หลังจากการเปิดตัวมาจะครบปีแล้วเจ้าฟอร์ดเฟียสต้านั้นก็ยังคงมีกระแสการตอบรับที่ดีอยู่จนเรียกได้ว่าเป็นตัวสร้างยอดให้กับทางบริษัทแม่ให้เป็นปลื้มอยู่ได้ไม่น้อยเพื่อไม่ให้กระแสของเจ้าเฟียสต้านั้นตกไปและก็มีคำถามกับเจ้าของผู้ใช้รถรุ่นนี้อยู่หลายๆท่านว่าเล็กๆแบบนี้จะเดินทางไกลไหวไหม ประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ จึงเกิดการจัดทริปนี้ขึ้นมาโดยทางฟอร์ดได้เชิญผู้สื่อข่าวกว่า40คนมาร่วมเดินทางในครั้งนี้ โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มซึ่งผมอยู่ในกลุ่มแรก
เรานัดพบกันเช้าวันอังคารที่7มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ปั้มน้ำมันป.ต.ท.ริมถนนวิภาวดีแม้ว่าจะออกจากบ้านเผื่อเวลาไว้ให้ไปทันนัดตอนแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม แต่กว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดบนถนนลาดพร้าวก็ไปถึงสายอยู่เล็กน้อยเพราะคืนก่อนหน้านั้นมีฝนตกลงมาในช่วงเช้ามืด เมื่อมาถึงที่นัดก็พบกับรถฟอร์ดเฟียสต้าจอดเรียงรายอยู่ทั้งหมด10คัน ซึ่งมีทั้งรุ่นสี่ประตูละห้าประตูเรียกได้ว่ามาครบเกือบจะทุกสีกันเลยทีเดียว
เมื่อคณะมากันเกือบจะครบแล้วเราก็เข้ามาบีบกัน เอ้ยบรีฟข้อมูลของเส้นทางที่เราจะใช้กันในวันนี้
โดยเส้นทางในช่วงแรกเป็นการขับแบบอิสระหรือที่พวกผมจะเรียกกันว่า free run ให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารครัวท่าน้ำอ้อยสาขา2 รถแต่ละคันนั้นที่ทางทีมงานเซ็ตมาให้นั่งคันละสองคนมีผมกับพี่กบคุณ รชฎ สุวรรณรัตน แต่ว่าผมนั้นต้องรอผู้ร่วมเดินทางอีกคนที่พี่น้องในวงการสายรถยนต์อาจจะเรียกว่าเจ้าแม่พริตตี้มอเตอร์โชว์เมืองไทยก็ว่าได้ เพราะรู้จักพริตตี้เกือบทุกคนในงานมอเตอร์โชว์นั้นคือคุณปุ้ย ชลิดาแห่งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการทำให้ในช่วงแรกนั้นมีกันสามคน
อ้อลืมบอกไปนะครับว่ารถที่ใช้กันในครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปหมดเครื่อง 1.6 ลิตรเกียร์เพาว์เวอร์ชิพ 6 สปีดทั้งรุ่นสี่และห้าประตู ผมได้รถหมายเลข 6 เป็นรุ่นห้าประตู เมื่อก้าวขึ้นรถปรับตำแหน่งที่นั่งต่างๆให้เข้าที่เข้าทางแล้วแม้จะลำบากอยู่เล็กน้อยเพราะที่ปรับพนักพิงหลังมันเป็นแบบหมุน ออกจากปั๊มน้ำมันเราก็ขึ้นโทลล์เวย์แล้วก็เริ่มใช้ความเร็วกันเลย การทำงานของเครื่องยนต์นั้นให้ความรู้สึกดีไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอัตราเร่งที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรสู้กับพรรคพวกในกลุ่มได้เลย เผลอๆอาจจะดีกว่าเขาด้วยซ้ำไป หากเพียงแต่ว่าการเปลี่ยนเกียร์มีการกระตุกอยู่บ้างในบางจังหวะ เช่นช่วงออกตัวแล้วกดคันเร่งจนมิดเลยแต่ไม่เป็นไรครับท่านผู้อ่านที่เป็นเจ้าของรถอยู่ตอนนี้ ทราบมาว่าจะมีการปรับปรุงโปรแกรมของเกียร์ใหม่แต่ได้แค่บางโชว์รูมเท่านั้นคาดว่าคงจะครบทุกโชว์รูมในไม่ช้านี้
ความเร็วที่เหมาะสมสำหรับรถคันนี้นั้นแนะนำว่าไม่น่าเกิน 140-150 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากเลยความเร็วนี่ไปแล้วจะเริ่มเครียดได้ในการควบคุมรถ แม้ว่ารถนั้นยังวิ่งไปได้ถึงประมาณ190กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ตาม ช่วงล่างนั้นซับแรงกระเทือนได้ค่อนข้างดีสังเกตจากการสั่นของน่องและช่องท้อง ระบบเบรกแบบหน้าดิสก์หลังดรัมที่มาพร้อม ABS EBDแถมยังให้ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ที่สามารถตรวจจับสัญญาณของรถเมื่อสูญเสียการทรงตัว และจะส่งแรงเบรกไปยังแต่ละล้อแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยควบคุมเสถียรภาพของรถ นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกัน ล้อหมุนฟรี (traction control)
ระหว่างทางนั้นสิ่งที่ชวนให้เราสามคนที่อยู่บนรถนั้นเครียดหรือชวนปวดหัวปนหัวเราะนั้นเป็นฟังค์ชั่นที่มีอยู่บนรถนั่นคือระบบการสั่งงานด้วยเสียงที่เราสั่งไปแล้วไม่ทำงานตามที่สั่งหรือสั่งแล้วเป็นอย่างอื่นไปเช่นสั่งให้เล่น cd playerแต่เจ๊ดันทวนออกมาว่าเป็น radio เล่นเอาฮาอยู่กันสามคนบนรถขำกันจนกระทั่งน้ำตาเล็ดกันเลยทีเดียว (ได้สอบถามไปทางเจ้าหน้าที่ของฟอร์ดในเรื่องระบบเสียง ปรากฏว่าสำเนียงของผู้ออกเสียงสั่งงานยังไม่ชัดเจน และอีกอย่างหนึ่งรถทดสอบจะเปลี่ยนผู้ขับอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความจำของระบบสั่งงานด้วยเสียงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา แต่ถ้าเจ้าของรถขับคนเดียว แล้วออกเสียงสำเนียงภาษาอังกฤษให้ชัดเจนก็จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด:: ธัญญลักษณ์ :: ) ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงกว่าๆเราก็เดินทางมาถึงจุดนัดหมายร้านครัวท่าน้ำอ้อยรับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่เสร็จแล้วเราก็จะเริ่มการขับประหยัดน้ำมันกัน
โดยแวะเติมน้ำมันกันให้เต็มถังใช้วิธีเติมจนหัวจ่ายตัดแล้วทิ้งไว้หนึ่งนาทีแล้วเติมต่อจนมันตัดอีกครั้งแบบนี้ทุกคันกติกาในกลุ่มแรกนั้นไม่ได้เข้มงวดข้อกำหนดต่างๆนั้นก็ไม่มีอะไรมาก แล้วแต่วิธีการของแต่ละคันที่จะทำกันและไม่ได้กำหนดเวลาที่ใช้ด้วย ถือว่ากลุ่มแรกนั้นเล่นกันแบบขำๆมากกว่าเพราะตัวเลขที่จะใช้จริงในการโฆษณานั้นมาอยู่ในกลุ่มที่สอง เขามีวิธีการยังไงเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังกันครับ หลังจากเติมน้ำมันเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางต่อโดยที่พี่กบขอเป็นคนขับเองผมเองก็ไม่ปฎิเสธครับยื่นกุญแจรถให้อย่างโดยดี
การขับประหยัดน้ำมันนั้นอย่างที่เราๆทราบกันดีอยู่ว่าต้องทำยังไงไม่ว่าจะในเรื่องของการบรรทุกสิ่งของต่างๆที่ไม่จำเป็นนั้นต้องเอาออกไปเพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาที่สุดจะได้กินน้ำมันน้อยลง ลมยางต้องเติมให้เหมาะสมไม่อ่อนจนเกินไปแล้วก็ไม่แข็งจนเกินไปแม้ว่าจะเติมลมเยอะนั้นจะช่วยให้กินน้ำมันน้อยลงแต่รถมันจะกระเทือนมากขึ้นรวมถึงเสี่ยงต่อการที่ยางจะระเบิดด้วยอีกอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึงนั้นก็คือต้องเรียนรู้ถึงระบบต่างๆของรถแต่ละคัน ไม่เสมอไปว่าขับ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้วจะประหยัดที่สุดต้องดูรถคันที่ใช้งานด้วย เฟียสต้าก็เช่นกันความเร็วที่ประหยัดที่สุดอยู่ที่ 78 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบเครื่องให้อยู่ในช่วง 1700-1800 รอบโดยที่ต้องให้เกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์6หรือเกียร์สุดท้ายด้วย น่าเสียดายอยู่นิดนึงถ้าหากเจ้าเฟียสต้ามีโหมดเกียร์แบบ +, – มาใช้เชนจ์ได้จะขับแบบประหยัดน้ำมันได้ง่ายขึ้นระยะทางไม่ถึง200กิโลเมตร แต่ที่เป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุดแม้จะเป็นแค่คนนั่งก็ตามนอกจากการเดินคันเร่งให้คงทีแล้วยังเปิดกระจกแบบแง้มๆ ปิดเครื่องปรับอากาศจนถึงขนาดปิดวิทยุในรถก็ตามเรียกได้ว่าทำทุกอย่างเพื่อให้ใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด ไม่เหลือแม้การขับตามหลังรถบรรทุกเพื่อไม่ให้ต้านลมมากเรียกได้ว่างัดเอาทุกอย่างออกมาใช้กันเลยระยะทางประมาณ 146 กิโลเมตรซึ่งปกติแล้วชั่วโมงนิดๆก็น่าจะถึงแต่ว่าการขับประหยัดนั้นใช้เวลาอีกเท่าตัวเรียกได้ว่าถึงกับเหนื่อยเลยเมื่อถึงจุดแวะเติมน้ำมันซึ่งผลการเติมน้ำมันกลับไปนั้นใช้น้ำมันเพียง 5.23 ลิตรเท่านั้นเองเมื่อหารออกมาแล้วเฉลี่ยได้ 27.91 กิโลเมตร/ลิตร กันเลยทีเดียวซึ่งถ้าเราคิดเล่นๆนะครับถังน้ำมันของเจ้าเฟียสต้ามีความจุ 43 ลิตรนั้นน่าจะวิ่งได้เกินกว่า 800 กิโลเมตรกันเลยนับว่าประหยัดมาก แต่จะมีกี่คนที่ขับแช่อยู่ที่ความเร็ว 78 กิโลเมตร/ชั่วโมง จริงไหมล่ะครับท่านผู้อ่าน หลังจากนั้นเราก็มุ่งสู่เชียงใหม่จุดหมายปลายทางของทริปนี้ แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็มุ่งหน้ากลับกรุงเทพมหานครโดยสายการบินนกแอร์
ส่วนกลุ่มที่สองที่ต้องขับจากเชียงใหม่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพนั้นมีการเตรียมรถกันตั้งแต่เช้าโดยมีทั้งการวัดแรงดันลมยางให้เท่ากันทุกคันวิธีการเติมน้ำมันนั้นเหมือนกับที่ได้บอกไปในตอนต้นแล้วแต่ยังมีแถมด้วยฝาครอบกันการปรับแอร์ซึ่งมีสติกเกอร์ติดอยู่ด้วยซึ่งการขับของกลุ่มที่สองนี้มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครคอยดูแลอยู่ด้วยพูดง่ายๆกลุ่มที่สองนี้เป็นจากขับแบบการใช้งานจริงซึ่งผลออกมาดังนี้ครับ
เป็นอันว่าจบไปอีกหนึ่งทริปของปีนี้
########################################################
เรื่อง premsak@caronline.net
ภาพ ford
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…