การเดินทางของผมนั้นเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่หากครั้งนี้เป็นการเดินทาง ร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการรถยนต์ของไทย นั้นคือ ทริปไฮลักซ์รีโว่คาราวานทริปบทพิสูจน์จริงระดับโลก ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้นั้นจะเป็นการย้อนรอย การเดินทางของ มาร์โคโปโล นักเดินทางผู้โด่งดัง บนเส้นทางสายไหม
หากจะย้อนไปก่อนหน้านี้ ทางโตโยต้าเคยจัดคาราวานเส้นทางสายไหมจากไทยไปจนจบอุซเบกิสถาน ซึ่งเป็นส่วนนึงของเส้นทางสายไหมยังไม่ได้ไปจบบนแผ่นดินยุโรปอันเป็นบ้านเกิดของ มาร์โคโปโล
มาคราวนี้เลยเกิดทริปนี้ขึ้นด้วยระยะทางในการเดินทางกว่า 20,000 กิโลเมตรจากประเทศไทยไปสู่ เมืองเวนิส ประเทศ อิตาลี อันเป็นบ้านเกิดของ มาร์โคโปโล โดยใช้เวลาในการเดินทางด้วยการขับรถ ไฮลักซ์รีโว่ เป็นเวลา 45 วัน ซึ่งทางโตโยต้าได้จัดทัพผู้สื่อข่าวแบ่งเป็น 5 กลุ่ม รับหน้าที่ขับในแต่ละช่วง โดยแบ่งเป็นช่วงแรกคือ ไทยไปยังจีน ช่วงที่สอง จีนไปยัง อุซเบกิสถาน ช่วงที่สาม อุซเบกิสถาน ถึง อิหร่าน ช่วงที่สี่ อิหร่านถึงตุรกี ช่วงที่ห้าตุรกีถึงอิตาลี
สำหรับผมนั้นรับหน้าที่ขับรถในช่วงที่สองจาก จีน เข้า คีร์กีซสถาน แล้วไปจบที่ อุซเบกิสถาน เดินทางผ่านสามประเทศใช้เวลาในการอยู่กับรถ เก้าวัน กับระยะทางกว่า 3000 กิโลเมตร แต่หากนับรวมวันเดินทางด้วยแล้วผมต้องจากบ้านนานถึง 12 วันสำหรับทริปนี้
แน่นอนครับการเดินของกลุ่มที่สองเริ่มต้นที่สนามบินสุวรรรณภูมิเพื่อนั่งเครื่องบินไปยังประเทศจีน ลงเครื่องที่ ปักกิ่ง แล้วจึงต่อเครื่องไปยังเมือง Dunhuang (ตุนหวง) อันเป็นสถานที่เริ่มต้นของการเดินทางของกลุ่มสองซึ่งจะมาเปลี่ยนมือกับกลุ่มแรกที่จะจบภาระกิจที่เมืองแห่งนี้
แค่เริ่มเดินทางก็สนุกแล้วครับเริ่มจากเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน AIR CHINA ให้โหลดกระเป๋าได้แค่คนละ 1 ใบเท่านั้นและเมื่อไปถึงปักกิ่งแล้วต้องไปเอากระเป๋ามาเช็คอินใหม่ไม่สามารถ Check through ให้กระเป๋าไปรอปลายทางได้ ของพวกผมนะไม่เท่าไรเพราะมีแค่คนละใบแต่ของทีมงานนั้นมีข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆเยอะทีเดียวกว่าจะเคลียร์กันได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เสร็จแล้วยังไม่พอจะขอดูตั๋วกลับอีกไม่งั้นจะไม่ให้เช็คอิน กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็เสียเวลากันนานเลยครับ จะขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆในการเดินทางไปต่างประเทศครับโดยปกติถ้าถือวีซ่าท่องเที่ยวนั้น ต้องมีตั๋วกลับด้วยเพื่อเป็นการการันตีในระดับหนึ่งว่าคุณจะไม่หนีไปแอบทำงานในประเทศเขา
กว่าจะผ่านเข้าพิธีการต่างๆตรวจหนังสือเดินทางจนเสร็จก็แทบจะใกล้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว เราใช้เวลาบินจาก กรุงเทพไปยังปักกิ่ง ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที เครื่องออก 19.30 น. ถึงปักกิ่ง เวลา 01.05 น. หลังจากบินไปได้สักพักก็มีการ เสิรฟ์อาหาร กันตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ค่อยปกตินั้นคือสถาพอากาศที่มีความแปรปรวน มีตกหลุมอากาศกันเป็นพักๆ ทางกัปตับประกาศให้คาดเข็มขัดและอย่าลุกจากที่นั่ง
จนแล้วจนรอดก็ได้เวลาที่เครื่องจะลงจอด กัปตันประกาศจะนำเครื่องลงจอดทั้งสองภาษานั้นคือภาษาจีนกับภาษาอังกฤษ เครื่องลดระดับลงเรื่อยๆจนเห็น รันเวย์ของสนามบิน ด้วยความที่ครั้งหนึ่งของผมนั้นเคยบินมาลงที่ปักกิ่ง เริ่มรู้สึกแอะใจ มันไม่คุ้นเลยนี่หว่า ผ่านไปสักพักเครื่องก็จอดสนิท พวกผมก็เตรียมตัวที่จะลงจากเครื่องแต่ผิดคาดครับท่านผู้อ่าน เครื่องจอดนิ่งสนิทเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า จนสุดท้ายถึงมาทราบว่าลำที่เราโดยสารมานั้นจอดหลบพายุอยู่ที่ มองโกเลีย เพราะสภาพอากาศที่สนามบินปักกิ่งแย่มากไม่สามารถนำเครื่องลงได้
กว่ากัปตันจะพาพวกเราเดินทางมาถึงสนามบินปักกิ่งได้อย่างปลอดภัยก็เป็นเวลาประมาณ ตีห้า ซึ่งจะทำให้เรามีเวลาต่อเครื่องไม่มาก จากเดิมที่ต้องรอต่อเครื่องห้าชั่วโมง เมื่อถึงสนามบินปักกิ่งแล้วก็รอกระเป๋าก่อนที่จะไปเช็คอินใหม่อีกรอบเพื่อต่อเครื่องภายในประเทศไปยังเมือง Dunhuang ซึ่งกว่าจะผ่านด่านตรวจเช็คเรื่องความปลอดภัยของสนามบินก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันตรวจละเอียดมาก และขอแนะนำไว้ก่อนนะครับสำหรับสมัยนี้ที่พก powerbank กัน ที่ตัวpowerbank ต้องมีระบุว่ามีความจุเท่าไร ถ้าไม่มีทิ้งอย่างเดียวครับ
จากปักกิ่ง ไปยังเมือง ตุนหวง นั้นใช้เวลาบินประมาณสามชั่วโมง พอขึ้นเครื่องได้ก็ขอหลับต่อซะหน่อยได้หลับไปหน่อยก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกครั้ง อยู่ๆก็มีผู้โดยสารเกิดอาการป่วยขึ้นมาครับทีนี้แอร์ก็วิ่งกันวุ่นเลยเพื่อที่จะช่วยดูอาการของผู้โดยสารที่ป่วยอยู่ จนถึงขนาดว่าประกาศหาว่าในเที่ยวบินนั้นมีหมออยู่บนเครื่องรึเปล่า โชคดีครับปรากฏว่ามีหมออยู่ในเที่ยวบินนี้ด้วย จนถึงเครื่องลงกัปตันก็ประกาศอีกครั้ง ว่าขณะนี้มีผู้ป่วยอยู่บนเครื่องต้องได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างเร่งด่วนขอความกุรณาให้ทุกท่านนั่งประจำที่ก่อน ให้ผู้ป่วยลงก่อนแล้วถึงจะเป็นคิวของผู้โดยสาร
กว่าจะออกจากสนามบินทำทุกอย่างเรียบร้อยก็ประมาณเกือบๆ 11 โมง เมื่อคณะพร้อมก็เดินทางมุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พักเพื่อเช็คอินและจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนจะลงมารับประทานมื้อเที่ยงกัน และในช่วงบ่ายนั้นและจะไปแวะชมสถานที่อันขึ้นชื่อของเมือง ตุนหวง นั้นคือทะเลทรายครับ จะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามต่อในตอนหน้าครับ
premsak@caronline.net
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…