บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยกลยุทธ์เชิงรุกขับเคลื่อนตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 คัดรถดีไซน์หรูทุกเซ็กเม้นต์ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษแก่ลูกค้าปิดท้ายปีแบบเขย่าวงการ ขณะเดียวกันได้ออกมาตรการเข้มงวด ปกป้องสิทธิ์และผลประโยชน์ของผู้บริโภค พร้อมตั้งเป้าครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาดรถหรูต่อเนื่องเป็นปีที่ 11
ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ยอดการจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ 7 เดือนแรก มีอัตราการเติบโต 5% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาคือที่ 2,710 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ C-Class เซ็กเม้นต์ ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่ 1,023 คันมีอัตราการเติบโตที่ 7% และมีสัดส่วนการตลาดถึง 49% ตามด้วยรถยนต์ E-Class เซ็กเม้นต์ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้มียอดจำหน่ายสูงสุดที่ 1,452 คัน มีอัตราการเติบโตที่ 2% และมีสัดส่วนการตลาดถึง 57 % และสำหรับรถยนต์ S-Class เซ็กเม้นต์ ซึ่งเป็นรถธงมีอัตราการเติบโตที่ 3% และมีสัดส่วนการตลาดถึง 49% และรถยนต์เฉพาะกลุ่มอีก 31 คันโดยการเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของแบรนด์ เมอร์เซเดส-เบนซ์อีกครั้งหนึ่งภายใต้ความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ดาวสามแฉกในด้านความสมบูรณ์แบบ (Perfection) ความงดงามน่าหลงใหล (Fascination) และความรับผิดชอบ (Responsibility) ภายใต้สโลแกน “The best or nothing.”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงรักษาตำแหน่งของการเติบโตสูงสุดในตลาดรถยนต์หรู นอกจากการนำเสนอรถยนต์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าแล้ว การให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย การอบรมพนักงานขาย ช่างเทคนิคที่ได้รับการอบรมอย่างมืออาชีพ ที่ปรึกษาการขาย ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานการบริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้สิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือ “คุณภาพ” ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันในความเป็นเลิศ คุณภาพคือมรดกที่ส่งต่อกันมายาวนานกว่า 125 ปีวันนี้ เราสานต่อวัฒนธรรมองค์กร เพื่อยกระดับความเป็นเลิศด้านการบริการภายใต้โปรแกรม “สัญลักษณ์แห่งความโดดเด่น” (The Marque of Distinction)
มร.สเตฟาน เมอบิอุส รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “สำหรับไตรมาส 4 เราทำตลาดเชิงรุกด้วยการส่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นใหม่ล่าสุดทุกเซ็กเม้นต์ถึง 9 รุ่นด้วยกัน ที่โดดเด่นคือ ทุกรุ่นได้รับการคัดสรรอย่างดีที่สุด และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยการประกาศราคารถใหม่ถึง 7 รุ่นด้วยกันโดยมีไฮไลท์พิเศษใน 2 รุ่นคือรุ่น C 200 BlueEFFICIENCY ซึ่งมาพร้อมกับความสมรรถนะและความแรงเต็มพิกัดที่เหนือกว่าคู่แข่งถึง 184 แรงม้า ด้วยสนนราคาเพียง 2,149,000 บาทเท่านั้น และอีกหนึ่งรุ่นแห่งความประหยัดพลังงานคือ E 200 NGT Elegance BlueEFFICIENCY ด้วยสนนราคา 3,549,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาสุดพิเศษ “best price ever” ซึ่งราคารถใหม่ที่ประกาศในวันนี้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
ตารางรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นใหม่ล่าสุด จำนวน 9 รุ่น ได้แก่
Models/รุ่น เครื่องยนต์
(ซีซี) กำลังเครื่องยนต์
(กิโลวัตต์/แรงม้า) ราคา
(บาท)
C 200 BlueEFFICIENCY 1,796 135/184 2,149,000
C 200 BlueEFFICIENCY ELEGANCE 1,796 135/184 2,739,000
C 200 BlueEFFICIENCY AVANTGARDE 1,796 135/184 2,929,000
C 250 BlueEFFICIENCY AVANTGARDE 1,796 150/204 3,249,000
C 180 BlueEFFICIENCY Coupe 1,796 115/156 3,299,000*
E 200 NGT BlueEFFICIENCY ELEGANCE 1,796 120/163 3,549,000
S 500 BlueEFFICIENCY Long Wheelbase 4,663 320/435 11,199,000
SLK 200 BlueEFFICIENCY Roadster 1,796 135/184 3,899,000*
CLS 350 BlueEFFICIENCY 3,498 225/306 8,399,000
* ราคาโดยประมาณ
นอกจากนี้บริษัทฯได้เพิ่มดีกรีความร้อนแรงด้วยการประกาศใช้ราคารถยนต์ใหม่ในอีก 7 รุ่น ใน C-Coupe และ SLK 200 โดยเฉพาะรถยนต์หรู E-Class saloon เซ็กเมนต์ทั้งหมด ได้แก่ C 250 BlueEFFICIENCY Coupe Edition 1, E 200 NGT BlueEFFICIENCY ELEGANCE, E 200 BlueEFFICIENCY ELEGANCE, E 250 BlueEFFICIENCY AVANTGARDE, E 300 BlueEFFICIENCY AVANTGARDE Sports, E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE และ SLK 200 BlueEFFICIENCY Sports AMG Roadster ทำให้ราคาประกาศใหม่นี้เพิ่มระดับความคุ้มค่าและประหยัดทันทีถึง 100,000 – 200,000 บาท
มร.เมอบิอุส กล่าวเพิ่มเติมว่า การเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดรถหรูรวมถึงการประกาศราคารถยนต์ใหม่ครั้งนี้เพื่อกระตุ้นตลาดและก่อให้เกิดการแข่งขัน พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีทางเลือกได้มากขึ้น การนำเสนอรุ่น C 200 BlueEFFICIENCY โดยทำราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านต้นๆ จะเป็นการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับชั้นนำของโลก ให้สามารถครอบครองรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งพิเศษเนื่องในโอกาสที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ครบรอบ 125 ปี และเราต้องการมอบสิ่งดีๆ พิเศษๆ นี้ให้ลูกค้าของเรา
ข้อเสนอทางการเงินที่เหนือกว่าเฉพาะสำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์
เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเงินของลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกกลุ่ม เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง จึงคัดสรรผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่คือโปรแกรม Extra และ SmartDrive ซึ่ง “Extra” เป็นการรับประกันคุณภาพ เพิ่มในปีที่ 4 และปีที่ 5 เมื่อซื้อรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และใช้บริการทางการเงินกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง เพิ่มความอุ่นใจให้กับลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ) ส่วน “SmartDrive” คือทางเลือกในการขับขี่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และชำระเฉพาะส่วนที่ลูกค้าใช้จริง โดยเราจะดูแลรถยนต์ให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาเช่าและ เมื่อครบกำหนดสัญญาลูกค้าเพียงนำรถมาคืนให้กับบริษัทฯ และรับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ คันใหม่
ในโอกาสครบรอบ 125 ปีเมอร์เซเดส-เบนซ์ สำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อรถยนต์รุ่น C 200 BlueEFFICIENCY ราคา 2,149,000 บาท สามารถเลือกแคมเปญ StarChoice จาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่งได้โดยชำระรายเดือนแค่ 25,900 บาท หรือเพียง 864 บาทต่อวันเท่านั้น
ดร. เพาฟเลอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีพันธสัญญาที่จะทำธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว มีการลงทุนในโรงงานประกอบรถยนต์ ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากแก่คนไทย เรามีความภาคภูมิใจที่จะบอกว่ากระบวนการประกอบรถยนต์ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ตรงตามเกณฑ์มาตรฐานจนเราสามารถผ่านได้รับคะแนนเต็ม 10 จาก 10 คะแนน ซึ่งโรงงานประกอบรถยนต์ในไทย จึงเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่กล่าวถึงในทั่วโลก นอกจากนี้เราเห็นความสำคัญของบุคคลากรของเรา โดยมีโปรแกรมพัฒนาศักยภาพของบุคลากรโดยเฉพาะ เพื่อให้พนักงานมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีทักษะอันเป็นเลิศในการทำงาน สามารถสนองตอบการให้บริการแก่ลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยอย่างมืออาชีพ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก”
เราอยากจะเน้นย้ำว่า เรามีความห่วงใยและอยากดูแลพร้อมปกป้องผลประโยชน์ลูกค้าทุกท่านให้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์แบบไร้ความกังวลหรือโดยปราศจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในหลายๆ ด้าน อาทิ เช่น รถใหม่ป้ายแดงจริงหรือไม่ อุปกรณ์หรือฟิทเจอร์ต่างๆ ที่ติดมากับรถได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ใช้ได้ตามกฎหมายไทยหรือเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศหรือโครงสร้างในแต่ละประเทศหรือไม่ ชิ้นส่วนอะไหล่แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์อันนำมาสู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินหรือไม่ หรือเอกสารสัญญาการขายรวมถึงใบเสร็จรับเงินมีความถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือ เป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจแบบขาวสะอาด ซื่อตรง โปร่งใส เราให้ความเคารพต่อกฎระเบียบ และข้อกฎหมายของประเทศไทย โดยเฉพาะการเสียภาษีแก่ภาครัฐด้วยความเที่ยงตรง และครบเต็มจำนวนมาโดยตลอด มั่นใจได้ว่า ลูกค้าที่ซื้อรถจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเมอร์เซเดส-เบนซ์จะไม่มีความกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้น
เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ให้แก่ลูกค้ารถเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมทั้งรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ให้เกิดความเสียหาย บริษัทจึงได้มีมาตรการบริการหลัง การขายรถยนต์นำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระคือยังคงให้บริการตามปกติ แต่ไม่มีการรับประกันคุณภาพสินค้า (Warranty) รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่นำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระที่ผลิตตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นมา ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป โดยต้องมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าสูงสุดถึง 500,000 บาท
“นอกจากนั้นเราได้สร้างความประทับใจและความมั่นใจให้ลูกค้าผ่านการบริการหลังการขาย และการใส่ใจและดูแลลูกค้าที่เป็นเลิศ ด้วยการรับประกัน 3 ปีไม่จำกัดระยะทางและสิทธิพิเศษ Star Assist โปรแกรมพิเศษที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงโดยลูกค้าของเราจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้โดยตรงจากโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ 30 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ว่าควรเลือกซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ จากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น” ดร. เพาฟเลอร์กล่าวสรุป
thunyaluk@caronline.net
มูลนิธิกลุ่มอีซ…
“มหกรรมยานยนต์ …
นายณัทธร ศรีนิเ…