สับสนอลหม่าน และเชื่อมโยงกันเป็นใยแมงมุมขนาดไหน
ลองดูเอาได้ครับ จากความสูงของตัวช่องทางจราจร กับหลังคาบ้านคน

เมื่อมาถึงทางแยก แน่นอนว่า เราตรงไปทาง Omiya
และทางด่วนสาย Tohoku ที่จะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

แต่ ถ้าเกิดเลี้ยวผิดละ?

ระบบทางด่วนของญี่ปุ่น สับสนอลหม่าน และเชื่อมโยงกันเป็นใยแมงมุมขนาดไหน
ลองดูเอาได้ครับ จากความสูงของตัวช่องทางจราจร กับหลังคาบ้านคน



เรามีตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า
ถ้าเราจะไปทาง Omiya แต่ถ้าเราเลี้ยวผิดละ มันจะไปไกลถึงไหน?



ดู Toyota Corolla รุ่น ตัวถังแคบกว่าเมืองไทยคันนี้หน่อยเป็นไร



พอขึ้นทางแยกไปยัง Misato โดยใช้เส้นทางด่วนสาย Joban แล้ว…



หายวับ กู่ไม่กลับกันเลยจริงๆ



เรายังคงลัดเลาะไปบนทางด่วน ผ่านทางลง Senjushinbashi…..



สะพานข้ามแม่น้ำ สำหรับรถไฟ ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่



ข้างล่าง มีพื้นที่ว่าง และถูกจับจองคนกลายเป็น สนามเบสบอลไปเสียแล้ว



คนญี่ปุ่นนั้น รู้จักเบสบอลมาได้ไม่นานนัก
แต่เริ่มได้รับความนิยมกันในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา

และจนถึงปัจจุบัน



สภาพบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นนั้น หากเป็นในกรุงโตเกียว หรือชานกรุงโตเกียว
อย่างที่เห็นนี้ ต้องถือว่าแออัด ทว่า สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว
เขามีความพิเศษอยู่ตรงที่ วัฒนธรรมของเขา ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติต่างนาๆ
จนสามารถปรับตัวและอยู่อาศัยในพื้นที่อันเล็กแคบและจำกัดได้เป็นอย่างดี



ใครที่คิดจะซื้อรถยนต์ในญี่ปุ่นนั้น ที่สำคัญนอกเหนือไปจากการมีใบขับขี่สากล หรือบขับขี่ของญี่ปุ่น
ที่ต้องไปสอบอบรมกันสนุกสนานเลยทีเดียวแล้วนั้น

ยังต้องมีใบแสดงการครอบครองพื้นที่จอดรถไว้เรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้น
เขาจะไม่ยินดีให้คุณซื้อรถไปขับ



ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
แต่เรายังคงมุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆบนทางด่วนอยู่ดี

ไม่ว่าจะผ่านทางลง Ogiohashi



หรือจะตรงไปทาง Angyo…



แต่ที่แน่ๆ ทางแยกนี้ ไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่



จะให้ธรรมดาได้อย่้างไร
ดูรูปแบบโครงสร้างของสะพานก่อน…



ภาพนี้ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง ALWAYS
ตอนนี้ มีภาค 2 ออกมาแล้ว เตรียมหาชมกันได้ครับ



เรากำลังจะผ่านออกมาสู่ชานกรุงโตเกียวแล้ว และมาถึง 3 ทางลงสุดท้าย
ทั้ง Kaga Shingo และ Ankyo



แล้วในที่สุด เราก็เริ่มเข้าสู่ทางต่างระดับ Kawaguchi
ฝั่งซ้ายไป Misato ไป Oizumi และเชื่อมกับทางด่วนสาย Joban

ฝั่งขวา คือทางด่วนสาย Tohoku มทุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไปทาง Utsunomiya
อันเป็นจุดหมายของเรา



ถึงด่านเก็บเงินแล้วและจุดเริ่มต้นของทางด่วนสาย Tohoku อยู่ตรงนี้



ด่านเก็บค่าผ่านทางเป็นระบบ ETC เช่นเดียวกับที่ผ่านๆมา
และถ้าคุณผู้อ่านเห็นป้ายด้านข้างๆเลน จะเขียนว่า
ETC เลน จำกัดความเร็ว 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นั่นหมายความว่า คุณควรจะรักษาความเร็วในการแล่นผ่าน
ที่ 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้ไม้กั้นยกตัวขึ้นได้ทันทีที่อ่้านข้อมูลจาก
ระบบบัตรที่ติดตั้งในรถของคุณ



แต่พอเห็นป้ายบอกระยะทางแล้ว ก็แทบจะห่อเหี่ยวเหมือนกัน

อีกตั้ง 96 กิโลเมตร แหนะ!!



เอาวะ ยังอีกไกล แต่คงไม่เกิน 1 ชั่วโมงนัก…อดทนอีกหน่อยแล้วกัน…



รายการขับช้าแช่ขวา และพวกจี้ท้ายคนอื่น ใช่ว่าจะมีแต่ในเมืองไทยนะครับ

ในญี่ปุ่นก็มี
ดู Toyota Hiace Regius โดน Mitsubishi Colt Plus
คู่นี้ได้เลย
ฝ่ายหลังพยายามจะไล่บี้จะขึ้นแซงรถตู้ท่าเดียว



จุดแวะพักริมทางนั้น มีเป็นระยะๆครับ เพื่อลดความเมื่อยล้าขณะเดินทางไกล



ส่วนทางคู่ขนาน ก็มี Subaru R2 จองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว…



เราเดินทางกันมา 1 ชั่วโมงกว่าๆแล้ว
และสมควรจะแวะพักสักหน่อย
เราจึงเลือกแวะกันที่ จุดพักรถ Hankyu



หน้าตาของทางเข้าสุขา ข้างนอกก็โอเคดีอยู่ครับ



แต่ภายในนั้นพอสะอาดครับ แต่ไม่สะอาดมากอย่างที่คิด
มีอุปกรณ์สำหรับคุณพ่อ และคุณแม่ จะช่วยเหลือลูกน้องในการขับถ่าย ครบถ้วน
รวมถึงผู้ทุพลภาพอีกด้วย



ตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยปกติ ในญี่ปุ่น
แต่ในระยะหลังมานี้ เริ่มมีตู้ขายแบบ มีเกมส์ ดิจิตอลให้เล่น
คือถ้าเสี่ยงทายจากเครื่องแล้ว อาจได้รับสิทธิพิเศษ ฟรี อีก 1 ขวดหรือกระป๋อง

(ขอบคุณ คุณพิสันต์ หรือคุณกอล์ฟ จาก โพสต์ ทูเดย์ : นายแบบ)



ผมสังเกตเห็น รถมือสองอยู่หลายคัน ไม่แน่ใจว่า จะเอาไปขายต่อในจังหวัดอื่นๆ
หรือส่งไปชำแหละผ่าครึ่ง แล้วตีเข้าเมืองไทยเป็นอะไหล่ หรือเปล่า?
มีครับทั้ง Nissan Cube ปี 98 Mitsubishi Lancer Subaru Samba Dias Nissan Serena
Nissan March K11 Toyota Wish และ Mitsubishi Mirage Dingo

แต่จะว่าชำแหละขายคงไม่ใช่ เพราะรถเหล่านี้มีแค่ทำตลาดในญี่ปุ่นเท่านั้น แทบเกือบจะครบทุกรุ่น



เราออกเดินทางกันต่อครับ…อีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมายแล้ว



Toyota Blade คันนี้ ขับรถค่อนข้างงี่เง่าเหมือนกันครับ
คือ ขับช้าแล้วก็ กั๊กเลนไว้ ออกไปไหนไ่ม่ได้
ลุงคนขับรถเมล์ ก็โมโหเหมือนกัน….เลยต้องไปจี้ตูดเปิดไฟสูงไล่

เอ เหมือนคุ้นๆนะ ว่ามันเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในเมืองไทย



ใกล้ถึงแล้วอีกอึดใจเดียว ฟ้าเริ่มมืดมากเข้าไปทุกที



ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ อุตสึโนะมิยะ นี่เสียที



พอลงจากทางด่วน แน่นอนว่าต้องมีเก็บเงินค่าผ่านทางอีกรอบ

และเราก็ต้องมาลุ้นกับไม้กั้นผ่านด่านนี่อีกแล้ว
แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ไม่มีอุบัติเหตุ…

เมืองนี้ เขาต้อนรับเราด้วย…การจราจรติดขัดครับ….!



บรรยากาศในเมือง…บางส่วน

ตอนนี้เราดิ่งตรงเข้าไปยังห้องพักที่โรงแรมกันดีกว่า



เราเข้าพักกันที่ โรงแรม Higashi NiHon Utsunomiya…
อันเป็นโรงแรมเก่า ที่มีมานานแล้ว สังเกตได้จากกลิ่นในตัวอาคาร



มาดูห้องพักของโรงแรมนี้บ้างดีกว่า

บรรยากาศ เหมือนจะเล็กไปนิดนึงแต่ถือว่าพออยู่ได้สบายๆ

ข่าวในช่วงนั้น ที่ถือว่าโด่งดังมาก เห็นจะเป็นข่าวนักมวยปล้ำวัยรุ่น ที่มีพ่อซึ่งเป็นโค้ช สั่งสอนให้ทำผิดกติกา ในเชิงทำร้ายร่างกายคู่ต่อสู้
สังคมญี่ปุ่นถือเรื่องนี้มาก และเรียกร้องให้ออกมาขอโทษกันขนานใหญ่ ตัวพ่อและน้องชายเก็บตัวเงียบ จนพี่ชายต้องออกมาขอโทษเอง
และ..อย่างเศร้า นิ่ง จนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเศร้าอะไรได้ขนาดนั้น พ่อและน้องชาย ไม่ใช่ตัวเขาทำ แต่ด้วยท่าทางสำนึกผิดแบบนิ่ง ก้มหน้าร้องไห้
ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนต้องมีคนพาออกจากเวทีแถลงข่าว ทำให้เขาดูมีสภาพเหมือนเพิ่งไปฆ่าคนตายมากกว่าจะออกมารับผิดแทนน้องชาย…
น่าสงสารแหะ แต่ ตัวพ่อนั่น หน้าตาร้ายเอาเรื่องอยู่เลยทีเดียว ใบหน้าสไตล์เดียวกับคุณ ชุวิทย์ กมลวิศิษฐ์ แหะ



ส่วนห้องน้ำ

สุขภัณฑ์ที่นี่ ยังเป็นแบบมีระบบฉีดน้ำล้างก้นเหมือนกัน
แต่เป็นแบบมือบิด ให้ผู้ใช้เปิดน้ำเอาเองตามใจชอบ และต้องกดปุ่ม
ให้มี Indicator สีแดงขึ้นเรียบร้อยก่อน
จึงจะยืนยันได้ว่า น้ำร้อนพร้อมใช้งานแล้ว
ด้านซ้ายนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ของ Kao (คาโอ) ทั้งสบู่แชมพูและครีมนวด
อยู่ในนั้นครบ ขวามือเป็นเครื่องเป่าผมรุ่นโบราณกาล



กุญแจห้องที่นี่ ยังเป็นแบบลูกกุญแจแท้ๆ
และไขค่อนข้างยากพอสมควร
ส่วนสวิชต์เปิดไฟในห้องนั้น ต้องเอากุญแจไปวางไว้ที่แท่น ระบบไฟในห้่องจึงจะทำงาน



มื้อเย็นวันนั้นเราทานอาหารจีน ในโรงแรม แต่คงต้องบอกก่อนว่า ส่วนใหญ่แล้วอาหารจีน หรือฝรั่ง จะถูกประยุกต์ให้เป็นสไตล์ ญี่ปุ่นทั้งสิ้น

บรรยากาศภายในร้าน ก็ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรแปลกไป



มาดูอาหารจานแรกกัน

สลัดแซลมอน
ยังไม่มีอะไรพิเศษ…..



ซุบเยื่อไผ่….
ก็ โอเคนะ ใช้ได้



จานนี้งั้นๆ



จานนี้เริ่มอร่อยขึ้นแล้ว



จานนี้อร่อยมาก ที่สุดแล้ว



ข้าวผัด ก็ผัดในสไตล์ญี่ปุ่นๆ



ของหวาน ก็หวานแบบพอใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับโอเคนัก



คราวนี้ได้มีโอกาสจิบ สาเก ซึ่งเป็นสูตรพิเศษของเมืองนี้เลยทีเดียว

รสค่อนข้างแรงสำหรับผมแหะ ผมไม่ถูกกับแอลกอฮอลล์ เท่าไหร่ครับ



มื้อเย็นค่ำคืนนี้ หลายคนอาจจะยังไมค่อยอิ่มนัก
เลยมีการเสนอกันว่า ไปหาเกี๊้ยวซ่า ทานกันในตัวเมืองเถอะ

เราก็เลยยกโขยงกันออกมาหา แท็กซี่ กัน



มองเข้าไปในรถคันนี้ คนขับแท็กซี่ ทำผมทรง เอลวิส เพรสลีย์…

อึ้มมม เอางั้นเลยนะ!



แต่ไปๆมาๆ ทางโรงแรมก็ให้ Mercedes-Benz คันนี้ มาบริการพวกเรา

ไปส่งถึงในตัวเมือง



ลุงคนขับพาเรามาส่งถึงตัวเมือง ที่สถานีรถไฟ JR Utsunomiya



พอลงจากรถ เราก็เดินออกไปปากซอยนิดนึง…



เดินออกมาหน้าปากซอย จากจุดที่เราลงรถกัน นั่นคือ สถานีรถไฟ JR Rail
Utsunomiya ซึ่ง ขนาดของสถานีก็ค่อนข้างใหญ่โตเอาเรื่อง อยู่ทางขวามือ

จากตรงนั้นเรามองเห็นหลา่ยๆคนกำลังกลับบ้าน เด็กสาวบางคน แม่เพิ่งขับรถมารับ และหน้าตาก็งอตามสภาพอารมณ์ก็มี



เมื่อมองไปทางซ้าย บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองนี้ ก็มีอยู่ประมาณที่เห็นนี้
คือเป็นเมืองอยู่อาศัย รักสงบ…



และเมื่อมองมาทางซ้ายมือ หน้ัาปากซอยที่เรายืนอยู่นั้น ก็คือจุดหมายของเรา

ร้านเกี๊ยวซ่า ที่ตั้งใจจะมาทานกัน….



มาดูหน้าร้านกันสักนิดจะดีกว่า บรรยากาศก็ไม่ต่างจากร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นทั่วๆไป



เมนูร้านนี้ เขาถ่ายทำอย่างตั้งใจมากๆ

ราคา มิใช่เล่นเหมือนกัน
เพราะถ้าทานเปล่าๆ ก็ 400 เยน แต่ถ้ามีข้าวด้วย มาเป็นเซ็ต พร้อมซุป ก็เพิ่มเข้าไปเป็น 820 เยน



เนื่องจากร้า่น ค่อนข้างเล็ก พวกเราคนไทย ยกโขยงเข้าไปนั่งข้างใน คงมิได้แน่ๆ มันจะแออัดเต็มร้าน แถมตอนนี้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นเองก็แน่นร้านมากพอแล้ว เพราะร้านค่อนข้างเล็ก
เราเลยต้องใช้วิธี สั่งซื้อ แบบแพ็คกลับบ้าน มาทานกันข้างนอก

แต่กว่าจะใช้เวลาทอดเสร็จ ต้องรอนานพอสมควร
ดังนั้น เราจึงควรไปเดินเล่นกันก่อน



อยากบอกว่า "เด็กแว๊น" หนะ ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในเมืองไทย
บางคนอาจคิดว่า เป็นแค่เด็กวัยรุ่นไม่รู้จักคิด ขี่จักรยานยนต์ร่อนไปร่อนมา

แต่ผมว่า มาที่ญี่ปุ่นนี้ ผมก็เจอ "เด็กแว็นญี่ปุ่น" กับเขาเหมือนกันแหะ!

เพราะระหว่างเดินข้ามถนน เราก็ได้พบเห็น เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง พารถเชฟโรเลต
รุ่นเก่า วิ่งเลี้ยวขวาอ้อมออกไปอย่างรวดเร็ว ไปพร้อมๆกับที่ ลิงแว๊นเหล่านั้น กำลัง ร้องเพลงแร็พเต้นรำตามคะนองกันอยู่ในรถ

ใช่แค่ไทยที่จะมีเด็กแว๊น….ญี่ปุ่นเค้าก็มีนะ



ไม่เพียงแต่เราจะเห็นเด็กแว๊นกลุ่มนี้เท่านั้น
ยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง แต่กลุ่มนี้ ก็ตามประสาลิงทะโมน…
ที่จะถ่ายมาให้ดู ก็เพื่อให้รู้ว่า ชีวิตเด็ก ม.ปลายของญี่ปุ่นนั้น
ค่อนข้างเหนื่อยสาหัส เพราะกว่าจะเลิกเรียน ก็ต้องทำเวรตอนเย็น เสร็จราวๆ 4 ซ่า 5 โมง แล้วไหนยังจะต้องเรียนพิเศษกันต่อถึงช่วงดึกดื่น ประมาณ 3 ทุ่ม
บางรายหนักหน่อย ล่อเข้าไป 4 ทุ่ม ซึ่งก็ไม่รู้จะต้องเรียนดึกอย่างนี้อะไรกันนักหนา แต่พวกเขาก็เรียนกันหนักจริงๆ

หนักเสียจนบางคน ก็มีโดดเรียน กันตามประสา

เวลาที่ถ่ายภาพนี้ ประมาณ 3 ทุ่ม ครึ่ง ที่ญี่ปุ่น

และช่วงที่เห็นนี้คือ กำลังขี่จักรยานกลับบ้าน…

เด็กๆ และ ผู้ใหญ่อีกมากที่ญี่ปุ่น เลือกจะเดินทางไปไหนมาไหนในระยะใกล้ๆด้วยจักรยาน
ที่นั่น ส่งเสริมการใช้จักรยานพอสมควร

และการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกวิธีหนึ่ง ก็คือการหันมาใช้จักรยานนี่ละ!!



เอาละเมื่อข้ามถนนมาได้ ก็มาดูแหล่งช้อปปิ้งซื้อของ ของที่นี่กัน

ที่นี่ มีห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง

ซึ่งห้าง LaLa Square ก็จะมีข้าวของ และสาขาของห้างร้าน
อย่าง Big Camera และ ร้านราคาถูก Daiso มาเปิดสาขาที่นี่ด้วย



เดี๋ยวเราเดินขึ้นไปชมวิวข้างบนกันดีกว่า



ห้างสรรพสินค้าอีกแห่งอยู่ในตัวอาคารของสถานีรถไฟนั่นเอง ชื่อว่า PASEO

ชื่อเหมือนรถรุ่นหนึ่งในอดีตไม่เกิน 15 ปีมานี้เลย




รถแท็กซี่ มาจอดรอผู้โดยสารกันเยอะแยะ เป็นปกติของทุกที่ทุกเมืองในโลกที่มีผู้คนเยอะๆ
และมีบริการรถแท็กซี่



อีกสีสันหนึ่งของเมืองนี้ ก็คือ นักดนตรีวณิพก Street Musician
ซึ่ง ยังพอจะพบเห็นได้ที่นี่

เด็กคนนี้ ก็พยายามจะร้องโชว์พวกเรา แต่ มันไม่รู้เป็นเทรนด์ของเด็กวัยรุ่นที่นี่หรืออย่างไรไม่ทราบ
ที่จะต้องร้องแบบตะเบ็งเสียง โก่งคอร้องกันเสียงแหบเสียงแห้ง
แต่ ไม่ได้มีความกังวานกันเท่าไหร่

แต่เอาเถอะ เขามีความพยายามดีครับ ทุกคนฝันอยากจะเด่นจะดังด้วยกันทั้งนั้น
แต่ ฝีไม้ลายมือหนะ อีกเรื่อง และบุญพาวาสนาส่งนั่นก็อีกองค์ประกอบ



เราเจอกับคนไทย ที่ไปเรียนอยู่ในเมืองนี้
ซึ่งในตอนแรก ก็ทักทายพี่นักข่าวคนอื่นกันเป้นภาษาไทยน
แต่พอหลายๆคนเข้าไปรุมล้อมขอถ่ายรูปกับเขา
เจ้าตัวก็อาย เพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นก็ออกแนวเขินอายด้วยเป็นธรรมดา…



แต่ผมไปเจอนักดนตรีอิสระ อีกคนนึง
ซึ่งการร้อง ก็ใช้ได้ และก็พอมีแววจะดัง ถ้าเก็บประสบการณ์ฝีมือไปเรื่อยๆ

อย่างน้อยก็ร้องเพลง Sliding Door ได้ออกมาดีใช้ได้เลยทีเดียว



และนี่คือชื่อของเขา

เว็บไซต์ของเขา ก็คือ http://60.xmbs.jp/1537/



เอาละ ได้เวลา ไปรับเกี้ยวซ่า กันแล้ว
เราก็เดินลงจากสะพานลอย ไปรับมาทานกันนั่นละครับ

โอ้ รสชาติ โออิชิเดสสสสสส! อร่อยจัง
จะมีน้ำซุบอยู่ข้างในด้วย คล้ายๆ กับเสี่ยวหลงเปานั่นเอง
และเนื้อหมูก็หมักมาดีเลยทีเดียว



แต่…สำหรับซาลาเปานั้น..อย่าได้แตะเลยเขียวครับ…

นึ่งยังไม่สุกดี ก็ขายซะแล้ว…..รสชาติ ก็ งั้นๆ แหยะๆ



จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกัน ที่ได้เข้าไปนั่งเล่ีนในร้านปาจิงโกะ

ซึ่งวิธีการเล่น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า หยอดตังค์ หมุนลูกเหล็ก ให้มันไปตกในหลุมที่กำหนดไว้ ถ้าได้แจ็กพ็อต ลูกเหล็กก็จะไหลมาเทมา
และสามารถไปแลกเงินได้

แม่บ้านบางคน หาค่ากับข้าวด้วยวิธีนี้ก็มีนะ!



และนี่คือ Toyota Hilux 1 ใน 2 คันเท่านั้นที่ผมเห็นตลอดทริปญี่ปุ่นครั้งนี้

รถกระบะ แบบ 1 ตันขนาดเท่าที่บ้านเรานิยมนั้น
ที่นี่ วันนี้เลิกขายกันไปเกือบหมดแล้ว จะเหลือก็แค่ Mitsubishi Triton
ที่นำเข้ามาจากเมืองไทย เท่านั้น

นอกเหนือจาก Mitsubishi แล้ว Honda เอง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอีก 1 ใน 2 บริษัท ที่ส่งรถยนต์เข้ามาขายในญี่ปุ่นได้
นั่นก็คือ เจ้า City ZX นั่นเองครับ และก็มียอดขายได้เรื่อยๆ



แวะเข้่า เซเว่น อีเลฟเว่น ก่อนกลับโรงแรม

เซเว่นฯ ที่นี่ มีในสิ่งที่ผมอยากให้ในเมืองไทยมีมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ยักกะมีซะที

นั่นคือ ระบบเครื่องถ่ายเอกสาร บริการตนเอง

ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันตามชุมชนต่างๆ

แต่ ต้นทุนเครื่องถ่ายเอกสารบ้านเรา แต่ละเครื่อง ราคา เป็นแสนบาท
การเช่าซื้อ ก็น่าจะพอเป็นทางออกที่ดี


ฝั่งตรงข้าม เซเว่นฯ ก็เป็นสี่แยกอย่างนี้….ตอนกลางวัน บริเวณนี้คนค่อนข้างพลุกพล่านครับ



ที่นี่ มีที่จอดรถแบบคิดเงินอัตโนมัติ คือทันทีที่จอดรถ ระบบจะล็อกพื้นรถไว้อย่างที่เห็น คืออย่าได้คิดจะขับออกเลยถ้าจ่ายเงินไม่ครบ
เข้าไปในเครื่องหยอดอัตโนมัติ



ดึกแล้ว ได้เวลาเรียกแท็กซี่กลับโรงแรมแล้วละครับ
ก็ถือเป็นครั้งที่สองที่ผมได้นั่งแท็กซี่ที่นี่ ซึ่งราคาก็ ค่อนข้างสูงเหมือนกัน
ถ้าจ่ายเอง เล่นเอาจนได้

แต่ที่แน่ๆ…ถ้าคุณคิดว่า มิเตอร์ ของแท็กซี่ในบ้านเราราคาบางคัน มันไม่เท่ากันแล้ว

ญี่ปุ่นก็เป็นเหมือนกันครับ!!!

เรานั่ง Toyota Crown คันนี้ กลับมาถึงโรงแรม…
จากหน้าสถานีรถไฟ Utsunomiya

พร้อมกันนี้ยังเรียกแท็กซี่คันอื่นๆอีก 5 คัน
มี Toyota Crown และ Nissan Cedric อันเป็น 2 รุ่นยอดนิยม
สำหรับทำแท็กซี่ ที่ญี่ปุ่น



ชุดของคนขับแท็กซี่นั้น ต้องสุภาพเรียบร้อยแบบนี้ครับ
และคนขับต้องใส่ถุงมือสีขาวด้วย ใส่หมวก ผูกเนคไท เต็มยศ
รถต้องสะอาดตลอดศก จะสกปรกไม่ได้เลย

รถแท็กซี่ที่นี่ ติดแก้ส LPG เป็นหลักครับ รวมทั้งใช้น้ำมันด้วย แต่บางคันจะมีโผล่มาเป็น CNG หรือที่ปตท.บ้านเราเรียกซะวุ่นวายจนคนไทยสับสนว่า NGV นั่นละ



ภายในรถ หลักๆต้องมี มิเตอร์ แน่นอนละ วิทยุสื่อสาร อันนี้จำเป็นไม่แพ้กัน
ราคาเริ่มต้น อยู่ที่ประเภทรถ ถ้าทั่วไปอย่างคันนี้ก็ 660 เยน ครับ
และราคาก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ



และต้องมีข้อมูลระบุคนขับรถ ไว้เหมือนบ้านเรานั่นละครับ

ตอนนี้มาหยดรถกันแถวๆร้าน ปาจิงโกะ Super BOSS
ช่วงท้ายๆของ บทความทดลองขับ แอคคอร์ด ใหม่

http://www.caronline.net/Article.aspx?Article_id=117



ถ้าคุณเห็นรถคันไหน ติดสติ๊กเกอร์ เหลืองเขียวอย่างนี้

หมายความว่า คนขับ เป็นมือใหม่นะครับ เพิ่งออกถนนมา่ได้ไม่เกิน 1 ปี
ดังนั้น เขาอาจจะทำอะไรให้หงุดหงิดใจไปบ้างก็่ช่างเขาเถอะครับ



ร้านอาหารี่นี่ การตกแต่งร้านนั้น ค่อนข้างเชื้อเชิญให้น่าเข้าไปใช้บริการดีจริงๆ



ส่วนอันนี้ โชว์รูม ยันมาร์ ครับ

เสียดาย ไม่มี คูโบต้าจะได้ถ่ายมาให้ดูประกบกันไปเลย

อิอิ



ส่วนอันนี้ เป้นร้านขายจักรยานครับ

สังเกตว่า Bridgestone นั้น ไม่ได้ทำแค่ยางรถยนต์ครับ เขาทำจักรยานขายมาเป็นเวลานานแล้ว



เรามาถึงโรงแรมแล้วครับ…

ค่ารถ 1,200 เยน !

แพงเอาเรื่องเหมือนกันนะ

แต่ กับ Nissan Cedric อีกคันหนึ่งราคามิเตอร์ขึ้นมาแค่ 1,050 เยน เท่านั้นเอง!?



เอาละครับ แบบนี้ต้องสังเกตกันหน่อย

โตโยต้า คราวน์อีก 2 คันต่อมาก็ 1,300 เยน ทั้งคู่เลยครับ

สรุปแล้วมิเตอร์ ก็ยังมีเพี้ยนเหมือนกันทั้งไทยและญี่ปุ่น ครับ เป็นธรรมดา



เราเดินไปเข้าร้าน มินิมาร์ท ที่ชื่อ Save On กันก่อนเข้านอน

มินิมาร์ท ที่นี่ แทบจะทุกแห่งที่มีแผงหนังสือ จะมีการ์ตูนโปีเปลือย ขายกัน จนเป็นเรื่องปกติครับ



เอาละครับ ถึงล็อบบี้โรงแรมแล้วได้เวลาไปนอนเสียที

สำหรับวันที่ 26 ตุลาคมนั้น ทุกอย่างก็จะอยู่ใน บทความทดลองขับ แอคคอร์ดใหม่ครับ

http://www.caronline.net/Article.aspx?Article_id=117

และหลังจากนี้ เราจะเหลือเพียงแค่ เก็บตกจากญี่ปุ่นตอนที่ 4 ซึ่งจะพาคุณๆไปเที่ยวชมบรรยากาศดีๆกันบ้างครับ

(ติดตามตอนต่อไป)

Facebook Comments