Brand: HONDA Model: Accord
Year: 1995 Miles: 60001-80000
From: สุวสันต์ กิตติศุภกร
: VTiE
ผมเพิ่งซื้อรถคันนี้มาประมาณปลายเดือนตุลาคม 2545 ขณะนั้นเลขไมล็อยู่ที่ 76000 กม. ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีการแก้ไมล์ และเวาลาออกตัวรถมีเสียงดังอือๆๆๆ เมื่อความเร็วมากขึ้นเสียงก็หายไป ก็เลยให้ทางอู่เริ่มต้นใหม่ คือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค หัวเทียน สายพานทั้งหมด ปรากฏว่าเมื่อเปิดเครื่องออกมาพบว่า ฝาครอบสายพานใหญ่ และเล็ก แตกเสียหาย และละลาย มู่แร่ซึ่งเป็นเหล็กปิ่นเล็กน้อย ช่างก็บอกว่าสงสัยสายพานตีถูกฝาครอบ ก็เลยทำให้มีเสียง และทำการเปลี่ยนทั้งหมด รวมทั้งยางแท่นเครื่องด้านซ้ายซึ่งใกล้สายพาน แต่ไม่ได้เปลี่ยนมู่แร่ ซึ่งช่างบอกว่าไม่เป็นไร เมื่อเวลารับรถ ก็ยังมีเสียงเช่นเดิมคือเสี่ยงดังที่ห้องเครื่องเวลารถออกตัว ช่างบอกว่าน่าจะเป็นที่ยางแท่นเครื่องที่เหลือที่ยังไม่เปลี่ยน ขอให้มีเสียงดังมากกว่านี้ค่อยเปลี่ยน ซึ่งผมกังวนว่าสายพานจะไปตีฝาครอบอีก แต่ช่างยืนยันว่าไม่ตีแน่นอน และมู่แร่ที่ปิ่นไม่ต้องเปลี่ยน ไม่น่ามีปัญหา เพราะสายพานอยู่ในร่องของมันอยู่แล้ว รวมทั้งเมื่อเข้าเกียร์ซึ่งเป็นออโต้ D รถตอบสนองดี แต่ไม่เคลื่อนที่ ท้งเวลาประมาณ 4-5 วินาที ช่างบอกว่าถ้าปรับสายในเกียร์จะทำให้เกียร์เปลี่ยนจาก 1-2-3 เร็วและกะตุก รวมทั้งเปลืองน้ำมัน จึงไม่ทำให้ และเมื่อเวลาเบรคในช่วงแรกๆ มีเสียงเหมือนน้ำไหล กือๆ อึก ผมจึงเป็นกังวนมาก จึงรบกวนคุณธเนศร์ ช่วยวิเคราะห์ปัญหา และแนะนำผมด้วย ขอบพระคุณมากครับ
ผมค่อนข้างมั่นใจ ว่าคุณไม่ได้นำรถไปซ่อมที่ศูนย์บริการ และไม่ได้ซ่อมที่อู่บริการที่มีช่างฮอนด้าเฉพาะซ่อมให้ด้วย คงเข้าอู่ทั่วไปตามสะดวกมากกว่า เพราะที่ช่างทำให้นั้น ไม่น่าจะเป็นต้นเหตุของเสียงเลยครับ
อีกอย่างหนึ่ง คุณซื้อรถทั้งที ไม่ได้เปิดฝาครอบเครื่องยนต์ออกมาดูบ้างเลยหรือ ถึงเพิ่งมาเห็นเมื่อช่างเปิดฝากระโปรงดูเครื่อง
ยางแท่นเครื่อง ไม่ได้ทำให้เกิดเสียงหรอกครับ แต่จะทำให้เครื่องยนต์สั่นสะท้าน สั่นไปถึงพวงมาลัย เมื่ออยู่ในเกียร์ D และเดินเบาอยู่กับที่ครับ
เสียงที่ดัง ผมว่าจำเป็นจะต้องหาที่มาให้ได้ และควรหาว่า เวลาอยู่กับที่ แล้วเร่งเครื่องยนต์นั้น ดังหรือไม่ ถ้าไม่ดัง ก็จะต้องดูทางช่วงล่างด้วย คือผมไม่ทราบแน่ชัดหรอกครับ ว่าเสียงดังจากไหน ขนาดช่างอยู่กับรถ ยังหาที่ไม่ค่อยเจอ ผมอยู่ไกลครับ จะไปหาเจอได้อย่างไรกัน ต้องเดาเอาครับ แต่เผอิญวันนี้ ไม่อยากเดาเสียแล้ว
เรื่องเกียร์ ผมว่า ใกล้พังแล้วละครับ พูดตรงตรงว่า ผู้ใช้รถคนเก่า คงจะเปลี่ยนเกียร์จาก D ไป N แล้วกลับมา D ทุกครั้งที่จอดรอสัญญาณไฟเขียว และไม่รอให้เกียร์จับกันก่อนด้วย จึงทำให้คลัทช์สึกมากเกินไปแล้ว พอเขารู้ตัว ก็ตัดสินใจขายรถทิ้ง มาตกเป็นปัญหาของคุณ เท่านั้นเอง
ปัญหานี้ แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนชุดซ่อมเกียร์ ตกประมาณเกือบสองหมื่น หรือสองหมื่นกว่าบาท แก้ด้วยการปรับสายคันเร่งไม่ได้ และล้างเกียร์ ก็ไม่ให้ผลดีอะไรขึ้นมาเท่าไร
ชุดคลัทช์ที่สึกไปนั้น ก็จะเป็นผง แล้วผงนี่แหละครับ เข้าไปอุดตามช่องทางเดินของน้ำมันในสมองกลไฮดรอลิกของเกียร์ ทำให้น้ำมันเดินช้า และเมื่อน้ำมันเดินช้า การเข้าเกียร์ก็จะช้าตาม จากนั้น แผ่นคลัทช์ที่สึกไปมาก ก็ยังต้องการจำนวนน้ำมันมาก เพื่อไปดันให้คลัทช์จับตัวกัน นี่คือที่มาของเวลาที่คุณต้องรออยู่ในตอนแรกไงล่ะครับ
ล้างเกียร์ ช่วยได้เพียงเอาผงออกจากรูเล็กเล็กของทางเดินน้ำมัน แต่ไม่ได้ช่วยให้แผ่นคลัทช์ที่สึก งอกออกมาได้อีกแล้ว จึงบอกว่า ไม่มีทางแล้วครับ ต้องซ่อมใหญ่เกียร์
เบรก เสียงน่าจะมาจากปั๊มของ ABS ครับ ต้องลองปรึกษาศูนย์บริการดูครับ อาจจะซ่อมได้ แต่ก็แพงมาก-ธเนศร์
นายณัทธร ศรีนิเ…