เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยที่สุดของความหรูหราไร้ขีดจำกัดกับทัพรถยนต์แห่งอนาคต 6 รุ่นใหม่ที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดยิ่งกว่าที่เคยให้กับผู้ใช้รถยนต์ไทย ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2564 ที่อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี ด้วยไฮไลต์เด่นของการนำทัพรถยนต์แห่งอนาคตจาก 4 ซับแบรนด์ ได้แก่ Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ Mercedes-Benz มานำเสนอพร้อมกันบนเวทีเดียวเป็นครั้งแรก เริ่มด้วยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ “The new EQS 450+ AMG Premium” จาก Mercedes-EQ ยานยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมทำตลาดด้วยรุ่นประกอบในประเทศไทย เริ่มต้นในปี 2565 ตามด้วย “Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium” ที่สุดแห่งยนตรกรรมเอสยูวีระดับอัลตราลักชัวรีกับความพิถีพิถันที่ยกระดับขึ้นอีกขั้นในทุกรายละเอียด และ “Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium” ยนตรกรรมตระกูลเอสคลาสที่เป็นที่สุดทั้งในเรื่องของความหรูหรา นวัตกรรมสุดล้ำหน้า และความปลอดภัย ในรูปแบบยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริดใหม่ ตามด้วยทัพรถยนต์ใหม่อีกหลายรุ่น อาทิ “Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+” “Mercedes-AMG GLE 53 4MATIC+” และ “Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium” พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ “Mercedes-Benz Limitless Offers” กับข้อเสนอที่พลาดไม่ได้สำหรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์หลายรุ่น และสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมายจากโปรแกรม MBSP ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2564 ที่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 และที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เรานำเสนอ 4 ซับแบรนด์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้แก่ Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ Mercedes-Benz พร้อมกันบนเวทีเดียว เพื่อมอบประสบการณ์ลักชัวรีในรูปแบบที่หลากหลายและแตกต่างกัน ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างดีที่สุด เริ่มจากการเปิดตัว “The new EQS” ยานยนต์ไฟฟ้า 100%จาก Mercedes-EQ คันแรกอย่างเป็นทางการ ภายใต้การปรับกลยุทธ์ของเราจาก “รถยนต์ไฟฟ้านำ” (electric-first) เป็น “รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (electric-only) ที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2573 และเป็นการสานต่อความมุ่งมั่นระยะยาวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการขับเคลื่อนเทรนด์ e-mobility เพื่อร่วมสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น ซึ่งเราเริ่มต้นไว้ตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ “Charge to Change” ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมีไฮไลต์พิเศษของรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ให้ได้ตื่นเต้นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเผยโฉม “Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium” ที่สุดของความเป็นเอสยูวีระดับอัลตราลักชัวรีที่แฟน ๆ เมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องตื่นเต้น การนำเสนอทางเลือกใหม่ในแบบปลั๊กอินไฮบริดของรถยนต์รุ่นเอสคลาสกับ “Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium” และการเผยความแรงระดับลักชัวรีจากแบรนด์ Mercedes-AMG สองรุ่น ได้แก่ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ และ Mercedes-AMG GLE 53 4MATIC+ พร้อมรถยนต์รุ่นอื่น ๆ อย่างครบครันทุกเซกเมนต์ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษที่ทุกคนรอคอยตลอดช่วงเวลาของการจัดงาน ทั้งที่งานมหกรรมยานยนต์และที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศด้วย”
นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นอกจากทัพรถยนต์จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่เราจัดมาให้ลูกค้าครบครันเช่นเคย ที่งานมหกรรมยานยนต์ครั้งนี้ เรายังมีความยินดีเปิดตัวโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์โฉมใหม่จากที่รู้จักกันในชื่อ Mercedes-Benz Service Plus เราได้ทำการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ให้ลูกค้าได้มีความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นพร้อมสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมมากมายภายใต้ชื่อ “ MBSP” พร้อมโปรแกรมและระยะเวลาที่ลูกค้าสามารถเลือกเป็นเจ้าของได้ตามไลฟ์สไตล์การขับขี่ถึง 3 โปรแกรมได้แก่ Easy Care Program – โปรแกรม Maintenance ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถในเมืองขับขี่ในระยะทางสั้น Extra Guarantee Program – โปรแกรมขยายระยะเวลารับประกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถน้อย และต้องการขยายระยะเวลารับประกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ระยะยาว และ Ultimate Program –All Inclusive Program เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานมาก ๆ เป็นประจำ โดยลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการใช้งานทั้ง 3 โปรแกรมได้สูงสุดถึง 8ปีขึ้นอยู่กับความต้องการ โดยสามารถเลือกซื้อในเวลาใดก็ได้ภายใน 3 ปีตามระยะเวลารับประกันรถยนต์ และที่พิเศษสุดสำหรับโปรแกรม “MBSP” นี้คือเป็นโปรแกรมที่ไม่จำกัดระยะทางและจำนวนครั้งเป็นไปตามจำนวนการใช้งานจริงตามเงื่อนไขการรับประกันของ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Star Assist ตลอดระยะเวลาที่โปรแกรมครอบคลุม และที่พิเศษสุดคือ เราได้เพิ่มสิทธิพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิก “MBSP”ในการเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษที่เป็น Exclusive ต่างๆ ส่วนลูกค้าที่เป็นสมาชิก MBSP อยู่แล้วก็สามารถใช้สิทธิประโยชน์เดิมและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมได้ โดยสมาชิก MBSP จะได้รับ Sticker MBSP แสดงสถานะเพื่อรับสิทธิพิเศษดังกล่าว และทั้งหมดนี้คือโปรแกรมบริการหลังการขายที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ พัฒนาขึ้นในอีกระดับ ให้ตรงตามสไตล์การใช้งานของคุณมากที่สุด เพื่อมอบสัมผัสแห่งประสบการณ์การขับขี่อย่างไร้กังวลตลอดอายุการใช้งาน”
ทั้งนี้ ภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังพร้อมเชื่อมต่อประสบการณ์การขับขี่ที่หรูหราไร้ขีดจำกัดทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยพลิกโฉมหน้าการสร้างสรรค์บูธ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ภายในงานใหม่ทั้งหมด ทั้งในเรื่องประสบการณ์การขับขี่จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ผ่านหน้าจอ
ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่รายรอบบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ปีนี้ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมจาก
เมอร์เซเดส-เบนซ์ผ่านการพูดคุยกับ “ดิจิทัลไกด์” ที่ครอบคลุมและครบครันตอบทุกโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์
สำหรับไฮไลต์ของรถยนต์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำมาจัดแสดงภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 ได้แก่
“The new EQS 450+ AMG Premium” คือยานยนต์ไฟฟ้าคันแรกจากแบรนด์ Mercedes-EQ ที่พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย รถยนต์คันนี้รังสรรค์ขึ้นด้วยแพลตฟอร์มของยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ในทุกรายละเอียด ทั้งการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม เรื่อยไปจนถึงดีไซน์ภายนอกและภายในที่สะท้อนเอกลักษณ์ของความเป็นยานยนต์สำหรับโลกอนาคตจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยมาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 100% จากมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวพร้อมความจุของแบตเตอรี่ขนาด 107.8 kWh ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 6.2 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งด้วยความจุของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ทำให้รถยนต์คันนี้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 770 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง
The new EQS 450+ AMG Premium พร้อมเริ่มต้นจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2565
“Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium” ที่สุดแห่งยนตรกรรมเอสยูวีระดับอัลตราลักชัวรีภายใต้แบรนด์ Mercedes-Maybach ที่นำเสนอความพิถีพิถันในแบบที่ยกระดับขึ้นอีกขั้นในทุกรายละเอียด ทั้งด้านการออกแบบและวัสดุตกแต่งภายนอกและภายใน รายละเอียดทางวิศวกรรม และนวัตกรรมที่เป็นที่สุดจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยมาพร้อมขุมพลังเบนซิน V8 Biturbo ขนาด 3,982 ซีซีที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดถึง 557 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตรที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลาเพียง 4.9 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ 250กิโลเมตร/ชั่วโมง
Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 18,000,000 บาท
“Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium” ยนตรกรรมในตระกูลเอสคลาสของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่พร้อมพลิกประสบการณ์ยานยนต์ที่เป็นที่สุดของความหรูหราและความปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำหน้าที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ โดยมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียงพร้อม single-turbo twin-scroll ขนาด 2,999 ซีซี ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 ขนาด 28.6 kWh มอบพละกำลังสูงสุดถึง 510 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดถึง 750นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.2 วินาที โดยขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ซึ่งภายใต้การประสานพลังระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้านอกจากจะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจให้กับผู้ใช้แล้ว หากขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวยังสามารถพารถยนต์คันนี้ไปได้ไกลสูงสุดถึง 94 – 113*กิโลเมตร (*ระยะทางจากการทดสอบ WLTP : Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure)
Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium วางจำหน่ายในราคา 7,190,000 บาท
“Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+” ยนตรกรรมที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Performance car ตัวจริง ด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ ขนาด 2,999 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุดถึง 435 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดถึง 520 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,800รอบ/นาที ให้อัตราเร่งที่พุ่งทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G transmission พร้อมผสานความหรูหรา สง่างาม ความทันสมัย ในดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของยนตรกรรมที่เป็น iconic model จากเมอร์เซเดส-เบนซ์
Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ วางจำหน่ายในราคา 5,570,000 บาท
“Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium” ยนตรกรรมที่ได้รับการออกแบบมาโดยผสานความสปอร์ต ความหรูหรา ความสง่างาม และความทันสมัยได้อย่างลงตัว โดยมาพร้อมขุมพลังของเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุดถึง 194 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลา 7.5 วินาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC และระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel Gearshift Paddles) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium วางจำหน่ายในราคา 4,450,000 บาท
“Mercedes-AMG GLE 53 4MATIC+” ยนตรกรรมเอสยูวีคันแรกจากแบรนด์ Mercedes-AMG ที่ประกอบในประเทศไทย พร้อมให้คุณสัมผัสความแข็งแกร่งเหนือระดับในแบบฉบับยนตรกรรมตระกูล AMG ด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ ขนาด 2,999 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุดถึง 435 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดถึง 520 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,800 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งที่พุ่งทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.3 วินาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ AMG SPEEDSHIFT TCT 9-speed Sport transmission พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่พร้อมทลายทุกข้อจำกัดในทุกเส้นทางและตอบสนองต่อทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
Mercedes-AMG GLE 53 4MATIC+ วางจำหน่ายในราคา 5,990,000 บาท
สำหรับแคมเปญ “Mercedes-Benz Limitless Offers” มอบข้อเสนอที่พลาดไม่ได้สำหรับรถยนต์
เมอร์เซเดส-เบนซ์หลากหลายรุ่น พร้อมสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
เพิ่มเติมพิเศษ รับบัตรน้ำมันมูลค่า 5,000 บาทฟรี เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อ, สัญญามายสตาร์ หรือสัญญาเช่าทางการเงิน*
*สิทธิพิเศษนี้เฉพาะลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ รับมอบรถยนต์ และเริ่มต้นสัญญาทางการเงินกับบริษัท
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564 เท่านั้น ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อพบกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นต่าง ๆ นำโดย The new EQS 450+ AMG Premium” “Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium” และ “Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium” พร้อมรับข้อเสนอในแคมเปญ “Mercedes-Benz Limitless Offers” ได้ที่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2564 ที่อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mercedes-EQ และ Mercedes-Maybach ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์ Mercedes-EQ และ Mercedes-Maybach อย่างเป็นทางการ 4 แห่ง ได้แก่ ทีทีซี, สตาร์แฟลก, ไพรมัส และ บีเคเค และสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นอื่น ๆ และข้อเสนอต่าง ๆ ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 173,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ยานยนต์ไร้คนขับ และยานยนต์ทางเลือก โดยการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค และเมอร์เซเดส-มี รวมทั้งแบรนด์สมาร์ท และแบรนด์อีคิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมี่ยมรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกือบ 2.4 ล้านคัน และรถตู้กว่า 438,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตกว่า 40 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองกลุ่มธุรกิจ สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม