เยือน Tokyo เที่ยว Tokyo Motor Show 2007 กับ Honda..ตอนที่ 3……By : J!MMY
เมื่อพูดถึงรถญี่ปุ่นกันไปจนครบหมดทุกบูธแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะมาชมรถจากชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น
ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี สหรัฐฯ และเกาหลี กันบ้าง
***** M e r c e d e s – B e n z / M A Y B A C H / S m a r t *****
บูธของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปีนี้ มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่แพ้เจ้าถิ่นรถญี่ปุ่นแต่อย่างใด อาจเพราะ พื้นที่ของบูธ สมาร์ท
และมายบัค มีขนาดเล็กลง ก็คงจะมีส่วนอยู่บ้าง แต่ที่แน่ๆ งานนี้
ค่ายตราดาว ส่งกองทัพรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัว ทั้งขายจริงและโชว์ตัวกันในญี่ปุ่นอย่างเต็มอัตราศึก
เริ่มจาก รถต้นแบบ F700 Concept ที่วางเครื่องยนต์ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด DIESOTTO (อ่านว่า "ดี-ซ็อต โต้)
จุดเด่นของเครื่องยนต์ DIESOTTO นั้น ถือได้ว่า ช็อกโลกกันเลย เพราะเป็นเครื่องยนต์บล็อก 4 สูบ 1,800 ซีซี เท่านั้น
ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ต่ำอย่างน่าตกใจ กล่าวคือใช้น้ำมันเพียง 5.3 ลิตร ต่อระยะทางวิ่ง 100 กิโลเมตร
แต่ผลิตกำลังออกมาได้ ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ V6 3,500 ซีซี ใน รถซีดานใหญ่ S-Class รุ่น S350 หรือเครื่องยนต์ ดีเซล
V6 3,000 ซีซี ในรุ่น S300 Turbo Diesel เลยทีเดียว เครื่องยนต์ดังกล่าว ยังเป็นเพียงต้นแบบและยังรอการพัฒนาเพิ่มเติม
เพื่อให้พร้อมออกสู่ตลาดจริงในอนาคตอันใกล้นี้
ส่วนระบบกันสะเทือนเป็นแบบ PRE-SCAN ใช้ เลเซอร์ 2 ตัว สแกนพื้นถนนในระยะข้างหน้า ระบบกันสะเทือนแบไฮโดรลิก
จะปรับการทำงานไปตามสภาพถนน ที่ตรวจพบ เพื่อสร้างการขับขี่ ให้นุ่มนวล ดุจนั่งบนพรม หรือที่เมอร์เซเดส-เบนซ์
เขียนไว้ในเอกสารสื่อมวลชนว่า "Flying Carpet"
รวมทั้งระบบ SERVO-HMI ซึ่งไม่เพียงแต่จะแสดงผลการทำงานของระบบต่างๆในรถอย่างสบายตา
ลดการรบกวนผู้ขับขี่แล้ว ระบบยังจะลดความซับซ้อนของเมนูลง เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจเลือกใช้
หรือปิดการทำงานของอุปกรณ์ใดๆ ง่ายขึ้น นี่เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งจากรายละเอียดทั้งหมดของรถคันนี้
ปัญหาของรถคันนี้ก็คือ เทคโนโลยีอันล้ำเลิศประเสริฐศรี ถูกนำมาวางไว้ในรูปลักษณ์ตัวถัง ที่ต้องถามกันตรงนี้เลยว่า
ออกแบบมาเอาใจชาวจีนใช่ไหม? เพราะดีไซน์ภายนอก มันไม่ได้เรื่องเอาเลย เมื่อเทียบกับงานออกแบบก่อนๆของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ที่ผ่านๆมา
นอกจากนี้ ยังมี McLaren SLR เปิดปะทุน ประตูปีกนก มาจอดแสดงให้เข้าไปสัมผัสได้จริงอีกต่างหาก ผู้คนก็พากันรุมล้อม
และรอคิวกันขอพลัดกันหย่อนก้นลงนั่งอย่างกระหาย
การเข้าออกจากรถคันนี้ ก็ยากเย็นพอกันกับรถสปอร์ต จุดศูนย์ถ่วงต่ำเป็นพิเศษ และมีพื้นรถต่ำเป็นพิเศษกว่ารถทั่วไปนั่นละครับ
แต่วัสดุ ก็สมราคา แน่ละ มาเมืองไทย คันละกี่สิบล้านบาทละนั่น สมกับเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำรถจริงๆ ผิดกับเจ้า F700 นั่นคนละแนวทางเลย
ชุดมาตรวัดความเร็วนั้น ท็อปสปีดสูงสุด 360 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนรถรุ่นตลาด นอกจาก C-Class ซาลูน แล้ว ยังมีการเปิดตัวเทคโนโลยี เรื่องยนต์ แบบ Clean Diesel ในชื่อ Bluetec เป็นครั้งแรก
ของญี่ปุ่น กับ C-Class Estate Bluetec
นอกจากนี้ ยังฉลองครบรอบ 40 ปี ให้กับสำนักแต่งรถ AMG ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในชายคาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในช่วงทศวรรษ 1990 ด้วยการเปิดตัว
C63 AMG ในญี่ปุ่น และยังคงคุณสมบัติการผลิตในแบบ One Man One Engine หรือ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์..เอ้ย! ไม่ใช่! ครับ
1 คน ประกอบ ทั้ง 1 เครื่องยนต์ ต่างหาก
อีกทั้งยังถือโอกาสเดียวกันนี้ ฉลองครบรอบ 100 ปี ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ออกสู่ตลาด
โดยนำรถจำลองขนาดเล็ก ของ รถขับเคลื่อนสี่ล้อสำหรับทำตลาดให้ประชาชนทั่วไปแบบแรกที่ออกสู่ตลาด ในปี 1907
มาจัดแสดง เคียงคู่กับ GL-Class และ M-Class อีกด้วย
ด้าน MAYBACH รถยนต์หรู ในเครือ ที่ตั้งราคาได้แพงระยับจนพอจะจับได้ว่า น่าจะแพงเกินจริงไปสักหน่อย
นำ MAYBACH 62S มาจัดแสดงพร้อมกับตกแต่งเป็นพิเศษเอาใจอภิมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ด้วยภายนอกสีขาว
ภายในตกแต่งเป็น เลาจน์ เคลื่อนที่
ขณะที่ บูธของ สมาร์ทนั้น กลายเป็นไม้ประดับที่เหลือแค่เพียง นำรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ของ รถ 2 ที่นั่ง Smart For two
มาจัดแสดงเพียงเท่านั้น
รวมแล้วพื้นที่ของค่ายตราดาว นำรถมาจัดแสดงมากถึง 21 คัน และมากันเกือบครบทุกตัวถัง จะขาดก็แต่เพียง CLS
และ G-Class จี๊ปเบนซ์พันธุ์แท้ เท่านั้น
—————————————————————————————–
***** B M W & M i n i*****
แน่นอนว่า เพื่อไม่ให้น้อยหน้าเจ้าถิ่น รวมทั้งคู่แข่งขาประจำอย่างค่ายตราดาวสามแฉก ค่ายใบพัดสีฟ้า จึงทุ่มสรรพกำลังของตนอย่างเต็มที่
เพื่อจะเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้บริโภค ตามแนวคิด Efficient Dynamics หรือการขับเคลื่อนที่เปี่ยมประสิทธิภาพ
ทั้งการเปิดตัว รถยนต์ต้นแบบ เป็นครั้งแรกในโลก, ครั้งแรกในญี่ปุ่น
รวมทั้งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทำตลาดเป็นครั้งแรกในโลก และในเอเซีย ที่นี่ และครั้งแรกในญี่ปุ่นอีกหลายรุ่น เรียกได้ว่า ครบทุกรูปแบบจริงๆ
เริ่มกันที่ รถต้นแบบ Concept X6 ซึ่งแม้จะเคยเผยโฉมไปแล้วในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ กันยายนที่ผ่านมา แต่ X6 คันนี้ ถือว่าเป็น
การเผยโฉมครั้งแรกในโลกได้ เพราะว่า นี่คือ Concept X6 Active Hybrid ซึ่ง จะวางขุมพลังแบบ ไฮบริด เชื่อมการทำงานกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
แบบ X-Drive สำหรับ X6 คันจริง ซึ่งเป็น Crossover SUV สไตล์ ลิฟต์แบ็ก 5 ประตู ซึ่งต่อยอด อุดช่องว่างรหะว่าง X5 กับ ซีรีส์ 6 คูเป้-เปิดประทุน นั้น
พร้อมจะออกขาย ภายในช่วงปี 2008-2009 นี้อย่างแน่นอน และจะมีเวอร์ชันไฮบริดตามออกมาในภายหลัง
นอกจากนี้ยังมีรถต้นแบบ Concept CS ซึ่งเป็นรถยนต์สปอร์ตซีดาน ต้นแบบ ที่กำลังเตรียมงานผลิต เพื่อส่งออกสู่ตลาด
ประกบกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS ภายใน ไม่เกิน 2 ปีนี้ มาอวดโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่น
อีกคันหนึ่งคือ Concept 1-Series tii อันเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษ และปรับปรุงระบบกันสะเทือน รวมทั้งสมรรถนะในด้านต่างๆให้ดิบกว่ารุ่นธรรมดาของ
ซีรีส์ 1 คูเป้ จะว่าไปแล้ว นี่คือ การสานต่อความสำเร็จของ 2002ti เมื่อยุคทศวรรษ 1960 ซึ่งเคยมีกระแสข่าวการกลับมาของรหัส ti มานานเป็นสิบปีแล้ว
และยุคนั้น ยังมีการเปิดเผยจากนิตยสาร ฝั่งเยอรมันด้วยซ้ำว่า จะมีการเปิดตัวในปี 2002 แต่หลังจากนั้น ก็เหมือนเงียบหายไป จนกระทั่งมาโผล่อีกครั้ง
ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ปีนี้
ส่วนรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรกในโลก และพร้อมทำตลาดจริงทันที มีรุ่นเดียว นั้นคือ M3 Saloon เวอร์ชัน ซีดาน 4 ประตู
ของสุดยอดพรีเมียม สปอร์ตคอมแพกต์ ตัวแรง วางเครื่องยนต์ V8 420 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 4.9 วินาที เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวครั้งแรกในเอเซีย กลางงานนี้ 3 รุ่น นั่นคือ ซีรีส์ 6 ไมเนอร์เชนจ์ ทั้งคูเป้ และเปิดประทุน มีให้เลือกทั้งแบบ
630i เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VALVETRONIC 272 แรงม้า (HP) และ 650i เครื่องยนต์ V8 367 แรงม้า (HP)
และ ซีรีส์ 1 คูเป้ โดยเป็นรุ่น 135i แต่วางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3,000 ซีซี (เขียนไม่ผิดครับ 3,000 ซีซี จริงๆ ไม่ใช่ 3,500 ซีซี)
Direct Injection และ Twin Turbo กำลังสูงถึง 306 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 40.8 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5.3 วินาที
รวมทั้งยังมี Hydrogen 7 หรือซีรีส์ 7 ขุมพลังไฮโดรเจน มาพร้อมเครื่องยนต์สันดาปธรรมดา V 12 สูบ 260 แรงม้า (HP) ที่ใช้ได้ทั้ง น้ำมันเบนซิน และไฮโดรเจน
ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถแล่นได้ระยะทางด้วยเชื้อเพลิงรวมกันทั้งน้ำมันเบนซิน
และไฮโดรเจน อย่างละ 1 ถัง รวมกันได้ประมาณ 700 กิโลเมตร และรถแข่ง ฟอร์มูลา 1 อย่าง BMW Sauber F1-07 มาแขวนกำแพงอวดโฉมให้ดูกันอีกด้วย
ส่วนรถตลาด ทั้ง ซีรีส์ 1 ซีรีส์ 3 ทุกตัวถัง X3 X5 ซีรีส์ 5 ซีรีส์ 7 M3 Coupe Z4M Roadster ไปจนถึง M5 มีมาให้ชมกันครบถ้วน
จนแน่นพื้นที่บูธไปหมด
และที่ถือเป็นจุดเด่นของบูธในปีนี้ อีกอย่างหนึ่งคือการตกแต่งบูธ ให้คล้ายกับ ห้องเสื้อชั้นน้ำ
โดยจับเอาเครื่องยนต์รุ่นสำคัญๆแต่ละรุ่น ไปตั้งแขวนไว้กับผนังข้างฝาแบบนั้น
การก่อสร้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ
ขณะที่บูธของ มินิ นั้น ส่งตัวถังสเตชันแวกอน ของ มินิ ใหม่ ในชื่อ Mini Traveller มาเปิดผ้าคลุมกันที่นี่ ตามติด งานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ เช่นเดียวกัน
จึงไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก เพราะรายละเอียดวิศวกรรมต่างๆ ก็ยกมาจากมินิ และ คูเปอร์ รุ่นปัจจุบันกันอยู่แล้ว จะเว้นเสียก็แต่ บานประตูแบบตู้กับข้าว
เฉพาะฝั่งขวาของตัวรถ ก็เท่านั้น
—————————————————————————————–
***** V o l k s w a g e n *****
ปีนี้ โฟล์กสวาเกน ยังคงมีพื้นที่บูธใหญ่โตมาก (มากกว่าฟอร์ดอย่างชัดเจน คนละเรื่องเลย) อันเป็นผลมาจากความนิยมของรถเยอรมันแบรนด์นี้ในญี่ปุ่น
ยังคงเดินหน้าไปอย่างดี
และปีนี้ โฟล์กสวาเกน นำรถยนต์ต้นแบบ UP ส่งตรงจากแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ มาอวดโฉมในงานนี้ เป็นเวทีที่สอง ต่อจากเยอรมัน
UP คือตัวอย่างที่สื่อให้เรามองเห็นอย่างชัดเจนถึงแนวคิดของโฟล์กสวาเกน ในการพัฒนารถยนต์ระดับ Sub B-Segment รุ่นต่อไป
ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแนวทาง จาก โฟล์ก ลูโป้ รุ่นเดิม ซึ่งเน้นความประหยัด อย่างพอเพียง สำหรับการเดินทางตามลำพังของชาวเมือง
มาเป็นรถยนต์ 4 ที่นั่ง ที่ให้ความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม ตอบสนองต่อการลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและลดการสิ้นเปลืองสิ่งแวดล้อมลงไปได้
ให้มากขึ้น ประตู ทั้ง 4 บาน เปิดออกเป็นแบบตู้กับข้าว เพื่อให้การเข้าออก ง่ายดายขึ้น แต่คันที่จะผลิตขายจริงในอีก 2 ปีข้างหน้า คงมิได้เป็นเช่นนี้
พร้อมกันนี้ โฟล์กสวาเกน ยังส่ง สารพัดรถยนต์รุ่นทำตลาดจริง หลายรุ่น มาให้ได้ทดลองนั่งกัน ทั้ง Passat ใหม่ ที่เมื่อไหร่จะเข้ามาขายในบ้านเราเสียที?
ไปจนถึง Golf Varient ตัวถังสเตชันแวกอนของกอล์ฟใหม่ ที่ดูไฮโซ จนไม่เหลือคราบความเป็นกอล์ฟอย่างที่เราคุ้นเคยกันอีกต่อไป ที่เห็นอยู่นี้
รวมถึง Polo 5 ประตูธรรมดา หรือเวอร์ชันยกสูงสีส้ม อย่าง Cross Polo หรือ เอสยูวี ร่างยักษ์ ฝาแฝดร่วมแพล็ตฟอร์ม ของ Porche Cayenne
และ Audi Q7 อย่าง VW Touareg ไมเนอร์เชนจ์ รถพัสสาทเวอร์ชันเปิดประทุนอย่าง EOS ที่ผู้นำเข้ารายย่อยบ้านเราสั่งเข้ามาขายบ้างแล้ว ซึ่งก็สั่งมา
จากโช์รูมโฟล์กในญี่ปุ่นอีกทีนั่นละครับ รวมทั้ง Beetle Cabriolet หรือเจ้าเต่าน้อยเปิดกระดอง ก็มีมาให้ชมกันเต็มๆตา
ไม่เว้นแม้แต่ชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ DSG….
และเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,400 ซีซี TSi 122 แรงม้า ก็มีมาจัดแสดงด้วยเช่นกัน
แต่ ทั้งหมดนั้น ยังไม่มีคันไหน ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบโฟล์กสวาเก้น ได้มากเท่ากับเจ้า Tiguan หรือ ไทกวน
คอมแพกต์ เอสยูวี ระดับเดียวกับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี, นิสสัน เอ็กซ์-เทรล,ฟอร์ด เอสเคป/ มาสด้า ทรีบิวต์, โตโยต้า ราฟ 4
ซึ่งเปิดตัวในญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ 2 ตามติดมาจากงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์มาหมาดๆ
เมื่อขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารของไทกวนแล้ว ผมไม่รู้จะหาที่ติอะไรกับรถคันนี้ "ในเบื้องต้น" จริงๆครับ
เบาะนั่งนั้น นั่งสบาย ไม่ปวดหลัง พื้นที่วางขาของผู้โดยสาร้านหลังก็มากพอ เบาะรองนั่งไม่สั้นเกินไป
แถมยังมี ถาดวางของ พับเก็บได้ สำหรับเจ้าตัวน้อยจอมซนอีกด้วย
ทางเข้าออกด้านหลัง ก็ยังสบายมากเพียงพอสำหรับผู้โดยสารตัวใหญ่อย่างผม
แผงหน้าปัด ออกแบบมาอย่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง และชวนให้ขับขี่อย่างมาก มากกว่าที่ผมเห็นจากในรูปถ่ายเสียอีก
ใช้งานไม่ยากนัก และเป็นมิตรกับผู้ขับมากกว่าแผงหน้าปัดของโฟล์กหลายๆรุ่นที่ผ่านๆมา
ผมว่า คงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่ชอบ เจ้า ไทกวน
เพราะที่ผมเห็นก็คือ นางแบบสาวคนนี้ ผมไม่รู้จักชื่อเธอหรอกครับ
แต่มีคนรุมล้อมให้ความสนใจเธอในงานไม่น้อยเลย
เธอแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่า ชอบเจ้าไทกวน เหมือนผม…..
เอาเข้ามาขายเถอะครับ ยนตรกิจ…. ประกอบในประเทศดีๆ ราคาไม่แพง
ขายได้ดีแน่ๆ
—————————————————————————————–
***** A u d i *****
ค่ายพรีเมียม ในเครือของโฟล์กสวาเกน กรุ๊ป รายนี้ ถือเป็นค่าย ยุโรป เพียงหนึ่งในไม่กี่ค่าย ที่มีของดีมาอวดโฉมให้ได้เห็นเป็นครั้งแรกในโลก
อย่างแท้จริง และในบรรยากาศของบูธที่ไฮโซ อลังการ ตัดสลับด้วยโทนสี ดำกับขาว นั้น นอกจากจะนำรถยนต์รุ่นตลาดทั่วๆไป
ทั้ง A4 เจเนอเรชันที่ 3 ใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ไปหมาดๆ
คันที่จัดแสดงนี้ วางเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ควอตโทร
อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ เอาดี้ มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว
และ ไปจนถึง คูเป้รุ่น A5 และ S5 ใหม่ ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังเดียวกับ A4 ใหม่
ก็มาเปิดตัวกันเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น ในงานนี้
รวมทั้ง เอาดี้ R8 รถสปอร์ต เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง
ที่ทาง MTM Thailand นำมาเปิดประมูลผ่านอินเตอร์เน็ตในบ้านเราขณะนี้นั้น
ก็มีมาให้ได้ทดลองนั่งกันอย่างเต็มที่ แล้ว….
ออดี้ ยังถือโอกาสนี้เปิดตัว รถยนต์ต้นแบบ Metro Concept Quattro ซึ่งถือเป็นรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ควอตโทร
อันเป็นเอกลักษณ์ของเอาดี้ รถคันนี้ ถูกคาดหวังว่า จะกลายเป็นรุ่นจำหน่ายจริง ของ เอาดี้ A1 ซึ่งเตรียมจะคลอดสู่ตลาด แทน เอาดี้ A2 ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก ทรงสูง
ที่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดเท่าที่ควร โดยคราวนี้ จะพลิกแนวคิดจาก A2 จนกลายเป็นคู่แข่งกับ BMW 1-Series เต็มตัวเสียที
การจะถ่ายรูปรถคันนี้ ตอนปิดประตู เป็นเรื่องที่ยากมากและแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าจะขอร้องยังไง ฝรั่งมังค่า เขาก็ไม่ยอมปิดประตูให้ ทำเป็นเฉยๆ
แล้วก็ลืมๆไป ไม่รู้ว่า เขาอยากจะให้เห็นภายในห้องโดยสารชัดๆ หรือว่า บานพับประตูมันพังตอนขนส่งมากันแน่หนอ
—————————————————————————————–
***** P O R S C H E *****
อะไรก็ตามที่คุณเห็นในบูธของปอร์เช ที่งาน แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ คุณก็จะพบเห็นได้ในงาน
โตเกียวมอเตอร์โชว์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดบูธ สำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก ที่คุ้นตา
และแน่นอนว่า นี่คือการเปิดตัวครั้งที่ 2 ในโลก สำหรับ เวอร์ชันจำหน่ายจริงแล้วของ Cayenne GTS….
เวอร์ชันสุดร้อนแรงของ เอสยูวี ขนาดใหญ่ ที่ใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานร่วมกันระหว่าง
Audi Q7 และ VW Touareg
ภายในห้องโดยสารยังคง หรูและดูขรึม พร้อมมาดสปอร์ต ตามแบบฉบับของปอร์เช่
ขุมพลัง เป็นบล็อก V8 4,800 ซีซี 405 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที
พร้อมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ PASM
ระบบกันสะเทือน ทั้งด้านหน้าและหลัง ถูกจัดแสดงไว้ในพื้นที่ด้านหลังมีการผ่าแยกชิ้นส่วน
ให้ผู้เข้าชมงาน ได้เห็นกันอย่างละเอียดๆ ไม่เว้นแม้แต่ชุดจานเบรกหน้า
ส่วน 911 GT2 ใหม่ ก็มีมาอวดโฉมแล้วเช่นกัน
—————————————————————————————–
***** P E U G E O T *****
สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว รถฝรั่งเศส ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อาจจะไม่เทียบเท่ากับรถเยอรมัน
แต่ถือว่าเป็นการไต่บันไดที่ดี สำหรับชาวญี่ปุ่น หัวนอก ที่นิยมใช้สินค้าจากยุโรป ตามประสาประเทศที่ได้ชื่อว่า
มีประชากรบ้าแบรนด์เนม หนักหนาสาหัสกว่า คนไทย หลายสิบเท่า และทั้ง 3 แบรนด์จากเมืองน้ำหอมล้วนแล้วแต่
เกาะกุมหัวใจลูกค้าไว้ได้ ในระดับประคองตัวไหว
บูธ เปอโยต์ เป็นอีกบูธ ที่เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดญี่ปุ่นอย่างฉับไว ตามติดงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์มาติดๆ
ทั้งการนำรถต้นแบบ 308 RC Z รถคูเป้เปิดประทุนหลังคาแข็งไฟฟ้าพับเก็บได้ 4 ที่นั่ง ขุมพลัง ไดเร็กต์อินเจ็กชัน เทอร์โบ
ทำความเร็วได้ 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระดับ 15 กิโลเมตร/ลิตร จากการทดสอบของทางโรงงาน
ที่คาดว่าจะเป็นเวอร์ชันต้นแบบของ 308 CC ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในช่วงปีหน้า มาอวดโฉม
นอกจากนี้ ยังเปิดตัว 207 SW ตัวถังสเตชันแวกอนใหม่ล่าสุด สู่ตลาดญี่ปุ่นครั้งแรก พร้อมกับ 207 รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่น
ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน รวมทั้งรถเล็กประตูบานเลื่อน 1007 และ รถแข่ง 908 HDi FAP ขุมพลัง ดีเซล V12 ซึ่งตั้งเป้าจะมุ่งสู่
การชิงชัยในสนามแข่งขัน เลอ-มังส์ 24 ชั่วโมง มาจัดแสดงในงานนี้อีกด้วย
—————————————————————————————–
***** C I T R O E N *****
ในญี่ปุ่นนั้น ซีตรอง มีผู้จำหน่ายหลักเดิม คือกลุ่ม SEIBU อันมีกิจการมากมายในญี่ปุ่น
รวมทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ต่อมาราวปี 1989 Mazda Motor ได้ขอเข้าร่วมทำตลาดซีตรองด้วย
โดยนำมาจัดจำหน่ายผ่านเครือข่าย Eunos ร่วมกับ รถยนต์แนวหรู ทั้ง Eunos 300 500 COSMO และ
Eunos Roadster หรือ Mazda MX-5 รุ่นแรก
แต่เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเกิดขึ้นในญี่ปุ่น มาสด้าจึงต้องยุติการทำตลาดซีตรอง
พร้อมกับยุติแบรนด์ Eunos ออกไป
และปล่อยให้ผู้จำหน่ายรายอื่น เดินหน้ากันต่อไปตามลำพัง ที่ผ่านมา ซีตรองในญี่ปุ่น
มีรถรุ่นขายดี นั่นคือ ZX และ AX แต่มาวันนี้ ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไป…
ปีนี้ บูธซีตรอง มีรถต้นแบบ ส่งตรงจากแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ อย่าง C-Cactus
ติดตั้งเครื่องยนต์ ดีเซล ไฮบริด มาเป็นพระเอกในบูธ ซึ่ง ซีตรองระบุว่า
สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ใช้น้ำมันเพียง 2.9 ลิตร
ต่อการเดินทาง 100 กิโลเมตร!
ดูรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว แม้จะเป็นรถสัญชาติยุโรป แต่ชวนให้รู้สึกไปได้ว่า
เส้นสายตัวถัง ช่างเข้ากันดีกับบรรยากาศของงาน และกลมกลืนไปกับรถต้นแบบ
จากฝั่งญี่ปุ่นอย่างเหลือเชื่อจริงๆ
นอกจากนี้ ยังมีรถยนต์รุ่นตลาด ทั้ง C4 และมินิแวน รุ่น C4 Picasso ที่ล้ำยุค
และมีเบาะนั่งคู่หน้า ที่นั่งสบายมากๆ มาจัดแสดงในงานด้วย
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ การเปิดขาย C4 by LOEB ซึ่งเป็น ซีตรอง C4
แบบ 2 ประตู ตกแต่งในสไตล์รถแข่ง WRC ที่ขับโดย เซบาสเตียน โลบ
แห่งทีมซีตรอง ซึ่งเป็นรถที่ทำออกขายในจำนวนจำกัดทั่วโลก
ส่วนญี่ปุ่น ถูกจำกัดโควต้าไว้เพียงแค่ 32 คันเท่านั้น
—————————————————————————————–
***** R E N A U L T *****
เรโนลต์ ยังคงยืนหยัดทำตลาดอยู่ในญี่ปุ่นได้ และมีกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่น ยิ่งการควบกิจการกันระหว่าง
เรโนลต์ นิสสัน ยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมทั่นให้กับชาวญี่ปุ่นว่า เรโนลต์ จะยังไม่ไปไหนไกลจากญี่ปุ่นแน่ๆ
ผิดกับ จีเอ็ม ที่ถอดใจ เอาแบรนด์โอเปิล ออกจากตลาดไปแล้วเมื่อปีก่อนๆ
ปีนี้ เรโนลต์ นำรถต้นแบบ Kangkoo Concept มาจัดแสดง เพื่อบ่งบอกให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นได้รับรู้ว่า
รุ่นต่อไปของรถตู้ขนาดเล็กอเนกประสงค์สไตล์ยุโรป รุ่น Kangkoo ที่ทำตลาดอยู่แล้วในญี่ปุ่นนั้น
จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แม้จะเสียดายว่า ไม่ได้เห็นคันจริงของ เรโนลต์ ลากูนา ใหม่ในงานนี้ก็ตาม
ส่วนรถรุ่นทำตลาดจริง งานนี้นอกเหนือจาก Clio (ทำตลาดในญี่ปุ่นชื่อ Lutecia เนื่องจากชื่อ Clio
ไปซ้ำซ้อน กับชื่อของเครือข่ายจำหน่าย CLIO ของฮอนด้า ที่ถูกยุบรวมไปแล้วกับเครือข่าย Primo
และ Verno เป็น Honda Cars ในปัจจุบัน) รวมทั้ง Megane และ Kangoo รุ่นมาตรฐานแล้ว
เรโนลต์ ยังนำ Twingo GT มาอวดโฉม เพื่อยืนยันว่า ปีหน้า คนญี่ปุ่นจะมีโอกาสได้ใช้
ทวิงโก ซับ-คอมแพกต์ ระดับเครื่องยนต์ 1.0-1.4 ลิตร เจเนอเรชันที่ 2 อย่างแน่นอน
—————————————————————————————–
***** A l f a R o m e o *****
เช่นเดียวกับแบรนด์รถยนต์จากฝรั่งเศส ยังมีคนญี่ปุ่นอีกไม่น้อย ที่นิยมในความแตกต่างของรถอิตาเลียน
ไม่ว่าจะเป็น เฟียต หรืออัลฟาโรมิโอ ชาวญี่ปุ่น ยังยินดีเปิดใจต้อนรับ รถยนต์ 2 ยี่ห้อนี้อยู่ แม้จะเสียดายที่
แลนเซีย เลิกทำตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาในญี่ปุ่น ไปแล้วพร้อมกับการยุติบทบาทการทำตลาดแลนเซีย
ของ Mazda ไปเมื่อกลางทศวรรษ 1990 ที่ผ่านมาก็ตาม แต่ ยังคงมีคนญี่ปุ่นอีกมาก ที่ฝันอยากได้ แลนเซีย
หรืออัลฟาโรมิโอ รุ่นเก่าๆ อันทรงค่า อย่างแลนเซีย เดลต้า อินทรเกรล ตัวแข่งแรลลีโลก WRC หรือไม่ก็ 155
และ 164 ซาลูนคันงาม และ GT Spider เปิดประทุนสุดคลาสสิคเหล่านั้น
ปีนี้ บูธ อัลฟา โรมิโอ ยังไม่มีอะไรหวือหวา เกินไปกว่า การนำเวอร์ชันทำตลาดจริง ของ 8C Competizione
มาจอดอวดโฉมให้ดูกันเต็มๆตา
พร้อมกับขนกองทัพรถยนต์รุ่นปัจจุบัน บนพื้นฐานของซีดานรุ่น 159
ทั้ง 159 สปอร์ตแวกอน Brera ไปจนถึง GTV มาจอดแสดงให้กับบรรดา อัลฟิสติโม ชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนมากเอาเรื่อง
ได้สัมผัสกันให้เต็มตา
แต่สิ่งที่แตกต่างกันนิดหน่อย ระหว่างผู้นิยม อัลฟาโรมิโอในบ้านเรา กับที่ญี่ปุ่นก็คือ
ยากที่คนญี่ปุ่นจะมีโอกาสเห็นการพรีเซ็นต์ สาวๆ ในบูธ ด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น
อย่างเช่นที่ผู้จำหน่ายในบ้านเราเขาเคยทำมา
—————————————————————————————–
***** G e n e r a l M o t o r s *****
ดูเหมือนจะรู้ตัวว่า ที่นี่คือ เวทีของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เจเนอรัล มอเตอร์ส หรือ จีเอ็ม จึงเลือกจะอยู่เฉยๆ กับงานนี้
ด้วยการมุ่งเน้นเปิดตัวรถยนต์ระดับหรู รุ่นล่าสุด 2 รุ่น ที่เพิ่งเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ไปหมาดๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้
เศรษฐีญี่ปุ่นเป็นเจ้าของกันบ้าง ทั้งChevrolet Corvette Z06 Convertible และ Cadillac CTS เจเนอเรชันที่ 2
ส่วนตัวประกอบในบูธ มีทั้ง SAAB 9-3 SportsWagon รุ่นเดียวกับที่มีจำหน่ายในเมืองไทย เพียง 5 คัน และยังพอจะเหลืออยู่บ้าง
เนื่องจาก ออโต้ เทคนิค ประเทศไทย เห็นทีจะถอดใจ เลิกทำตลาดแบรนด์ซาบในไทย อย่างเป็นทางการเสียที หลังจากที่ล้มลุกคลุกคลาน
มาตลอดนับแต่วิกฤติเศรษฐกิจ ปี 1997 ที่ผ่านมา อีกคันหนึ่ง คือ HUMMER ยานยนต์ เอสยูวี ที่แปลงร่างมาจากรถเพื่อการทหาร
ซึ่งได้รับความสนใจจากคนญี่ปุ่น หัวใจอเมริกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ กลุ่มศิลปินวัยรุ่นในญี่ปุ่นทั้งหลาย งานนี้ มีมาอวดโฉม 1 คัน
เป็นรุ่น H3 ซึ่งดัดแปลงแชสซี มาจาก อีซูซุ ดีแมกซ์ บ้านเรานั่นเอง
—————————————————————————————–
***** F O R D *****
ในญี่ปุ่น ครั้งอดีตกาล ฟอร์ด เคยตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ Model-T รุ่นโด่งดัง ขายในญี่ปุ่น ขายดิบขายดี แถมยังนำมาตรฐานค่าแรงราคาสูง
ของ เฮนรี ฟอร์ด มาใช้ด้วย จนทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย อยากสมัครเข้าไปทำงานที่นั่น แต่พอหลังภาวะสงครามเกิดขึ้น ทำให้ฟอร์ด ต้องปิดโรงงานของตน
แล้วก็พักบทบาท การทำคลาดไปบ้าง กลับมาใหม่บ้าง ผลุบๆโผล่ๆ จนกระทั่ง บริษัท HISCO ซึ่งเป็นบริษัทที่ Honda Motor ตั้งขึ้นมา เพื่อทำตลาดสินค้านำเข้า
ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ด นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ก็ทำยอดขายมาได้เรื่อยๆ อาจจะซบเซาไปบ้างในช่วงวิกฤติกาณณ์น้ำมัน
ช่วงตั้งแต่ปี 1973 – 1978 แต่ก็ยังพอประคองตัวได้ ตราบจนเวลาล่วงมาถึงปี 1979 ฟอร์ด หาพันธมิตรในญี่ปุ่นอยู่ พอดีกับมาสด้าเองก็มีปัญหาด้านการเงิน
ธนาคาร ซูมิโตโม ในฐานะเจ้าหนี้ใหญ่ เป็นพ่อสื่อให้ทั้งคู่มาตกลงเกี่ยวดองเป็นพันธมิตรกัน ในเดือนธันวาคม 1979 และนับแต่นั้น ฟอร์ด จึงเริ่มพัฒนารถยนต์
ทำตลาดในเอเซียโดยเฉพาะ และใช้วิธีดัดแปลง มาสด้า 323 ให้เป็น ฟอร์ด เลเซอร์ รวมทั้งมาสด้า 626 ขนาดกลาง ให้เป็น ฟอร์ด เทลสตาร์ ทำตลาดในญี่ปุ่น
ตลอดช่วงทศวรรษ 1980-1990 และนั่นทำให้ภาพลักษณ์ของฟอร์ดในสายตาชาวญี่ปุ่น เริ่มผูกติดกับมาสด้ามากเกินไปจนแกะไม่ออก
มาวันนี้ ฟอร์ด พยายามสร้างบุคลิกของแบรนด์ใหม่อีกครั้ง ให้แตกต่างไปจากมาสด้า โดยสิ้นเชิง อาจต้องใช้ความพยายามมากหน่อย แต่ถ้าทำได้
หลายสิ่งที่ดีกว่า คงจะรอฟอร์ดอยู่ข้างหน้าจริงๆเสียที
ปีนี้ บูธของฟอร์ด ยังคงตั้งพื้นที่อยู่ติดกับ มาสด้าก็จริง แต่ ขนาดของพื้นที่นั้น เล็กมากกว่าปีที่ผ่านๆมาเยอะ นั่นทำให้เราพอจะรู้ได้ว่า ในปีที่ผ่านมา
ฟอร์ด มียอดขายในญี่ปุ่นลดลงจากปี 2005 มากโขอยู่ แม้จะมี Focus และ Mondeo แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้ยอดขายของฟอร์ดดีขึ้นเลย
แต่พอเดินเข้าไปดูข้างในก็ต้องตกใจ
ว่า ทำไมจู่ๆ ฟอร์ด ถึงจัดการปรับโฉม ไมเนอร์เชนจ์ให้กับ เอสเคป เอสยูวี รุ่นยอดฮิตของตน ให้มีหน้าตาแตกต่างไปจาก
เวอร์ชันอเมริกัน และเวอร์ชันไต้หวัน/ไทย ไปได้ไกล และดูสวยงามมากขนาดนี้ ทั้งที่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ก็เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกไป
จนชวนให้สงสัยว่า เวอร์ชันที่เห็นนี้ ฟอร์ด จะนำออกขายกันเมื่อไหร่ดี
นอกจากนั้น ฟอร์ด ยังนำ รถยนต์อเนกประสงค์ ปิกอัพ 4 ประตู อย่าง Explorer Sport Trac รุ่นล่าสุด….
และฟอร์ด MUSTANG GT/CS คันสีเหลืองอร่ามมาจอดโชว์ในงาน…เพียง 3 คันเท่านั้น ในรอบสื่อมวลชน….
—————————————————————————————–
***** H Y U N D A I *****
การที่ เกีย ไม่เข้าร่วมงาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ในปีนี้ เหมือนเช่นเคยเป็นมา ทำให้ ฮุนได กลายเป็นบริษัทรถยนต์จากเกาหลี
เพียงรายเดียว ที่อาจหาญมาเปิดบูธจัดแสดงอยู่ในงานนี้
ความจริงแล้ว ฮุนได มาเปิดตัว ทำตลาดในญี่ปุ่นได้ราวๆ 3-4 ปีมาแล้ว นับตั้งแต่ราวๆ ปี 2004-2005 และก็มีผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น
ให้การต้อนรับรถยี่ห้อนี้อยู่บ้าง เพราะอย่างน้อย ตลอดเวลา 6 วัน 5 คืน ที่ผมอยู่ในญี่ปุ่นนั้น อย่างน้อยผมเห็น ฮุนได โซนาต้า ใหม่
1 คัน อันถือเป็นประมาณการปกติของผม สำหรับ ประเทศที่คุณจะมีโอกาสได้พบเห็นรถยนต์รุ่นที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็นกันง่ายๆ
ได้อย่างน้อย 1 คัน ตลอด 1 สัปดาห์
ในปีนี้ ฮุนได นำรถต้นแบบ ครอสโอเวอร์เอสยูวี 2 ประตู QarmaQ (อ่านว่า คาร์แม็ค) มาจัดแสดง
รถต้นแบบคันนี้ ออกแบบโดยศูนย์ดีไซน์ ของฮุนได ยุโรป ในรุสเซลไฮม์ ที่เยอรมัน
รถคันนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ การออกแบบส่วนหน้า ด้วยวัสดุ Elastic Front พัฒนาร่วมกับ GE Plastic
เพื่อลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน รวมทั้งยังอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี มากกว่า 30 รายการ
ที่ฮุนได จะทะยอยติดตั้งในรถยนต์รุ่นจำหน่ายจริงที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2008 -2014!!
นอกจากนี้ ยังนำ i 30 คอมแพกต์แฮตช์แบ็กรุ่นใหม่ ที่ฮุนไดจะใช้บุกตลาดโลก โดยเฉพาะยุโรป มาจัดแสดงที่นี่
เนื่องจากรู้มาว่า รถคันนี้ มีโอกาสจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย จึงต้องหาโอกาสไปลองนั่งสักหน่อย
ยอมรับกันได้เลยว่า คราวนี้ ฮุนไดทำการบ้านมาดี และถือว่า วัสดุที่ใช้นั้น สมราคา ดูดีกว่า ฮุนได คูเป้ รุ่นปัจจุบันที่ขายกันอยู่
ในเวลานี้เสียอีก
ขณะเดียวกัน พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังนั้น นั่งสบายกำลังดีกว่าที่คิด พื้นที่วางขาด้านหลังยังมีเหลือเยอะ ก้าวเข้าออกก็ไม่ลำบาก
ก็แน่ละ i-30 เป็นผลงานการออกแบบของศูนย์ ดีไซน์ ที่ รุสเซลไฮม์ เหมือนกันนี่นา
จับตาดูไว้ให้ดี ผมทายไว้ว่า มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างดี หากรถคันนี้ จะเข้ามาขายในเมืองไทย……
และยิ่งถ้าวางเครื่องยนต์ ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ 1,500 ซีซี ด้วยแล้วนะ…อ่ะแฮ่ม!
—————————————————————————————–
***** R o l l s R o y c e *****
หลังตกอยู่ในการดูแลของกลุ่ม บีเอ็มดับเบิลยู ไปแล้ว สถานการณ์ยอดขายของโรลส์ รอยซ์ เอง
ยังไม่ถึงกับดีขึ้นมากเท่าที่ควร เพราะเล่นกระโดดขึ้นไปจับแต่ลูกค้าชนชั้นสูงมากๆ จนเศรษฐีทั่วไป
ไม่อาจเอื้อมเสียด้วยซ้ำ
โตเกียวมอเตอร์โชว์ ปีนี้ โรลส์ รอยซ์ นำ Phantom Drop Head Coupe (แฟนธอม ดร็อป เฮด คูเป้) รถเปิดประทุน
จากการพัฒนาในรหัสโครงการ 101EX หรือเวอร์ชันคูเป้ 2 ประตู ของลีมูซีนคันหรูรุ่น แฟนธอม มาเปิดตัวต่อเนื่อง
เป็นครั้งแรกๆในเอเซีย สังเกตคันจริงได้ว่า ขนาดตัวถังนั้น ใหญ่โตขนาดไหน เมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ของบูธ
ซึ่งยืนอยู่ห่างจากตัวรถไปนิดเดียวเท่านั้น ตัวจริงของชายคนในรูป ก็สูงเท่าๆกับฝรั่งมาตรฐานทั่วๆไปแล้วนะครับ
—————————————————————————————–
***** BENTLEY *****
ขณะที่ เบนท์ลีย์ ญาติร่วมตระกูลกับโรลส์ รอยซ์มานานเกือบศตวรรษ พอได้เวลาแยกตัวออกไปอยู่ในอ้อมอกของ
โฟล์กสวาเกน ความสดใสรุ่งเรืองก็เดินทางมาถึงเสียที การวางตำแหน่งการตลาด ให้เหนือกว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู
และเอาดี้ แต่ยังไม่ถึงขั้น มายบัค หรือ โรลส์ รอยซ์ ทำให้ เบนท์ลีย์ กลายเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับมหาเศรษฐี
ที่ไม่อยากจ่ายส่วนเกินที่มากไป สำหรับรถระดับที่สูงกว่านั้น ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ปีนี้ เบนท์ลีย์ ยังคงนำ 2 รุ่นที่ขายอยู่
รวมทั้ง Continental GT คูเป้ 2 ประตู ที่ผมเคยลองนั่งแล้วประทับใจคันนั้น มาจอดแสดงอยู่เช่นเคย
—————————————————————————————–
***** J a g u a r *****
รถยนต์ระดับพรีเมียม จากอังกฤษ ที่อยู่ในข่ายเตรียมโดนขายทิ้งออกจากร่มเงาของฟอร์ดในอีกไม่นานเกินรอ
ยังคงเดินหน้าต่อสู้กันต่อไป ด้วยการเปิดตัว XF ซีดานขนาดกลางรุ่นใหม่ ที่จะต่อกรกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class
และ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 รวมทั้งเอาดี้ A6 ด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่างกับรถทั้ง 3 รุ่น ที่เอ่ยถึงมา อย่างสิ้นเชิง!
แจกัวร์ เปิดตัว XF ใหม่ ในญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ 2 ในโลก ต่อเนื่องจาก แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ สดๆร้อน
XF นั้นถือว่า สร้างปรากฎการณ์ใหม่อันน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างดี ก็แน่ละ นี่คือ รถยนต์รุ่นสำคัญที่จะกำหนดชะตากรรมของแจกัวร์
นับจากนี้เป็นต้นไปแล้ว แจกัวร์ พยายามระดมสรรพวิทยายุทธในการพัฒนารถรุ่นนี้ รวมทั้งอัดแน่นเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปอย่างที่
ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน แต่ที่เด่นสุดคือ เกียร์อัตโนมัติ ที่ ไม่มีคันเกียร์ แต่ ใช้ปุ่มหมุนแบบมือบิด !!
คาดว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด XF ใหม่ น่าจะเปิดตัวในประเทศไทย ภายในปี 2008 นี้
—————————————————————————————–
***** L a n d R o v e r *****
แบรนด์ รถตรวจการ ในร่มเงาของฟอร์ด อีกราย ที่ชะตากรรมพลิกผัน ให้เตรียมตัวเก็บเสื้อผ้า
ออกจากร่มเงาฟอร์ด ตามแจกัวร์ไปในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้
ที่ผ่านมา หลังการย้ายตัวเองออกจากเครือ บีเอ็มดับเบิลยู มาอยู่กับฟอร์ดแล้ว
แลนด์ โรเวอร์ พยายามพลิกผันตัวเองมาตามกระแสตลาด จนกลายเป็นแบรนด์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแต่เอสยูวี
เพียงอย่างเดียว ในตลาดญี่ปุ่น ถือว่ายังพอมีกลุ่มที่นิยมเอสยูวี จากอังกฤษรุ่นนี้ ในระดับเดียวกันกับแฟนๆในเมืองไทย
แต่ด้วยบุคลิกการทำงานของชาวอังกฤษ ทำให้ทั้ง 2 แบรนด์นี้ มีชะตากรรมที่ไม่ต่างกันมากนัก
ปีนี้ แลนด์ โรเวอร์ ได้ฤกษ์ เปิดตัว Free Lander ใหม่ LR2 เจเนอเรชัน 2 ของ ตัวลุยพันธุ์เล็ก สู่ตลาดญี่ปุ่นกันเสียที
พื้นที่บูธของแลนด์โรเวอร์นั้น เอาเข้าจริงแล้ว พอกันกับ แจกัวร์ แต่ใหญ่กว่าฟอร์ด เสียด้วยซ้ำ ทั้งที่พยายามจะแบ่งสรรปันพื้นที่
กันอย่างดิบดีมาแล้ว
—————————————————————————————–
***** V O L V O *****
แม้จะตกเป็นข่าวลือ ว่า จะติดร่างแห โดนอัปเปหิออกจากร่มไม้ชายคาของฟอร์ด
ร่วมกับ แจกัวร์ และแลนด์โรเวอร์ อันเนื่องมาจากว่า ทั้งสองแบรนด์ที่เหลือ จูงมือกันใช้ข้าวของ
และชิ้นส่วนวิศวกรรมร่วมกันเยอะแยะมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
แต่ในที่สุด วอลโว ก็จะยังคงยืนหยัดอยู่กับฟอร์ดต่อไป อย่างน้อยๆก็อีกสักระยะ
ด้วยความแข็งแกร่งของ แบรนด์ แคแรคเตอร์ ที่ยังคงเน้นความอบอุ่นและปลอดภัยในแบบ สแกนดิเนเวียน ดีไซน์
คราวนี้ วอลโว สั่ง V70 และ XC70 ใหม่ มาจอดบนแท่นหมุน และขวางบันไดบูธเอาไว้เสียดื้อๆอย่างนั้น
ยั่วความสนใจของชาวญี่ปุ่นกันได้เรื่อยๆ เวอร์ชันไทย รอกันได้ในปี 2008 เป็นอย่างเร็วที่สุด
ส่วน เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม ที่วอลโวเองก็ยังคงเน้นย้ำมาตลอด ก็ยังคงนำ C30 คันต้นแบบ
จากงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ มาจัดแสดงกันต่อเนื่อง และคาดว่าเราคงเห็นรถคันนี้ออกเดินสายแสดงโฉม
กันต่อไปตลอดทั้งปี 2008 เลยทีเดียว
นอกจากนี้ วอลโว ยังนำ PV544 รถแวนรุ่นแรกของตน ในสภาพที่ฟื้นฟูมาอย่างดี มาจัดแสดงให้ได้ชมถึงบรรพบุรุษ
ของรถแวกอน รถที่ทำยอดขายให้วอลโว ในหมู่บรรดาลูกค้าสตรี เพิ่มขึ้นมากมายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
มาจัดแสดงให้ชมกันอีกด้วย
—————————————————————————————–
**** Lamborghini *****
หลังจาก มาอยู่ในบ้านของโฟล์กสวาเกน กรุ๊ป ผู้ผลิตรถสปอร์ตแห่งนี้ มีสง่าราศีดีขึ้นทั้งในด้านภาพลักษณ์
ยอดขาย และการพัฒนาด้านคุณภาพการผลิต จนเฟอร์รารี เอง ที่เคยหยิ่งๆ ก็ยังต้องมาชำเลืองมองกันบ้าง
ตามประสาคู่แข่งตัวฉกาจ
สำหรับค่ายกระทิงดุ แห่งอิตาลี ปีนี้ นอกเหนือจาก Gallado Spyder เวอร์ชันเปิดประทุน ของรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อ
กัลญาโด ……
และ Gallado Superleggela รุ่นพิเศษของกัลญาโด ขุมพลัง V10 4,961 ซีซี 530 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 510 นิวตันเมตร แล้ว…
ยังมีรุ่นพิเศษ จอดเด่นอยู่กลางบูธ รถคันนี้ก็คือ Murcielago Reventon (อ่านว่า มูร์ธิเอลาโก รีเวนตัน)
ถ้าจะให้กล่าวโดยสรุปก็คือ
เป็นการนำ มูร์ธิเอลาโก LP460 มาปรับปรุงใหม่ จนเป็นเวอร์ชันน้ำหนักเบา และแต่งหน้าแต่งตาให้โฉบเฉี่ยวขึ้นนั่นเอง
—————————————————————————————–
ส่วน อีก 2 บูธที่ไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปมาให้ได้ชมกันนั้น เห็นจะเหลือแต่เพียงแค่ Ferrari ที่นำ F430 Scuderia เวอร์ชันลดน้ำหนักลง
และเพิ่มแรงม้าให้สูงขึ้น มาเปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ ด้วยตัวถัง สีฟ้าสวย รวมทั้งสำนักแต่งสำหรับบีเอ็มดมับเบิลยู ในชื่อ ALPINA ที่เปิดตัว B6S
ซึ่งเป็นการโมดิฟายตัวรถ บนพื้นฐานของ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 6 นั่นเอง
เอาละครับ ในเมื่อ เวลาของผมไม่เพียงพอที่จะพาคุณๆ ไปเดินชมบูธของรถจักรยานยนต์ รวมทั้งรถยนต์โบราณฝั่งญี่ปุ่นรุ่นต่างๆ
ไปจนถึงรถบรรทุก และรถเพื่อการพาณิชย์ ในอาคารอื่นๆออกไป ดังนั้น ผมจึงขอเก็บบรรยากาศรอบๆ ของสถานที่จัดงาน มาคุฮาริ เมสเสะ
มาดูกันสิว่า ถ้าจะต้องเดินเที่ยวชมงาน แล้วเกิดหิวขึ้นมา หรืออยากจะเข้าห้องน้ำ ควรจะทำอย่างไร
ข้อแรก ถ้าคุณเป็นสื่อมวลชน หรือตั้งใจว่าจะเข้าชมงานในรอบสื่อมวลชน แล้วขอบัตร เข้าชมงานแบบ Press ได้เรียบร้อย
ทันทีที่คุณเข้างานในเช้าวันแรก ช่วงเวลา 9.30 น. สิ่งที่คุณควรจะทำนั้น ขึ้นกับว่า คุณอยากจะทำงานก่อน หรืออยากจะถ่ายรูป ชมรถก่อน
ถ้าเลือกอย่างแรก คุณควรจะวิ่งตรงรี่ เข้าไปยังห้องสื่อมวลชน แสดงบัตร สื่อมวลชน ซึ่งปีนี้ ใช้ u-chip อันเป็น ชิพ ที่มีขนาดเล็กมากๆ
ราวๆ กากเพชร เห็นจะได้ 3-4 อัน ฝังไว้ ที่กระดาษธรรมดา แล้วแปะสติ๊กเกอร์ทับเอาไว้ แล้ววิ่งไปเก็บเอกสาร Press release ให้เรียบร้อย
ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดเลื่อน ไปจองห้องล็อกเกอร์เอาไว้ ซึ่งปีนี้ ระบบล็อกเกอร์ เปลี่ยนแปลงใหม่ โดยใช้บัตร Press ซึ่งมี u-chip แปะไว้ที่ด้านหลัง
จากนั้น เจ้าหน้าที่จะสั่งพิมพ์สติ๊กเกอร์ออกมาจากเครื่อง แยกเป็น 2 ชิ้น ชิ้น เป็นใบรับของให้เรา และแปะไว้ที่สัมภาระ แล้วเขาจะนำไปวางเอาไว้
ในตำแหน่งที่จัดเก็บไว้ เมื่อถึงเวลาอยากรับของคืน ไปแพ็คกลับเมืองไทย ก็ไปรับของคืน ด้วยการ สแกน บัตร Press อีกครั้งหนึ่ง เท่านี้เอง
แต่ถ้าเลือกอย่างหลัง คุณเดินเล่นได้อย่างสบายอารมณ์ รับเอกสารสื่อมวลชน จากแต่ละบูธโดยตรง หรือขอแค็ตตาล็อกของรถรุ่นที่ต้องการไว้เยอะๆ
รวบรวมไว้ทีเดียว แล้วค่อยไปใช้บริการ ส่งพัสดุ กลับมายังประเทศไทย ซึ่ง สปอนเซอร์อย่าง DHL บริการคุณฟรีๆ แต่เมื่อพัสดุมาถึงเมืองไทย คุณคงต้อง
โทรบอกคนที่บ้านให้ออกค่าภาษีไปก่อน ปกติ ที่ผมเจอมา จะอยู่ในช่วงประมาณ 700-900 บาท ถ้าน้ำหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัม และโดยปกติ เขาจะกำหนดให้คุณ
แพ็คของส่งกลับมาได้ฟรี ถ้าไม่เกิน 20 กิโลกรัม
ปีนี้ คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล ไม่มีเหลือสำรองไว้ให้อีกต่อไป เพาะนักข่าวทั่วโลกส่วนใหญ่ หาซื้อ โน้ตบุ๊คมาใช้เอง ทางผู้จัดงานเลยเตรียมแค่
ระบบ Wi-Fi เพียงเท่านั้น และยังคงมีเครื่องคอมพิวเตอร์ McIntosh ให้บ้างประปราย มีเครื่องพรินเตอร์ และเครื่องถ่ายเอกสาร รอไว้ให้ และ
ยังมีโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ให้โทรกลับไปยังสำนักงาน และบ้านกันฟรีๆ เหมือนเดิม ซึ่งอำนวยความสะดวกอย่างมาก สำหรับพวกเรา
นอกจากนี้ กล้องใครเกิดพังขึ้นมา ยังมีเจ้าหน้าที่จากทั้ง Canon และ Olympus มาตั้งบูธเล็กๆ รับบริการซ่อมกล้องให้ฟรีๆ ตามยี่ห้อของตนอีกด้วย!!
นี่คือทางเข้าพื้นที่สำหรับสื่อมวลชน ซึ่งต้องใช้บัตร Press ที่มี สติ๊กเกอร์ แปะทับ u-Chip ไว้ด้านหลัง
ปกติแล้ว ในรอบสื่อมวลชน จะมีอาหารกล่อง แจกฟรีให้กับสื่อมวลชน ในห้องประชุม ซึ่งปีนี้มีให้เลือก 4 แบบ แต่ผมไม่ได้ทานเลยสักแบบ
เพราะมัวแต่เดินถ่ายรูป เก็บรายละเอียดต่างๆให้ได้มากที่สุด ไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่
จนกระทั่งเวลาผ่านไป ชักเริ่มหิวแล้ว ทำอย่างไรดี….
เจ้าหน้าที่เค้าปิดบริการแล้วแหะ…
งั้นเราถือโอกาสนี้ มาสำรวจของกิน ในบริเวณ งานดีกว่า
เริ่มกันจาก ฮ็อตด็อก ใส่้เนื้อผัดหัวหอม
ซื้อจากร้านคุณป้า บริเวณงาน
ขอบอกว่า รสชาติหนะ แค่กินกันตายเท่านั้น
น้ำเปล่าที่นี่ ถ้ากดเอาจากตู้ขายอัตโนมัติ ส่วนใหญ่จะพบแต่น้ำแร่
และมีหลายยี่ห้อมากกว่าเมืองไทย คือมันมีเป็นสิบๆยี่ห้อ
จนไม่รู้จะเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี
แต่เอาเถอะ ราคาปกติจะอยู่ที่ประมาณ 120-150 เยน
ขณะที่ โค้ก หรือ เป๊ปซี่ กระป๋องละประมาณ 130 เยน
แต่ถ้าเกิดอยากจะประหยัดเงิน แต่ ก็อยากอิ่มท้องมากขึ้น
อาหารกล่อง กล่องละราวๆ 300 เยน เหล่านี้
ก็พอจะอยู่ท้องได้บ้างแต่ไม่อิ่มนัก และรสชาติ ก็แค่พอทน
คือดีกว่า ฮ็อตด็อก เมื่อสักรู่นี้อยู่พอสมควร แต่ยังไม่ถึงกับอร่อยนัก
เป็นฝีมือพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่น มีให้เลือกทั้งหมู หรือ เนื้อ
ก่อนซื้อ ถามเค้าให้ดี ว่า Pork or Beef
แต่ถ้าคุณมีเงินเหลือ ขอแนะนำว่า ซื้อข้าวแกงกะหรี่ กิน จะอิ่มด้วย และอร่อยด้วยมากกว่ากันอีกนิด
แต่ราคาก็จะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คือตั้งแต่ 600 เยนขึ้ินไป
มีในร้านอาหารขนาดใหญ่ กลาง ฮอลล์ 2 นั่นละครับ
แต่รายการที่ผมไม่อยากให้่คุณพลาดเ้ลยก็คือ
Soft Cream ครับ!
ไอศกรีม วนิลลา หรือจะเอาช็อกโกแล็ต ก็ได้
แบบเดียวกับที่คุณเคยซื้อทานที่ห้างเซ็นทรัล สมัยก่อน
และสมัยนี้มันหาไม่ได้อีกแล้วนั่นละครับ
ราคา โคนละ 300 เยน ตก โคนละ ประมาณ 90 บาท
แต่ขนาดนี่แบบว่า อิ่ม สะใจ หวานมัน กำลังดี
แบบที่หาไม่ได้ในเมืองไทย 2 ปีผ่านมา รสชาติเดิมเคยเป็นอย่างไร
ปัจจุบัน รสชาติมันก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมเป๊ะ!
และเชื่อขนมกินได้เลยว่า อีก 2 ปีข้างหน้า ปี 2009
ถ้าเค้ายังขายอยู่
รสชาติก็จะยังคงเหมือนเดิม! พบได้ที่ร้านค้าทั้งฮอลล์กลางและฮอลล์ 1
ชื่อร้านนี้ อ่านเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า นิวเวฟ ครับ
แ่ต่คนขายนี่แบบว่า ป้า โอล์ด เวฟ มากๆเลย
นอกจากนี้ ในงานยังมีกิจกรรมต่างๆให้เลือกชมกันตามข้างทางอีกเยอะ
ไม่ว่าจะเป็นบูธรถจำลอง 1/64 และ Choro-Q จาก TOMY -TAKARA
หรือ บูธจากค่ายสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ถ้าเป็นคนที่ชอบ
เดินเข้าออกตามร้านหนังสือญี่ปุ่น ทั้ง Tokyodo Thai Bundo และ Kinokuniya อยู่บ่อยๆ
แต่ที่หลายคนแวะลองเล่นกัน ก็คือ เกมส์ Gran Turismo ซึ่งมาออกบูธกันทุกปี
และัปีนี้ ถือว่า เป็นปีอัพเดท อีกครั้งของเกมส์นี้ เป็นเวอร์ชันใหม่
GT 5 Prologue
ซึ่งมีภาพของรถ GT-R ในวันงานยังไม่เปิดผ้าคุลมหน้ารถออก
ในเกม ก็ยังปิดบังหน้ารถเอาไว้
แต่พอในงานเปิดตัวรถเรียบร้อยแล้ว
ผ้าคุลมของรถในเกม ก็ถูกเปิดออกด้วยเช่นกัน!!!!
โอ้ เค้าเตรียมงานกันมาดีมากเลยนะ Sony เนี่ย
ลองดูตัวอย่างภาพในเกมกันหน่อยดีกว่า
แลนเซีย เดลต้า อินทีเกรล คันนี้ เป็นไงบ้างครับ
อีกเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ใกล้จะมาถึงเมืองไทยแล้วละครับ
อดใจอีกนิด สำหรับคอ Playstation 3
ซึ่งตอนนี้ได้่ยินว่า ลดน้อยลง และมีคนหนีไปซื้อเครื่อง wii ของ Nintendo กันเยอะขึ้น
ถ้าใครคิดว่า แบ็ตเตอรี ในกล้องอาจจะหมด
จะมีบูธขายอุปกรณ์กล้อง ของ ฟูจิ
แทรกตัวอยู่ระหว่างรอยต่อของบูธทางเดินต่างๆ ในฮอลล์หลัก
สามารถพึ่งพาได้ ถ่าน AA อัลคาไลน์ ของฟูจิ 4 ก้อน ราคา 500 เยน
——————–
ถ้าถามว่า มีสิ่งใดบ้างไหมที่ผมไม่ชอบเลย
ผมคงตอบได้ว่ามี
และเป็นค่ายรถยนต์ที่ผมตั้งใจจะเลือกมาไว้ปิดท้ายกันในรีวิวชิ้นนี้
และ…ผมกำลังพูดถึงรถยนต์จากค่ายนี้…
***** CHRYSLER // Jeep // Dodge *****
พูดกันอย่างเปิดอกเลย ว่า ดอดจ์ กลายเป็นรถอีกแบรนด์หนึ่งที่ผมไม่ประทับใจเท่าที่ควร ในบรรดารถทุกค่ายที่มาจัดแสดงในงานครั้งนี้
แม้ว่าาจะลงทุนทำเวอร์ชันพวงมาลัยขวาออกมาจัดแสดงในงานนี้ก็ตาม
งานนี้ ไครส์เลอร์ นำมาให้ชมกันเกือบจะครบรุ่นสำคัญๆ ที่ตั้งใจจะนำไปบุกตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น ซีดานขนาดกลางรุ่นใหม่
ในชื่อเก่าที่กลับมาเกิดใหม่อย่าง Dodge Charger (คันซ้าย)
หรือ จะเป็น คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก ทรงสูง คู่แข่งกับ Toyota Matrix / Pontiac Vibe / Toyota Voltz
อย่าง Dodge Caliber (คันขวา)
เพราะเมื่อขึ้นไปลองนั่งมาแล้ว ทั้งดอดจ์ คาลิเบอร์ ผมพบว่า วัสดุที่ไครส์เลอร์ เลือกใช้กับรถดอดจ์ นั้น มันช่างไม่น่าสัมผัสหรือจ่ายเงินเพื่อซื้อมาใช้
เอาเสียเลย
เบาะนั่งด้านหลัง ก็มาแนวเดียวกับ เชฟโรเลต เอวิโอ ในบ้านเรา คือ เบาะรองนั่งหนะ นิ่มเป็นฟองน้ำ แต่พนักพิงหลังแข็งเป๋ง
เหมือนพิงกำแพงรั้วบ้าน
ชวนให้ผมสงสัยว่า จะมีคนญี่ปุ่นสักกี่คนกัน ที่จะยอมจ่ายเงิน 2,940,000 เยน เพื่อรถแฮตช์แบ้ก 5 ประตู ที่ตกแต่งภายในอย่างแปลกๆ คันนี้
ขณะที่ Dodge Avenger ใหม่ ก็เป็นอีกคันหนึ่ง ที่ให้บรรยากาศที่ไม่ดีเท่าใดนักเลยเมื่อขึ้นไปนั่ง ทั้งที่สร้างขึ้นบนแพล็ตฟอร์มเดียวกับ
มิตซูบิชิ กาแลนท์ รุ่นปัจจุบัน ในสหรัฐฯ แต่คุณภาพของตัวรถนั้น ออกมาเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
การจัดวางสวิชต์ ที่พวงมาลัยมาแบบแปลกๆ คือด้านหลังก้านพวงมาลัยจะมีปุ่มกดอยู่ แต่ ยากจะเดาเหลือเกินว่า มีมาให้ไว้ทำไม
ไม่มีอะไรให้สังเกตเลยว่า ทำออกมาเพื่ออะไร ส่วนเบาะนั่ง ก็ไม่สบายตัวเท่าที่ควร
เบาะหลังเอง ก็มีปัญหาเดียวกันกับคาลิเบอร์ ไม่มีผิด จนชวนให้สงสัยมากว่า เค้านัดกันมาให้เป็นแบบนี้กันทั้งแบรนด์หรือเปล่าเนี่ย?
และ Dodge Nitro เป็น เอสยูวีขนาดกลาง ที่ดูเหมือนจะตกแต่งภายใน ดีกว่าคันอื่นๆ ในค่ายอยู่ไม่น้อย
แต่พอเอาเข้าจริง ก็รู้สึกได้ว่ายังไม่ลงตัวเท่าที่ควร การเข้าออกจากตัวรถนั้น ทำได้ดี แต่พอขึ้นไปนั่งแล้ว บรรยากาศยังรู้สึกคับแคบ
ปรับพวงมาลัย และท่านั่งอย่างไร ก็ยังไม่ลงตัวได้โดยง่ายเสียที
ส่วนเบาะคู่หลัง เหมือนกับ 2 คันแรกไม่มีผิด! เฮ้ย มันอะไรกันเนี่ย ขนาดถอดอคติออกไปแล้วคิดว่ามันน่าจะดีกว่า 2 คันแรกแล้วนะนั่น!
นี่ยังไม่นับ Nitro รถสปอร์ต ขนาดเล็ก เปิดประทุน ซึ่งถูกจัดแสดงไว้ อย่างน่าสงสาร คือถูกจัดวางไว้ข้างๆ บูธ แล้วมีรั้วล้อมเอาไว้
ด้วยความไม่ประทับใจทั้งหมด ดังนั้น เมื่อเดินลงมาจาก ดอดจ์ ไนโตร คันสุดท้ายแล้ว ผมไม่เหลือความรู้สึกที่อยากจะขึ้นไปหย่อนก้นสัมผัส
เอสยูวี ในแบรนด์ จี๊ป รวมทั้งไครส์เลอร์ 300C ที่จอดโชว์ตัวอยู่ในพื้นที่ติดๆกันเอาเสียเลย แม้จะรู้ว่า จี๊ป ตกแต่งดีกว่า ดอดจ์ อย่างแน่นอน ก็ตาม
สุดท้าย ก็ถึงเวลาที่เราต้องลาจาก มาคุฮาริ เมสเสะกันแล้ว
2 วัน รอบสื่อมวลชน ที่เดินครบเฉพาะบูธรถยนต์นั่ง
หาก การ์ด SD-RAM ขนาด 1GB ของผม ไม่เดี้ยงไปเสียก่อน
ผมคงไม่ต้องไปไล่ถ่ายภาพมาใหม่ทั้งหมด อีกรอบหนึ่ง
และคงมีเวลามากพอจะเดินไปชมงานในส่วนอื่นๆอีกมากมายที่น่าสนใจไม่้แพ้กัน
เย็นวันที่ 24 ตุลาคม เราเดินทางกันต่อไปยัง Super Autobacs Tokyo Bay ที่ผมจะขอเก็บไว้รายงานอีกครั้งในช่วง บันทึกจากคนบ้ารถ ที่ญี่ปุ่น
ส่้วนเย็นวันที่ 25 เรามุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือไปตามทางด่วนสาย Tohoku
เพื่อจะไปพักที่เมือง Utsunomiya เตรียมตัวไปทดลองขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด ซีวิค ไทป์ อาร์ FCX Concept ฯลฯ อีกมากมาย
ก่อนจะไปพักผ่อนกันที่ Nikko ในช่วงเวลาที่มีทั้ง ฝนมรสุมและเช้าวันกลับ
ที่เราได้เห็นใบไม้สีแดง เหลืองเต็มเมือง (อ่านได้ใน บันทึกจากคนบ้ารถ ที่ญีปุ่น)
ญี่ปุ่น ยังเป็นประเทศที่ ผมชื่นชอบทุกครั้งที่ได้มาเยือน
เพราะมาทีไร จะพบประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละครั้ง
ดังนั้น ผมจึงได้แต่เพียงหวังเอาไว้ว่า โอกาสหน้า จะได้มาชมงานแสดงรถยนต์ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกงานนี้กันอีกครั้ง ใน 2 ปีข้างหน้า
ก็ได้แต่หวังเอาไว้เช่นนั้นจริงๆครับ
————————————————–
J!MMY
1 พฤศจิกายน 2007
2.04 AM.