ปัญหาจราจรถือเป็นไม้เบื่อไม้เมา ในสังคมเมืองไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปแล้วเวลานี้ ซึ่งผู้ใช้รถใช้ถนนคงทราบกันดีโดยทั่วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนจากทุกมุมเมืองของประเทศเข้ามาทำมาหากินกันมากที่สุด เป็นเมืองหลักที่มีแหล่งรวมเศรษฐกิจของประเทศ ทุกอย่างจึงมีความหนาแน่นทั้งประชากร และที่สำคัญ รถราต่างๆ จนภาพทั้งหมดเหล่านี้กลายเป็นความชินตา จนกลายเป็นความเคยชิน ของผู้ใช้รถใช้ถนนบ้านเราไปแล้วก็ว่าได้ เพราะ นับวันจะยิ่งบอกกับตัวเอง ว่าหนักขึ้นๆจนยากจะเยียวยาแก้ไข ไม่มีที่จะลดลงไปแต่อย่างใด แม้จะมี การสร้างทางพิเศษ หรือ ระบบขนส่งที่จะเอื้อแก้ไขปัญหาจราจรเพื่อ ขนคนถึงจุดหมายปลายทางย่นระยะเวลาให้น้อยที่สุดแล้วก็ตามที
ทุกอย่างจะแก้ไขไม่ได้เลย หากไม่ร่วมกันแก้ที่วินัยตัวเราเอง หรือตระหนักกันในภาพรวมคิดถึงใจเขาใจเรา ใส่ใจส่วนรวมกันมากขึ้นอีกสักหน่อย ทุกอย่างอาจผ่อนคลายไปในทิศทางที่ผ่องใส วินัยจราจร ก็คือ นิสัยการขับขี่รถ รวมทั้ง มารยาทที่ดี ร่วมกัน รวมทั้งเป็นการขับขี่ยวดยานพาหนะอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบจราจรที่ประเทศนั้นๆกำหนดขึ้นเป็นสากล บนท้องถนน เป็นปัจจัยหนึ่งและมีส่วนสำคัญที่ละเลยเสียมิได้ เป็นกติกา มารยาท ที่ผมเชื่อว่า หากผู้ใช้รถร่วมกันตระหนัก และทุกคนมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบ เราจะใช้รถกันด้วยความสุข มีสุขภาพจิตที่ดีและที่สำคัญ ปัญหาจราจร จะน้อยลง อย่างไม่ต้องสงสัย
จะสังเกตว่า ชีวิตทุกวันนี้เรามักจะอ้างถึงความรีบเร่ง สารพัดข้ออ้าง กัน แต่เราไม่เคยบอกเลย ว่า เราต้องเตรียมความพร้อมยังไง ในการควบคุมตัวเราเองให้ทันต่อเวลา คือเรื่องนี้ต้องมาจาก วินัยในตัวเราเองก่อนอันดับแรก เมื่อต้องเดินทางในแต่ละวัน เราควรจะเตรียมศึกษาเส้นทางหลีกเลี่ยงจราจร และควรกำหนดเวลาในการเดินทางเผื่อเอาไว้ในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา ที่จะต้องไปทำธุระต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน การจัดสรรเวลาของแต่ละคนนี้นั้นมีความสำคัญ ทำให้ไม่ให้ต้องมารีบ เร่งอย่างสุดๆในท้องถนน หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะตัวยามเผชิญกับภาวะรถติดสาหัสตรงหน้า แม้จะไม่สามารถหาเส้นทางที่ไม่ติดเลยได้
แต่การหาข้อมูล การหาเส้นทางแม้เส้นทางนั้นจะอ้อม หรือกินระยะทางไปมากขึ้นอยู่บ้างแต่ หากสามารถเดินทางได้โดยไม่จอดติดบนผิวถนนแล้ว น่าจะดีเสียกว่าการที่จะต้องมาเสียเวลา เสียอารมณ์เกาะติดกันอยู่บนถนนที่แน่นหนาอย่างแน่นอนที่สุด การไม่หาข้อมูลแล้วยอมเผชิญกับปัญหาจราจรแสดงว่า เราพร้อมหน้าที่จะเผชิญกับความหนักหนาตรงนั้น ครับ มันคงยากเหลือเกินกับช่วงเวลาเร่งด่วนที่จะสามารถเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้ตามเจตนาที่ตั้งใจไว้ หรืออาจคิดกันไปว่า ถ้ารีบแล้ว ใช้วิธีต่างๆนานา สารพัดวิธี จะสามารถทำเวลาได้อย่างมั่นใจ มันคงไม่ได้นะครับ วินัยในตัวเอง นั้น ถ้าแต่ละคนพึงมี ก็จะตามมาในองค์รวมทั้งหมดได้ด้วยเหตุของทุกวันนี้เมื่อเริ่มจาก คำว่า “รีบ” แล้วก็จะติดตามมาด้วย “ฉันรีบ ฉันต้องเร่งทำเวลา ฉันต้อง ปาด ฉันต้องขวาง ไปตัดหน้า ไปขอทางในช่วงจังหวะกระชั้นชิด” หรือในช่องทางที่เป็นช่องทางที่อยู่นอกเหนือกฎจราจร ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาให้เกิดภาวะการจราจรทั้งสิ้น
แม้แต่ จะขึ้นสะพาน หรือเข้าทางร่วม ทางแยก ก็ไม่ต่อทาง ต่อคิว แต่ลัดเอาไปรอตรงคอสะพาน หรือเมื่อเข้าสู่ถนนที่จะออกทางร่วมทางแยกแล้ว ใช้ไฟกระพริบขอสัญญาณไว้ คอยจิ้มหน้ารถที่เขาวิ่งมาทางของเขาเองปกติ อย่างนี้เป็นต้น เกิดภาวะการจราจรเกิดขึ้นทำให้กีดขวางบดบังเส้นทางวิ่งของ รถที่วิ่งตามเส้นทางปกติในทันที ส่งผลกระทบถึงการจราจรได้นั่นเอง เพราะเมื่อมีคันที่ 1 หรือคันแรกกระทำ จะมีคันต่อๆมา กระทำตามอยู่เสมอในทันที ก็ว่าได้ คือ ถนนบ้านเรามีพื้นที่ไม่ได้เอาเลย จะต้องมี ที่วิ่งนอกช่องทางปกติ อย่างแน่นอน ทุกที่ทุกช่วงเวลา ฉะนั้น การเคารพวินัยตนเอง กฎจราจร เพื่อนร่วมทางจึงเป็นสิ่งที่เป็นมารยาทที่ดี และจะก่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามในสังคม และการใช้เส้นทางร่วมกันได้
แม้แต่รถใหญ่ ประเภทรถโดยสาร รถประจำทาง การจอดป้าย การรับ – ส่งผู้โดยสาร ให้อยู่ในเส้นทาง เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ เพราะรถที่มีขนาดใหญ่ หากจอดรถไม่อยู่ในช่องทางที่ กฎหมายกำหนด ย่อมส่งผลต่อการจราจรแน่นอน เนื่องจากรถที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งส่งผลภาวะจราจรติดขัด อย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่ารถเล็ก รวมทั้งหากมีวินัยและเคร่งครัดในเรื่องนี้นอกจากส่งผลดีต่อภาวะจราจรยังจะสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับผู้โดยสารได้อย่างดีด้วยเช่นเดียวกัน
และแม้แต่ ท่านขับปาดไปมา หรือขับย้อนศรขึ้นมาในช่องทางวิ่งปกติ เพียงเพราะคิดว่า ย่นย่อระยะทาง “ขอหน่อยเถอะ…แค่นี้เอง ไม่ได้มากอะไรนัก เดี๋ยวก็ถึงใกล้แค่นี้” แต่หารู้ไม่ว่า อาจจะทำให้ท่านสูญเสีย หรือบาดเจ็บเข้าได้ นี่ก็คือ ท่านประมาทด้วยที่ไม่ได้คิดและ ชะล่าใจ หากยอมขับรถอ้อมสักหน่อย แม้จะเสียเวลา และเพิ่มระยะทางขึ้นไปบ้างแต่ผลที่ตามมานอกจากเป็นการดูแลชีวิตและทรัพย์สินตนเองแล้ว ยังไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้ทางอื่นๆด้วย
นอกจากนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุคู่กรณีไม่แยกออกจากจุดเกิดเหตุโดยเร็ว จากจุดเดียวอาจส่งผลกระทบถึงหลายแห่งหลายพื้นที่ได้เช่นเดียวกัน และยากที่จะใช้เวลาในการคลี่คลายที่จะทำให้การจราจรคลายตัวในเวลาอันสั้น เพราะเนื่องจากแยกต่างๆของถนน ในกรุงเทพฯเรานี้ ค่อนข้างมีมาก และสัมพันธ์กันจากรอยต่อ รอบด้านที่เข้ามาจาก นอกเมืองด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้น หากเกิดอุบัติเหตุ เจรจาตกลงกันระหว่างคู่กรณีอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเร่งทำการแยกหาที่จอดข้างทางที่ไม่กีดขวางการจราจรให้เร็วที่สุด จะยิ่งเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะปัญหาต่างๆจะไม่ตามมา ไม่ต้องรอกรรมการกลาง คือ ตำรวจ หรือ ประกันรถยนต์ เพราะยิ่งปล่อยเวลาให้ยืดยาวออกไปเท่าไหร่ปัญหาจราจรจะยิ่งตามมามากขึ้นเท่านั้น หรือหากตกลงไม่ได้ ก็ใช้ การทำเครื่องหมาย ทันที แล้วจึงรีบติดต่อประกันหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยในการไกล่เกลี่ยเพราะเมื่อประกันมาดูแนวชนจากเครื่องหมาย และร่องรอยบริเวณรถแล้วเขาสามารถรู้ว่าใครถูกและผิดได้อย่างชัดเจน เพียงเท่านี้ ก็จะไม่เกิดปัญหาโดยรวมได้แล้ว
การจอดรถ การจอดรถข้างทางที่มีเครื่องหมายห้ามจอด เราต้องเคารพกฎจราจร ข้อห้ามอย่างเคร่งครัด ผมเองยังเคยคิดว่า อืม. แป๊ปเดียวเอง ลงไปซื้อของ ตรงนี้เห็นรถอยู่ ไม่นาน แต่ หารู้ไม่ครับว่า ตรงที่มีเครื่องหมายห้ามจอด นั้น ก็คือ อันตรายเพราะ จะเป็นทางที่มีจราจรคับคั่ง และอาจเป็นช่วงทางโค้งเวลารถวิ่งมาเข้าสู่โค้ง อาจไม่เห็นรถเราที่จอดในที่ห้ามจอดนั้นได้ และอุบัติเหตุก็อาจจะเกิดขึ้นตามมาโดยที่เราคิดไปว่า เพียงแค่นิดเดียว แค่ลงไปซื้อของแค่นั้นเอง ไม่นาน แต่มันก็ไม่คุ้ม หากเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดคิดขึ้นมาจริง
การจอดรถคล่อมทาง ซ้อนคันรถที่จอดอยู่ปกติริมขอบทางฟุตบาททางเท้า อีกชั้นซ้อนกัน ก็เป็นการกีดขวางจราจรไปทันที 1 ช่องทาง รถที่วิ่งในทางมาก็จะชะงักเพราะรถที่จอดขวางล้ำทางออกมาเช่นเดียวกัน แม้แต่ผู้ขับขี่ยวดยานที่ไม่ถึงวัยอันสมควร ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือแม้แต่การนั่งโดยสารรถขนาดเล็ก เช่นรถจักรยานยนต์ มากเกินจากที่กฎหมายกำหนด รถกระบะบรรทุกคนท้ายกระบะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายบนท้องถนนด้วยกันทั้งสิ้น
ผมมั่นใจมากว่า บทความที่เขียนนี้ หาก ท่านผู้อ่านได้ คิดและไตร่ตรอง และงดเว้น ตระหนัก และเข้าใจ ที่สำคัญ การเคารพกฎระเบียบจราจรอย่างเคร่งครัด มีน้ำใจเผื่อแผ่กับผู้ร่วมทางในท้องถนน เชื่อครับ ว่า จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรที่เป็นอยู่ได้พอสมควร รวมทั้ง สร้างความสุข รอยยิ้ม และน้ำใจ ที่เวลานี้ หาได้น้อยมากในสังคม ให้กลับมามีชีวิตชีวา และสิ่งอื่นใดไม่สำคัญเท่า คุณค่าของการมีชีวิตของแต่ละบุคคลครับ เพราะทุกชีวิตมีค่า และทุกชีวิต ล้วนมีความสำคัญกันทั้งสิ้น หรือคิดกันง่ายๆครับ ว่า “หากเกิดการสูญเสีย พิการ บาดเจ็บใดใดก็ตามขึ้นเราไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่” แต่เราทุกคนมีโอกาสป้องกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเหล่านี้เกิดขึ้นได้ นะครับ