หนึ่งวันกับฮุนได H-1Deluxe และ Grand Starex ชิลล์ชิล์กับแหล่งวัฒนธรรม:ผู้หญิงขับรถ

บริษัทฮุนไดมอเตอร์ (ไทยแลนด์ )จำกัด จัดกิจกรรมพาสื่อมวลชนทดลองขับ Hyundai H-1 Deluxe และรุ่น Hyundai Grand Starex โดยขับรถชมแหล่งวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ ใข้เวลาหนึ่งวันชิลล์ชิลล์
ก่อนเดินทางก็มารู้จักรถรุ่นนี้กันก่อนนะคะ รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว CRDi พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGT อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบ Sequential shift ที่ให้กำลังที่แรงทันใจ และประหยัดน้ำมัน พร้อมรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร ทำให้ขับขี่ได้อย่างคล่องตัว เป็นรถ 7 ที่นั่ง และ 11 ที่นั่ง


การเดินทางในทริปนี้เราเริ่มต้นอย่างเอร็ดอร่อยที่ร้านอาหารเก่าแก่ บรรยากาศคลาสสิคที่ร้าน “ ออนล็อกหยุ่น “ ย่านถนนเจริญกรุงใกล้ดิโอลด์สยาม เป็นห้องแถว 2 ชั้น ที่เปิดขายมานานกว่า 80ปี ตกแต่งแบบย้อนยุค ให้ได้กลิ่นอายแบบบ้านคนจีนรุ่นเก่า กับเมนูอาหารเช้าง่ายๆ เซ็ตไส้กรอก แฮม เบคอน ไข่ดาว ไข่ลวก และขนมปังต่างๆ เสิร์ฟพร้อมชาจีนร้อน หรือใครที่ชื่นชอบเครื่องดื่มเย็น ก็มีชาเย็น กาแฟเย็นโบราณ โอเลี้ยง ให้เลือกสั่งได้ตามชอบใจ คนเยอะมากเข้าออกตลอดเวลา


จากนั้นเราก็ออกเดินทางด้วยฮุนไดเอชวัน และแกรนด์สตาร์เร็กซ์จำนวน 3 คัน
คันที่ดิฉันนั่งคือ Hyundai H-1 Deluxe ซึ่งเป็นรถแบบ 11 ที่นั่ง ดิฉันนั่งแถวที่ 2 เราไปด้วยกัน 6 คนภายในรถก็กว้างขวาง การขึ้นลงสะดวก เพราะเราพับที่นั่งตรงกลางก็สามารถเดินผ่านกลางได้สบาย หรือจะขึ้นลงด้านข้างติดกับประตูก็ได้ถ้าคนตัวเล็กสามารถเดินขึ้นที่นั่งหลังแถวสองได้โดยไม่ต้องพับที่นั่ง แต่ถึงจะต้องพับที่นั่งก็พับง่ายเพราะที่นั่ง เป็นแบบแยกส่วน ประตูขึ้นลงเเลื่อนเปิดและปิดได้ทั้ง 2 ด้านเลย ด้วยระบบไฟฟ้า ทำให้ขึ้นลงสะดวกยิ่งขึ้น


แอร์เย็นสบายเพราะมีทุกแถวที่นั่ง
เส้นทางที่เราเดินทางไปในวันนี้บางช่วงแคบแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขับรถฮุนได การใช้งานคล่องตัว เวลากลับรถก็ง่ายเพราะวงเลี้ยวค่อนข้างแคบอยู่แล้ว

 

จุดแรกที่เราไปก็คือชุมชนกุฎีจีน ซึ่งต้องผ่านวัดกัลยาณมิตรก่อน


วัดกัลยาณมิตรหรือซำปอกง ประวัติความเป็นมา
เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ต้นสกุลกัลยาณมิตร ว่าที่สมุหนายก ได้อุทิศบ้านและที่ดินบริเวณใกล้เคียง ซึ่งแต่เดิมเป็นหมู่บ้านที่มีภิกษุจีนพำนักอยู่ และเรียกกันต่อมาว่า “หมู่บ้านกุฎีจีน” สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ และน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระราชทานนามว่า “วัดกัลยาณมิตร” และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต ด้วยมีพระประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า คือมีพระโตอยู่นอกกำแพงเมือง อย่างเช่นวัดพนัญเชิง


หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกชื่อแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๕ วา ๓ ศอกคืบ สูง ๗ วา ๒ ศอกคืบ
๑๐ นิ้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ เสด็จก่อพระฤกษ์เมื่อ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๘๐ อยู่ภายในพระวิหารขนาดใหญ่อยู่กลางวัด ตรงกลางระหว่างวิหารเล็กและพระอุโบสถ


ชุมชนกุฎีจีน เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ของฝั่งธนบุรีที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่สมัยสมัยกรุงธนบุรี และยังเป็นย่านชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมอย่างมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จะเห็นได้จากเป็นแหล่งที่ตั้งศาสนาสถานที่สำคัญทั้ง วัดซางตาครู้ส ศาลเจ้าเกียนอันเกง วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และ มัสยิดบางหลวง ตลอดริ่มฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา


ที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี สะท้อนเสน่ห์ของการผสมผสานระหว่าง 3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ จีนและอิสลาม และ 4 ความเชื่อในวัดพุทธ โบสถ์ มัสยิด และศาลเจ้า ที่แม้จะมีความแตกต่างกันแต่ก็อยู่ร่วมกันในชุมชนเดียวได้อย่างสงบและอบอุ่นตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงปัจจุบัน


ภายในชุมชนกฏีจีน นอกจากสถานที่อิงประวัติศาสต์ให้เที่ยวชมมากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านเก่าที่ยังคงสภาพเดิมๆ พิพิธภัณฑ์ วัด โบสถ์ ศาลเจ้า มัสยิด


ยังรวมไปถึงอาชีพที่เป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตคือการทำขนมฝรั่งกุฎีจีนที่เลื่องชื่อ ได้ทานแล้วจะติดใจ ยังใช้เตาถ่านอยู่เลยค่ะ พูดแล้วก็อยากจะทานอีก


ก็นับเป็นชุมชนริมน้ำที่ทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทยที่ต่างเชื้อสายได้เป็นอย่างดี
และเราก็ได้เข้าเยี่ยมชมบ้านโบราณหรือเรือนจันทนภาพ ซึ่งตอนนี้คนที่ดูแลต่อก็คือคุณจารุภา จันทนภาพหรือป้าแดงซึ่งเป็นสะใภ้ของบ้านนี้ บ้านเป็นไม้ไม้สักทั้งหลัง ยกเว้นเสาที่ทำจากต้นตะเคียน มีหลายสิ่งที่น่าสนใจที่นี่


จากนั้นออกเดินทางเพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ “เดอะ ระวีกัลยา” ย่านกรุงเกษม ที่แห่งนี้คือโรงแรมที่นำเอาเรือนพักอาศัยพระนมทัต พระนมของรัชกาลที่ 6 มาประยุกต์เป็นโรงแรมลักษณะรีสอร์ทในกรุง โดยตัวเรือนเดิมสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2400 และยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่บ้าง โดยเฉพาะบริเวณรอบด้านที่มีต้นไม้เก่า เช่น ต้นไทร ที่มีอายุร่วม 120 ปี ในส่วนของห้องอาหารที่ใช้โครงสร้างอาคารเดิม แต่ปรับปรุงและให้บริการอาหารไทยชาววังรสชาติดั้งเดิมที่หาทานได้ยาก และอาหารสไตล์ฟิวชั่นร่วมสมัย


การเดินทางด้วยฮุนไดในครั้งนี้สะดวกสบาย บางช่วงที่เข้าที่จอดรถที่แคบก็มีกล้องแบบ 360 องศา มองได้รอบทิศทาง ปลอดภัยยิ่งขึ้น


หลังจากนั้นแหล่งสุดท้ายที่ไปก็เข้าไปชมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่“นิทรรศน์รัตนโกสินทร์๊ ซึ่ง
อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินกลาง จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์
เป็นอาคาร 4 ชั้น ชั้น 4 สำหรับ จุดชมวิวกรุงเทพในมุมสูง ส่วนอีก 3 ชั้นเป็นอาคารแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับรัตนโกสินทร์ด้วยเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมาก
และท่านที่ชอบอ่านหนังสือและชอบประวัติศาสตร์ก็มีห้องสมุดที่ทันสมัยให้ท่านได้อ่านหนังสือและค้นคว้าประวัติศาสตร์ได้เลย

ก็จบทริปอันแสนประทับใจกับการเดินชมแหล่งประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ หนึ่งวันสบายๆกับ
Hyundai H-1 Deluxe และ Hyundai Grand STAREX รถครอบครัวแบบ 7 ที่นั่ง และ 11 ที่นั่ง
และต้องบอกว่า Amazing มากๆเลยค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้ไปเยือนทุกสถานที่ที่ได้พูดถึงในครั้งนี้ กับฮุนได

 

 

ธัญญลักษณ์  เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

ผู้หญิงขับรถ

 

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิถีพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอขอบคุณ บริษัทฮุนไดมอเตอร์ (ไทยแลนด์)จำกัด

 

Facebook Comments