เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 สถาบันแห่งนี้ ได้ออกประกาศให้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฮบริด สามารถติดตั้งเสียงเตือน เพื่อเป็นการเตือนคนเดินถนน ว่ากำลังมีรถวิ่งมา โดยกำหนดให้บังคับใช้สำหรับรถยนต์ใหม่ ภายในปี 2563
ข้อบังคับใหม่นี้ ผ่านสภาสหรัฐเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2553 กำหนดให้บรรดารถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ เทสล่า, นิสสัน และ เจเนอรัล มอเตอร์ ต้องติดตั้งอุปกรณ์กำเนิดเสียง ซึ่งจะทำงานเมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บของคนเดินถนน โดยเฉพาะผู้ที่ตาบอด
สถาบัน เพิ่งประกาศออกมาว่า เพื่อตอบสนองบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ ที่ต้องการให้ข้อบังคับนี้ ดังระบุว่า “รถยนต์ทุกคันจะต้องมีเสียงเตือน 1 เสียง” สถาบันต้องการความเห็นจากสาธารณะ ว่า “ควรจะจำกัดจำนวนเสียงที่ผู้ผลิตรถยนต์จะติดตั้งในรถยนต์ที่เงียบเหล่านี้ หรือต้องการให้จำกัดไว้ที่เท่าใด”
สถาบัน กำหนดให้ค่ายรถยนต์ที่เงียบเสียงทุกค่าย ต้องติดตั้งเสียงเตือนอย่างน้อย 50% ของรถยนต์ที่จำหน่ายนับแต่วันที่ 1 กันยายน 2563
นักวิเคราะห์ระบุว่า เมื่อรถยนต์เดินทางที่ความเร็วสูง เสียงของยางรถยนต์ เสียงลมที่ปะทะตัวรถ และเสียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเสียงเตือนเข้าไปอีก
ทีมงานบริหารของ ประธานาธิบดีทรัมพ์ เก็บระเบียบเรื่องเสียงรถยนต์ไฟฟ้า เหล่านี้ ซึ่งออกในยุคการบริหารงานของประธานาธิบดี โอบาม่า และเพิ่งจะนำมาทบทวนอีกครั้ง โดยค่ายนิสสัน ก็ทักท้วงว่า เสียงเตือน ควรเริ่มที่ความเร็ว 20 กม.ชม.
สถาบันเพื่อความปลอดภัยระบุว่า ระเบียบข้อนี้ จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยเพิ่มขึ้น หลังจากที่คนเดินถนนมีการบาดเจ็บจากรถยนต์ไฟฟ้า ราวปีละ 2,400 คน และต้องการให้ติดตั้งในรถรุ่นปี 2563 ราว 530,000 คัน
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเสียงเตือน ประเมินว่าค่ายรถยนต์จะต้องใช้จ่าย 40 ล้านเหรียญ ต่อปี เพราะค่ายรถยนต์จำเป็นต้องติดอุปกรณ์ป้องกันน้ำ สำหรับลำโพงที่ใช้งาน แต่ผลที่ได้ จากการลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน ประเมินไว้ราว 250 ล้านเหรียญ ถึง 320 เหรียญ ต่อปี
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…