จั่วหัวแบบนี้หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรนักหนากับการไปทดลองขับรถคันเล็กๆคันนึง อะไรจะขนาดนั้น ลองติดตามอ่านดูแล้วกัน หลังจากการเปิดตัวเจ้าน้องมีนาไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และได้สัมผัสความรู้สึกแค่ผิวเผินในการลองขับดูในครั้งนั้นตาม http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=520&dshow=all
มาครั้งนี้ได้รับเชิญจากทีมงานนิสสันให้ร่วมทริปทดสอบกันไกลถึงภูเก็ต มีหรือที่ผมจะปฎิเสธ ทำการนัดหมายและดูกำหนดการคร่าวๆ เป็นทริปสองวันหนึ่งคืน เจอะเจอกันในวันที่ 23 เมษายน กลับ 24 เมษายนที่ผ่านมา ผมและชาวคณะนัดหมายกันเช้าตรู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน 6.30 น. ผมออกจากบ้านตอนหกโมงโดยขับรถไปจอดทิ้งไว้ที่สนามบินเพราะแค่คืนเดียวเอง และกลับมาตอนเที่ยงๆของอีกวัน จะสะดวกกว่าการนั่งแท็กซี่ไปเพราะค่ารถก็พอๆกับค่าจอด เมื่อไปถึงที่สนามบินก็เจอทีมงานของนิสสันรอรับอยู่ ซึ่งได้ทำการเช็คอินเรียบร้อยแล้วรับตั๋วหรือบอร์ดดิ้งพาสเรียบร้อยก็เข้าไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องโดยต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัยก่อน เมื่อผ่านเข้าไปแล้วก็รอกันอีกซักพักถึงจะได้ขึ้นเครื่องกันเมื่อได้เวลาเราก็ขึ้นรถบัสไปยังเครื่องที่จอดรออยู่ รอบนี้ TG201ดีเลย์เล็กน้อย เมื่อขึ้นไปผู้โดยสารเต็มลำเชียว โดยส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ
แล้วเรื่องตื่นเต้นก็เริ่มขึ้นหลังจากนี้แล้วครับท่านผู้อ่าน เมื่อเครื่องนั้นได้เทคออฟออกไปเครื่องก็สั่นอย่างแรงสังเกตจากช่องเก็บสัมภาระกับจอมอนิเตอร์ภายในห้องโดยสาร ฝรั่งที่นั้งข้างๆผมก็หันมามองแบบว่ามันจะมีไรผิดปกติหรือปล่าว อันนี้ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันได้แต่ยิ้ม ตอบไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้นคุณก็ไปพร้อมกับผมแหละครับ ฮ่าฮ่า ยังครับเรื่องอึ้ง ทึ่ง เสียว นี่ยังไม่จบมีอีกตอนขาลงในจังหวะlandingนั่น หลังจากกัปตันประกาศว่ากำลังลดระดับสู่สนามบินภูเก็ตในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จอมอนิเตอร์ก็แสดงเวลาว่าเหลือประมาณ 2 นาทีจะถึงจุดหมายหลังจากนั้นเขาก็ปิดจอแสดงผลซะงั้นพร้อมๆกับความรู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี่ล้อกางพร้อมปักหัวลงแล้วดิดันเชิดหัวขึ้นพร้อมกับบินวนใหม่อีกรอบ ไม่เอาครับไม่เอาคุณกัปตันผมไม่อยากหยอดเหรียญต่อเวลาเล่นต่อแล้ว ซักพักกัปตันก็ประกาศว่าไม่มีอะไรครับเนื่องจากรันเวย์ไม่เคลียร์เลยต้องวนใหม่ด้วยน้ำเสียงแบบติดตลกนิดหน่อย ไม่เอาละไม่ขำด้วย หลังจากนั้นก็ร่อนลงสู่สนามบินภูเก็ตอย่างปลอดภัย จากจะมาทำข่าวกลับจะกลายเป็นข่าวเองซะงั้น
หลังจากออกจากสนามบินเรามุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่พักเพื่อฟังบรรยายข้อมูลของตัวรถ แนวคิดในการออกแบบและอื่นๆอีก
สุดท้ายภายในห้องประชุมก็แจ้งเส้นทางที่จะใช้ในวันนี้ระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร รอบเมืองภูเก็ต แบ่งออกเป็นสี่ช่วง มีการขับทั้งในเมืองและนอกเมือง
โดยทีมงานแจ้งหมายเลขของแต่ละท่านว่าได้ขับคันไหน ซึ่งจะสลับกันทั้งเกียร์ธรรมดาและ CVT สลับกัน ผมได้หมายเลข 14คันสีดำเกียร์ CVT ก่อนในช่วงเช้า โดยไปกับคุณบีทช่างภาพจากรายการทีวีรายการหนึ่ง ซึ่งแจ้งกับผมว่าขับยาวไปเลยนะเพราะจะคอยบันทึกวีดิโอไปตลอดทาง
ช่วงแรกจาก โรงแรม JW MARRIOTT-สะพานสารสิน-พิพิธภัณฑ์ไทยหัว
ออกจากห้องประชุมมาที่ลานหน้าล็อบบี้ ขบวนรถนิสสันมาร์ชก็มาจอดเรียงกันเกือบ20คัน เปิดประตูรถหมายเลข 14 เอาสัมภาระโยนไปที่เบาะหลัง เข้าประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัย คาดเข็มขัดปรับเบาะที่นั่งซึ่งเป็นแบบกลไก กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า เมื่อทุกคันพร้อมกันหมดแล้วก็เริ่มออกเดินทางกัน ช่วงแรกนั้นขอทำความคุ้นเคยก่อน
เราออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยังสะพานสารสิน เราขับตามกันไปเป็นขบวน การออกตัวนั้นก็ต้องยอมรับว่าพอรับไหวอยู่อย่าลืมนะครับว่าเป็นแค่เครื่องยนต์สามสูบ 1.2ลิตร 79 แรงม้า ที่ 6000รอบ/นาที แรงบิด 106 นิวตัน-เมตรที่ 4,400รอบ/นาที พอเราเริ่มรู้จักกันดีขึ้นแล้วผมก็เริ่มใช้งานเจ้าน้องมีนาซะหน่อย ขับตามกันสักพักขบวนก็เริ่มแตกแถวกันในบางช่วงเพื่อเก็บภาพรถในขณะวิ่งกันอยู่ของช่างภาพ ทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหว การทำงานของเกียร์ที่มีความรู้สึกว่ามันกระตุกแบบตื้อๆ ที่จะไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์เมื่อได้ลองขับครั้งแรกที่โรงงานก็หายไป อาจจะรู้สึกเล็กน้อยในบางจังหวะแต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจจับผิดก็จะไม่รู้สึกเลย
อัตราเร่ง 0-100นั้นบอกก่อนเลยว่าไม่ได้จับเวลา เนื่องจากไม่มีผู้ช่วยในครั้งนี้ เลยพาลนึกไปถึงคู่หูที่จัดรายการร่วมกันทาง เอฟเอ็ม 89.5 ตอนห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนทุกศุกร์นั้นก็คือคุณโอ ผู้ซึ่งจะคอยถ่ายรูปสวยๆมาลงในเวปเวลาที่ไปออกงานด้วย คราวนี้เลยมีรูปน้อยหน่อยเพราะผมไม่ค่อยได้ถ่ายเลยมัวแต่ขับอย่างเดียวเลย
ในช่วงไฮเวย์นั้นสามารถทำความเร็วได้ถึง 140กม./ชม.ในบางช่วง การเร่งแซงนั้นไม่ถึงกับเหนื่อยแต่พอมีลุ้น ขับไปอีกไม่นานก็เข้าสู่เขตเมืองถนนค่อนข้างแคบแต่เจ้าน้องมีนาก็ทำได้ดี คล่องตัวใช้ได้ ซอกแซกไปเรื่อยขับมาจนถึงพิพิธภัณฑ์ไทยหัว เลี้ยวเข้าประตูทางเข้าแล้วถอยจอดเข้าซองในพื้นที่ค่อนข้างจำกัดก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แวะพักกันสักครู่แล้วก็เดินทางกันต่อ
พิพิธภัณฑ์ไทยหัว-แหลมพรหมเทพ
ออกจากพิพิธภัณฑ์ไทยหัวมุ่งหน้าสู่แหลมพรหมเทพ ไม่น่าเชื่อว่ารถเล็กขนาดนี้จะมีการเก็บเสียงที่เงียบ เสียงลมจากภายนอกนั้นเริ่มเข้ามาประมาณ80 กม./ชม.แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเสียงของเครื่องปรับอากาศนั้นดังกว่าเสียงลมจากภายนอก แต่ก็ไม่ทำให้การพูดคุยของผู้โดยสารต้องตะเบ็งเสียงกันแต่อย่างใด ใช้เสียงปกติพูดคุยกันก็ได้ยิน ระบบช่วงล่างนั้นทีมงานได้ออกแบบให้มีช่วงชักยาวขึ้นเพื่อลดการสั่นสะเทือน จากการสังเกตโดยใช้อวัยวะส่วนล่างอันได้แก่น่องกับช่องท้องพบว่าสั่นน้อยมาก แสดงว่าการซับแรงทำได้ดี การยึดเกาะนั้นให้ความมั่นใจได้ ส่วนเบรกนั้นเอาอยู่ ขับกับไปเรื่อยเร่งบ้างผ่อนบ้าง การตอบสนองของคันเร่งก็ไม่เป็นปัญหายังคงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนเกียร์ CVT นั้น ในจังหวะที่ขึ้นเขานั้นทำท่าจะไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ค่อยมีแรงเท่าไร แต่พอรอบได้ก็ไหลมาเทมาทีเดียว หลายคนทักว่าทำไมไม่เปลี่ยนเกียร์ช่วยละ ไม่ละครับ ผมแค่กดคันเร่งลงไปก็ได้เหมือนกัน
สำหรับพวงมาลัยนั้นผมว่าน้ำหนักค่อนข้างเบาไปหน่อยแต่อาจจะเหมาะกับคุณสุภาพสตรีในการขับขี่ แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร ระวังกันหน่อยเวลาตกใจหรือเปลี่ยนเลนกระทันหันอย่าเผลอกระชากพวงมาลัยก็แล้วกันเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน แอร์ระบบดิจิตอลก็ใช้งานง่าย แอร์เย็นฉ่ำและไม่ได้กินแรงเครื่องแต่อย่างใด ในขณะที่อุณหภูมิภายนอกไม่ต่ำกว่า38องศา และแล้วเราก็มาถึงจุดพักรถที่แหลมพรหมเทพ จอดแวะถ่ายรูปพักผ่อนกันเล็กน้อย ได้เวลาเราก็ขับย้อนกลับมาทางเดิมเลี้ยวเข้าร้านอาหารกันเอง ภัตตาคารริมหาดอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ฮ่าฮ่า
ช่วงที่สาม กันเองภัตตาคาร-ปั้ม ปตท.- JW MARRIOTT
ช่วงบ่ายจริงๆแล้วมีสองช่วง แต่ขอเล่ารวมเลยแล้วกันหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วก็มีการเปลี่ยนรถกันเป็นเกียร์ธรรมดา คราวนี้ได้หมายเลข 4 สีดำเหมือนเดิม ปรับตำแหน่งที่นั่งต่างๆเรียบร้อยก็ออกตัว ไม่ได้ใช้เกียร์ธรรมดามานานทำความคุ้นเคยอีกครั้ง คลัทช์นั้นใช้แรงกดไม่มากน้ำหนักกำลังดีไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป เกียร์ธรรมดาก็ขับสนุกเพราะสามารถลากรอบเรียกอัตราเร่งได้ รอบเครื่องสูงกว่าเกียร์ CVT อยู่พอสมควร อัตราเร่งนั้นดีกว่าเกียร์CVTอยู่แต่ไม่ถึงกับฉีกออกเลยเพราะCVTยังสามารถไล่ขบวนได้ทัน
น้ำหนักพวงมาลัยนั้นมีความรู้สึกว่าเกียร์CVTจะดีกว่าอยู่เล็กน้อยเช่นกัน ในเรื่องของการเข้าโค้งนั้น CVT ให้ความมั่นใจมากกว่าอาจเพราะขนาดของยางที่ตัว CVT ใส่ยาง175/60 R15 ส่วนเกียร์ธรรมดานั้นให้ 165/70 R14และในเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่ CVTมีมากกว่า ขับกันยาวๆก็มีเมื่อยเหมือนกัน สำหรับผมแล้วยังไงก็ขอเกียร์อัตโนมัติไว้ก่อน เครื่องปรับอากาศในรุ่นที่เป็นเกียร์ธรรมดานั้นเป็นแบบมือหมุนก็ยังทำความเย็นสู้กับความร้อนภายนอกได้เป็นอย่างดี ขับไปขับมาฝนตกซะงั้น แม้ว่าจะไม่แรงเท่าไรแต่ก็ทำให้ขบวนชะลอความเร็วเพื่อความปลอดภัยเช่นกัน ที่ปัดน้ำฝันกวาดสะอาดดีครับ
เบาะนั่งนั้นพนักพิงนั้นใหญ่ดีรับกับแผ่นหลังพิงได้สบาย เสียแต่เบาะรองนั่งสั้นไปหน่อยทำเอาเมื่อยเหมือนกัน ส่วนเรื่องวัสดุการตกแต่งนั้นผมว่ามันก็เหมาะสมกับราคานะครับ อย่าลืมนะว่ารถราคาเท่าไรอย่าไปเทียบกับรุ่นอื่น และแล้วขบวนเราก็ขับวนมาถึงที่โรงแรมโดยปลอดภัยเป็นอันจบการทดลองขับ หลังจากนั้นก็เข้าไปยังห้องประชุมพูดคุยกับวิศวกรแลกเปลี่ยนข้อมูลรวมถึงปัญหาและความรู้สึกในการขับขี่ ก็แจ้งไปกับสิ่งที่เจอทั้งน้ำหนักพวงมาลัยที่เบาไป ความรู้สึกในการยึดเกาะถนนที่แตกต่างกัน รวมไปถึงเร็วปลายว่าทำได้เท่าไร ทางวิศวกรบอกว่าประมาณ 160กม./ชม.ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียงเพราะว่าผมทำได้ 150 กม./ชม.ทางหมดก่อนแต่รอบยังเหลือน่าจะไปได้อีก แต่รถเล็กนะครับอย่าลืมว่าจะเอาเร็วไปถึงไหน
สรุปส่งท้ายคลายข้อสงสัย จะวิ่งทางไกลไหวรึปล่าว ตอบได้เลยครับว่าไหว รถไปได้เครื่องยนต์ไปไหว ขับต่อเนื่องได้ไม่มีปัญหาแต่อยู่ที่ว่าคนขับจะไหวรึปล่าว จะไปจ่ายกับข้าวหรือเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเขาอาจลุ้นหน่อย แต่พอขับคล่องคุ้นเคยกับรถแล้วน่าจะฉลุย ช่วงล่างมั่นใจได้ในระดับหนึ่งพวงมาลัยอาจจะเบาไปหน่อยสำหรับบางคน ขับขี่ในเมืองคล่องตัวดี การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นตอบไม่ได้ครับไม่ได้ทดสอบ แต่ตอนนี้ผมเชื่อคำพูดของ มร.โทรุ ฮาเซกาว่า แล้วว่าเครื่อง 3 สูบ 1,200 ซีซี มีดีกว่าความที่คิดไว้ ไม่เชื่อไปลองขับดูครับ
เรื่อง PREMSAK PIANPANICH
PREMSAK@CARONLINE.NET
รูป PREMSAK&NISSAN
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…