สัปดาห์ที่แสนสาหัสสำหรับผมก็ผ่านพ้นไปใครว่าการเดินทางนั้นไม่เหนื่อยผมขอเถียงคนนึงเลย แทบไม่พักเลยครับ งานดองอีกหลายชิ้นเลย งานเข้าก็ว่าได้ หลังจากการเปิดตัวไปน่าจะครบปีได้จากการเปิดตัวพาขึ้นบอลลูนกันที่สนามกีฬากองทัพบกเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว(http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=234&dshow=all) ล่าสุดก็มีการส่งจดหมายเชิญสื่อมวลชนไปทดสอบฟอร์ด เอสเคป แต่ยังไงดีละครับจะเรียกว่าเป็นตัวเดิมก็ไม่ผิดเพราะตัวเดิมละครับ เพียงแค่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อให้รองรับน้ำมัน อี 20 ได้ ใครเรียกยังไงไม่รู้ผมเรียกเป็นเอสเคปตัวใหม่อี20แล้วกัน พูดถึงฟอร์ดนั้นถือว่าเป็นรายแรกในไทยก็ว่าได้ที่เปิดตัวรถที่สามารถใช้น้ำมันอี20ได้แม้ท่าทีของรัฐตอนนั้นยังไม่ชัดเจน แม้กระทั่งจะยังไม่มีน้ำมันออกจำหน่ายทั้วไปแบบตอนนี้ ซึ่งตอนนั้นรถรุ่นน้องอย่างฟอร์ดโฟกัสจะสามารถใช้ได้ก็ตาม ถึงขนาดที่ยอมลดราคาจำหน่ายลงตามอัตราภาษีที่รัฐจะให้ก่อนเลย
การเดินทางในรอบนี้นัดหมายกันเก้าโมงเช้าที่ตึกเลครัชดา ด้วยความที่ว่าไม่สามารถนำรถไปจอดที่ตึกได้นั้นทำให้ผมต้องใช้บริการของขนส่งมวลชนโดยออกจากบ้านแต่เช้านั่งรถเมล์ฟรีเพื่อประชาชนที่ยังมีอยู่ ไปต่อรถไฟใต้ดิน ไม่น่าเชื่อครับว่ารถเมล์นั้นคนไม่แน่นเท่าไร ส่วนเวลาที่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินนั้นคนแน่นมากอาจเป็นเพราะเวลาเร่งด่วน ซึ่งปกติแล้วผมจะไม่ได้ออกไปไหนเลยคงไม่ชิน เดินทางมาถึงตึกก่อนเวลานัดมากที่เดียวนั่งรออยู่พักใหญ่ก็เริ่มมีคนทยอยกันมาจนครบ ทางเจ้าหน้าที่ของฟอร์ดมาอธิบายถึงตัวผลิตภัณฑ์ว่ามีการเพิ่มรุ่นใหม่ สีใหม่เข้ามา เป็นตัวขับเคลื่อนสองล้อ ออฟชั่นเหมือนขับเคลื่อนสี่ล้อ
เมื่อเล่าเรื่องต่างต่างรวมถึงอธิบายกันเรียบร้อยแล้วเราก็ลงไปรับรถกันหน้าตึก จัดคนกันเรียบร้อยมีรถทั้งหมดห้าคัน ผมได้คันสีทองมองหาอยูพักใหญ่ ยังไงก็หาไม่เจอ ทนไม่ไหวเรียกถามจากตาโป่งทีมพีอาร์ของฟอร์ดได้ความว่าคันที่อยู่ตรงหน้าพี่นั้นแหละสีทอง เอ้ามันทองตรงไหนเนี่ย ตาโป่งบอกว่า “แล้วพี่ลองดูมีคันไหนอีก คันนั้นสีขาว สีเงิน สีดำ สีน้ำเงิน แล้วอีกสีที่เหลือนั้นแหละสีทอง” (สี moon dust silver)
ก่อนขึ้นรถผมเดินตรวจอุปกรณ์ต่างๆทั้งภายในและภายนอกรถว่ามีครบรึปล่าว ทั้งแผนที่การเดินทางที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้บอกเส้นทางอย่างละเอียด วิทยุสื่อสารพร้อมใช้งาน ข้าวของสัมภาระนำเข้ามาสู่ท้ายรถ ซึ่งสามารถแยกเปิดได้ว่าจะเปิดทั้งบานท้ายหรือจะเปิดเฉพาะบานกระจกหลังก็ได้ เพิ่มความสะดวกได้มากขึ้นทีเดียว ขึ้นรถปรับเบาะ กระจกมองข้างมองหลังเรียบร้อย คาดเข็มขัดนิรภัยออกเดินทางมุ่งหน้าสู่” เจษฏา เทคนิค มิวเซี่ยม “
ใช้เส้นทางพระราม 3 ราชพฤกษ์ ด่วนลอยฟ้าบรมราชชนนี นครชัยศรี ตลอดการขับขี่ช่วงแรกในเมืองสำหรับผมแล้วนั้นทัศนวิสัยนั้นใช้ได้ ให้มุมมองที่ดีตามรูปแบบของรถยนต์ suv แท้แท้เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร นั้นจะว่าไปก็เพียงพอต่อการขับขี่แบบปกติ และเท้าขวาที่ไม่หนักมากนัก การแทรกตัวเข้าสู่การจราจรที่ติดขัดนั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เปลี่ยนเลนหรือแทรกตัวได้อย่างไม่มีปัญหา
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ สตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ ช่วงล่างซับแรงกระเทือนได้ในระดับดี กับยางขนาด 215/70R16 แต่น่าจะนิ่มนวลมากกว่านี้ ส่วนนึงอาจจะมาจากการเติมลมยางที่แข็งไปก็เป็นได้คราวหน้าคงต้องเตรียมที่วัดลมยางไปด้วยแล้ว จะได้รู้ว่าเติมเท่าไร ขับไปเรื่อยเรื่อยจนขึ้นทางลอยฟ้า ทดลองอัตราเร่งแซงนั้นบางจังหวะนั้นมีลุ้นนิดหน่อยอาจต้องมีเผื่อระยะบ้างเพื่อความปลอดภัย นั้นเป็นเพราะว่าเครื่องยนต์ขนาด2.3ลิตรนั้นเอง ถ้าเป็น 3.0ลิตรในรุ่นก่อนคงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ความเร็วที่ใช้นั้นอยู่ในช่วงประมาณ120-140ก.ม./ช.ม.เสียงลมปะทะนั้นเริ่มมาในช่วง120ซึ่งเป็นธรรมดาของรถประเภทนี้ การขับขี่นั้นสบายสบายครับ ในการบังคับรถเมื่อความเร็วไม่เกิน120 หลังจากนั้นจะเริ่มเครียดขึ้นแปรผันตามความเร็วแบบอัตโนมัติโดยไม่มีอุปกรณ์ใดมาเสริม ฮ่าฮ่าแนะนำครับอย่าขับเกิน120เลยนะครับเหนื่อยครับและก็ผิดกฎหมายด้วย ระวังนะใบสั่งส่งไปถึงหน้าบ้านเลยนะครับข้อหาขับเร็วเกินกำหนด
ระบบเบรคนั้นให้มาเป็นดิสก์เบรคสี่ล้อ ABS พร้อม EBD ระยะเบรกนั้นเท่าที่ใช้ให้ความมั่นใจได้ ระยะในการกดแป้นเบรคพอดีพอดีไม่ต้องใช้แรงเท่าไร ABSนั้นรอบนี้ไม่ได้ใช้ครับ
ระบบส่งกำลังหรือเกียร์นั้นเป็นแบบอัตโนมัติ 4จังหวะ การเปลี่ยนเกียร์ในการขับขี่ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่จะมีในบางครั้ง ในช่วงที่คิกดาวน์นั้นจะมีการกระตุกของเกียร์แบบที่รู้สึกได้ อัตราเร่งนั้นทั้ง 0-100 หรืออัตราเร่งแซงนั้นไม่ได้ทำครับ เพราะถ้าจะทำนั้นแล้วต้องมีเครื่องมือเข้ามาด้วยไม่ใช่ใช้เพียงแค่นาฬิกาจับเวลานั้นแบบที่หลายคนทำ เพื่อความเที่ยงตรงและการอ้างอิง
การเดินทางนั้นเราก็ยังเดินทางกันต่อไปจนถึง” เจษฏา เทคนิค มิวเซี่ยม “ที่นี่จะมีการแสดงรถต่างๆจากอดีตเลยครับ ว่างๆลองไปแวะชมแล้วกันคงจะไม่เล่าให้ฟังกันในที่นี้ หลังจากออกมาเราก็มุ่งหน้าไปอีกไม่นานไปสู่ร้านอาหารกลางวันที่ แพแม่น้ำ ริมแม่น้ำนครชัยศรี พอรับประทานเสร็จก็หมดหน้าที่ในการขับขี่ของผมในช่วงนี้ครับ ต่อจากนี้ก็เป็นการนั่งโดยสารแล้วครับ
ผมเปลี่ยนมานั่งคู่คนขับ เบาะนั้นปรับสูงต่ำไม่ได้ ทำได้เพียงเลื่อนหน้าหลัง พนักปรับขึ้นลง เบาะนั่งตอนหน้านั่งสบายดีครับรับกับสรีระของผม ไม่เมื่อยเท่าไร การสะเทือนนั้นรู้สึกได้เป็นบางครั้ง ปุ่มเครื่องปรับอากาศนั้นเป็นแบบมือหมุน วิทยุซีดี6แผ่นรองรับเอ็มพี3 คันเกียร์เปลี่ยนจากคอพวงมาลัยย้ายมาอยู่ตรงกลาง ในระหว่างที่เป็นผู้โดยสารนั้นก็ยังรู้สึกถึงการกระตุกของเกียร์ได้เหมือนกันสำหรับผม ส่วนท่านอื่นหรือคุณผู้อ่านอาจจะไม่รู้สึกก็ได้ นั่งไปเรื่อยจนไปถึงจุดพักรถเปลี่ยนผู้ขับขี่ คราวนี้ผมได้ย้ายไปนั่งด้านหลัง เบาะนั่งด้านหลังนั้นนั่งสบายสู้ด้านหน้าไม่ได้ แอร์ต้องเปิดแรงลมมากขึ้นเพื่อให้เย็นไปถึงด้านหลัง ไม่มีช่องแอร์มาทางด้านผู้โดยสารด้านหลัง เมื่อเปิดลมแรงขึ้นเสียงลมก็ดังมากขึ้นเช่นเดียวกัน
คณะของเราเดินทางมุ่งหน้าไปยัง”บ้านไร่ทรายงาม”จุดหมายต่อไปเพื่อทำกิจกรรมล่องห่วงยาง ช่วงนี้แหละครับที่เราจะได้ลองสมรรถนะของรถกันบนทางออฟโรด ผ่านทางฝุ่นตามเนินเขา ถนนลูกรังและทางโค้งตลอดเสันทาง แม้ว่าจะเป็นรถขับเคลื่อนสองล้อแต่ด้วยความเป็นรถเอสยูวีสายพันธุ์แท้เรายังคงผ่านอุปสรรคต่างต่างไปได้
จนไปถึงจุดเล่นกิจกรรมล่องห่วงยางที่บ้านไร่ไทรงาม ซึ่งเป็นกิจกรรมใหม่ที่มีในจังหวัดราชบุรี โดยใช้ห่วงยางแทนเรือคายัค ล่องผ่านสายน้ำไปเรื่อยๆ
หลังจากเสร็จกิจกรรมแล้วเรามุ่งหน้าไปสู่ที่พัก”เดอะแคมป์รีสอร์ท”ที่นี่จะเป็นแบบเต๊นท์มีเครื่องปรับอากาศห้องน้ำในตัวสวยงามทีเดียวครับ
เอาของเข้าที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้วมุ่งหน้าสู่ร้านอาหาร “หอมเทียน”ร้านอาหารพื้นบ้านแต่รสชาตินั้นจัดจ้านทีเดียวทั้งปลา ผัก สดมากครับ นี่ถ้าเป็นหน้าหนาวไม่ต้องพูดถึง ผักจะสดและกรอบกว่านี้อีก ร้านตกแต่งสวยที่เดียวครับเวลาเสริฟนี่ใช้ปิ่นโตมาเป็นเถา ช้อนและจานทำจากสังกะสีแบบย้อนยุคเลยครับ หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็กลับสู่ที่พักเป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจประจำวัน รุ่งขึ้นขับรถกลับสู่กรุงเทพฯ เป็นอันจบทริปนี้สำหรับการทดลองขับ ฟอร์ดเอสเคป
**************************************************************************
เรื่อง : เปรมศักดิ์ เพียรพานิชย์
ภาพ : สารฑูล สักการเวช
ภาพ : บางส่วนจากฟอร์ด