รถยนต์นั้นมีส่วนประกอบอยู่หลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างนั้นก็มีหน้าที่ของมันไม่ว่าเครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัยหรืออะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่สิ่งที่สามารถทำให้รถนั้นเคลื่อนตัวได้และยึดเกาะถนนนั้นคือ ยางรถยนต์ ครับ
ครั้งนี้ได้มีโอกาสให้ทดสอบประสิทธิภาพของยางจริงๆ ก็ไม่อยากจะเรียกว่าทดสอบเท่าไรนัก เอาเป็นว่าได้ยางมา 1ชุด 4 เส้นมาลองใส่กับรถที่ใช้อยู่ แล้วมาเล่าประสบการณ์ในการใช้ชุดนี้กันดีกว่า
ยางที่ได้มานั้นคือ Michelin Pilot Sport 3 แม้ว่าจะเป็นยางที่เปิดตัวมาซักพักใหญ่แล้วแต่ก็เป็นยางที่จัดอยู่ในกลุ่มไฮเพอร์ฟอร์เม้นท์ หรือเป็นยางสปอร์ต
โดยทั่วไปนั้นยางในกลุ่มนี้จะเน้นประสิทธิภาพในด้านการยึดเกาะเป็นหลักทำให้คุณสมบัติในด้านอื่นๆลดน้อยลงไป แต่ ได้ข้อมูลของยาง มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 3 นั้นได้รวมเอาจุดเด่นของยางแต่ละประเภทมารวมกันไว้อยู่ในตัวนี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องความนุ่มนวลของยาง หรือเสียงของยางที่จัดอยู่ว่าเงียบซึ่งจะหาได้ยากในยางสปอร์ต
มาถึงตรงนี้ผมก็ต้องเดินทางขับรถคันที่ใช้ประจำอยู่นั้นคือ โตโยต้า คัมรี่ ปี2003 ไปเปลี่ยนเป็นยาง Michelin Pilot Sport 3 ชุดใหม่ ซึ่งหากเป็นสเป็คเดิมยางติดรถที่มาจากโรงงานนั้นคือ 215/60 R16 ทางมิชลินไม่มียางเบอร์แต่มีเป็นขนาด225/55 R16 แทนซึ่งสามารถใส่แทนกันคือเพิ่มความกว้างหน้าขึ้นและลดแก้มยางลง
ผมไปทำการเปลี่ยนยางที่ศูนย์ไทร์ พลัส ตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าวฝั่งถนนพหลโยธินซึ่งได้รับการบริการที่ดีมากใส่ใจทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนยาง
เริ่มจากการรับรถแล้วนำรถเข้าช่องบริการเพื่อยกรถขึ้นทำการถอดล้อออกทั้ง 4 เส้น
เมื่อถอดล้อออกก็นำล้อไปถอดยางเก่าออกก่อนที่จะเหลือแต่กระทะล้อเท่านั้น
เมื่อถอดล้อออกก็นำล้อไปถอดยางเก่าออกก่อนที่จะเหลือแต่กระทะล้อเท่านั้น
หลังจากนั้นก็นำกระทะล้อทั้งหมดไปขัดถูทำความสะอาดรวมถึงขจัดคราบกาวและสิ่งสกปรกต่างๆที่อยู่ในล้อ ซึ่งขั้นตอนนี้ผมอยากจะบอกว่าไม่ค่อยได้เห็นร้านยางทำกันเท่าไรนานจนจำไม่ และเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยก่อนจะเอาไปใส่ยางแล้วถ่วงล้อเพราะหากมีอะไรติดอยู่นิดหน่อย เมื่อใส่ยางกลับไปเวลาวิ่งอาจจะมีเสียงที่กลิ้งอยู่ในยางแล้วหาไม่เจอก็เป็นได้ รวมถึงอาจจะมีปัญหาในการถ่วงล้ออีกด้วย
หลังจากนำกระทะล้อที่ล้างเสร็จมาเช็ดทำความสะอาดเป่าลมให้แห้งแล้วก็ทำการติดตั้งจุ๊บลมพร้อมใส่ยางให้ครบทุกล้อ
ขั้นตอนเกือบสุดท้ายนั้นคือการนำยางไปถ่วงล้อให้เรียบร้อยเมื่อเรียบร้อยแล้วก็ใส่กลับยังล้อทั้ง 4 พร้อมการกวดน็อตล้อโดยการใช้ประแจปอนด์ขันด้วยมือ ไม่มีการใช้ปืนลมยิงเข้าไปโดยเด็ดขาด
เมื่อกวดน็อตล้อทั้ง 4 เส้นแล้วก็ถึงขั้นตอนสุดท้ายนั้นคือการปรับตั้งศูนย์ล้อ เมื่อตั้งศูนย์เสร็จแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธีในการเปลี่ยนยางซึ่งกระบวนการทั้งหมดนั้นใช้เวลาอยู่เกือบๆ 2 ชั่วโมงซึ่งดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ต้องใส่ใจทุกรายละเอียด
ทีนี้ก่อนที่จะไปถึงเรื่องการขับขี่เรามาดูค่าต่างๆที่อยู่บนแก้มยางกันก่อนว่ามีอะไรหมายถึงอะไรซึ่งยางแต่ละรุ่นจะมีค่าไม่เท่ากัน
Treadwear เป็นอันดับเปรียบเทียบตามการสึกหรอของยาง เมื่อการทดสอบภายใต้เงื่อนไขควบคุมรอบคอบ เช่น อันดับ 400 ควรใช้งานได้นานกว่ายางรถยนต์อันดับ 200 ประสิทธิภาพ treadwear จริงอาจจะแตกต่างกันอย่างมากมายตามการใช้งานจริง ขึ้นอยู่กับรูปแบบนิสัยการขับขี่, การดูแลรักษา (แรงดันลมยาง), สภาพถนน และอากาศที่มีผลต่ออายุของยางรถยนต์ อันดับตัวเลขที่น้อย ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการเกาะถนนเสมอไป ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการออกแบบดอกยางรถยนต์ โครงสร้างหน้ายางรถยนต์ แก้มยางรถยนต์ รวมทั้งส่วนผสมของเนื้อยางรถยนต์
Traction เป็นอันดับความสามารถในการยึดเกาะบนทางเปียก วัดภายใต้เงื่อนไขการควบคุมบนพื้นยางมะตอย และการทดสอบบนพื้นผิวคอนกรีต ณ ปี 1997 ระดับ traction จาก สูงสุด ไป ต่ำสุดที่ “AA”, “A”, “B” และ “C” ยางรถยนต์ที่จัดอันดับ “AA” อาจมีสมรรถนะดีในการเกาะถนนกว่ายางรถยนต์จัดอันดับที่ต่ำกว่า ทดสอบเบรก หน้า-ตรง ไม่พิจารณาระดับประสิทธิภาพในขณะเลี้ยวของยาง
Temperature เป็นอันดับแสดงความต้านทานของยางรถยนต์ต่อความร้อนและความสามารถในการกระจายความร้อน ทดสอบภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมในห้องปฏิบัติการการ ระดับจากสูงสุดไปต่ำสุดเป็น “A”, “B” และ “C” เกรด “C” หมายถึงประสิทธิภาพต่ำสุดตามมาตรฐานความปลอดภัยสหพันธรัฐ ดังนั้นยางรถยนต์ “A” คือ ใช้งานได้ในขณะเย็นและแม้ว่ายางรถยนต์”C” วิ่งในขณะที่ร้อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปลอดภัยระดับอุณหภูมิจะจัดตั้งขึ้นสำหรับยางรถยนต์ที่พอเหมาะสมและไม่มากไป
สรุปง่ายๆคือTREADWEAR = ค่าการสึกหรอของยางรถยนต์ตัวเลขน้อย – สึกหรอสูง – อายุสั้น – เกาะถนนตัวเลขมาก – สึกหรอน้อย – อายุยาว – เกาะถนนน้อยกว่า
TRACTION = ความสามารถในการยึดเกาะบนถนนลาดยางหรือคอนกรีตบนถนนเปียก(ไม่เกี่ยวกับการยึดเกาะถนนในโค้งค่าดีที่สุด AA,A,B และ C น้อยสุด
TEMPERATURE = ค่าความทนทาน การถ่ายเทความร้อนของยางรถยนต์ค่ามากสุด A,B และ C น้อยสุด
ซึ่ง
Michelin Pilot Sport 3 นั้นมีค่า TREADWEAR=320 TRACTION=AA TEMPERATURE=A
ที่นี้มาเรื่องการใช้งานหลังจากเปลี่ยนยาง Michelin Pilot Sport 3 มาลมยางก็ใช้ตามที่ช่างเติมมาให้นั้นคือ 32 ปอนด์/ตร.นิ้ว การขับขี่ในแต่ละวันนั้นผมใช้รถวิ่งเฉลี่ยอยู่วันละประมาณเกือบๆ 100 กิโลเมตร เส้นทางที่ใช้นั้นมีทั้งการขับขี่อยู่ในเมืองและนอกเมืองซึ่งเส้นทางที่วิ่งก็เป็นเส้นลาดพร้าว เลียบด่วนเอกมัยรามอินทราและก็มอเตอร์เวย์อยู่เป็นประจำ
ซึ่งทำให้สังเกตเห็นถึงคุณสมบัติของยาง Michelin Pilot Sport 3 ที่ชูคุณสมบัติเด่นๆไว้ อันแรกนั้นคือการยึดเกาะถนนในถนนแห้งอันนี้ให้สังเกตจากการหักเลี้ยวพวงมาลัยซึ่งคุณผู้ใช้ลองสังเกตดูนะครับจากการเข้าโค้งในเส้นทางที่ใช้ประจำว่าเราใช้วงเลี้ยวหรือหักพวงมาลัยไปเท่าไร เมื่อเปลี่ยนยางแล้วเรายังหักเท่าเดิมหรือน้อยลง หากว่าเราหักพวงมาลัยน้อยลงโดยใช้ความเร็วเท่าเดิมนั้นก็ถือว่ายางชุดนั้นให้การยึดเกาะถนนที่ดีขึ้นซึ่งเจ้า Michelin Pilot Sport 3 ทำให้การหักพวงมาลัยของผมในการเข้าโค้งน้อยลงและใช้แรงการเลี้ยวน้อยลงไปด้วยและยังสามารถเติมความเร็วเพิ่มเข้าไปอีกเพื่อสนุกกับการเล่นโค้ง แต่ไม่แนะนำให้เล่นโค้งบ่อยๆเดี๋ยวยางมันจะหมดไวครับ
ส่วนการขับขี่บนถนนเปียกหรือการวิ่งผ่านน้ำนั้นหลังจากที่เปลี่ยนยางก็ประจวบเหมาะกับการที่มีพายุพัดผ่านเข้ามาทำให้ได้ลองประสบการณ์ในการยึดเกาะและการรีดน้ำของยาง Michelin Pilot Sport 3 ในช่วงที่ฝนตกนั้นบังเอิญขับอยู่แถวมอเตอร์เวย์พอดิบพอดี ความเร็วในช่วงนั้นวิ่งอยู่ประมาณ 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงถนนเส้นนี้เมื่อฝนตกใหม่ๆก็ค่อนข้างลื่นอยู่พอตัว ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อยู่พอสมควรการวิ่งผ่านแอ่งน้ำที่ท่วมขังบนพื้นผิวถนนนั้นทำได้อย่างน่าประทับใจและทำให้มีความมั่นใจกับยางชุดนี้เพราะเมื่อวิ่งผ่านแอ่งน้ำแล้วรถไม่มีอาการสะบัดออกมาให้เห็นเลยมีการรีดน้ำออกทางร่องดอกยางอย่างรวดเร็ว
ส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในยาง คือทาง มิชลินได้พัฒนาสูตรเนื้อยางพิเศษ Sport Power Compound ซึ่งเป็นนวัตกรรมแรกในโลกที่สามารถรวมคุณสมบัติสามประการที่กล่าวมาแล้วได้ในหนึ่งเดียว ซึ่งเนื้อยางชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถเกาะถนนได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บนสภาพถนนที่เปียกลื่นต่อมา มิชลินได้คิดค้นระบบ Anti Surf System ที่เพิ่มมุมโค้งบริเวณไหล่ยาง ซึ่งช่วยระบายน้ำออกด้านข้าง ได้มากยิ่งขึ้น ท้ายสุด มิชลินได้คิดค้น หน้ายางอัจฉริยะแบบแปรผัน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำในการบังคับ และยืดอายุการใช้งานของดอกยางในเวลาเดียวกัน
ส่วนเรื่องของการเบรกนั้นในช่วงฝนตกผมก็ยังสามารถคุมรถได้แบบไม่เครียด ระยะเบรกอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมระยะเบรกนั้นรู้สึกว่าสั้นลง น่าเสียดายว่าผมนั้นไม่อุปกรณ์วัดระยะเบรก จะได้เห็นกันแบบจะจะไปเลยว่ามันสั้นขึ้นจริงๆ
ในเรื่องของความนุ่มนวลนั้นใช้วิธีการจับสังเกตจากการวิ่งผ่านรอยต่อบนท้องถนนหรือเวลาวิ่งผ่านลูกระนาดยาง Michelin Pilot Sport 3 นั้นมีการซับแรงได้ดีมากแทบจะไม่มี การตึงตัง แบบดังๆออกมา
ส่วนเรื่องของเสียงยางอันนี้ขอสารภาพตรงๆเลยว่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากเท่าไรเพราะผมเน้นประสิทธิภาพในการยึดเกาะและการเบรกทั้งพื้นแห้งและพื้นเปียกมากกว่า แต่อย่างนึงที่พอจะจับได้ว่าเสียงยางนั้นค่อนข้างเงียบเพราะเวลาเปิดวิทยุนั้นไม่ต้องปรับเสียงให้มันดังขึ้น
ส่วนเรื่องอื่นนั้นเท่าที่ได้ใช้มาเกือบๆ 2000 กิโลเมตรแล้วยังประทับใจอยู่โดยรวมแล้วจัดเป็นยางสปอร์ตให้ได้ครบทุกความต้องการไม่ว่าเรื่อง การยึดเกาะถนน ระยะเบรก ความเงียบ ความนุ่มนวล และลองไปดูที่แก้มยางดีๆว่ามีสัญลักษณ์ GREEN X อยู่นั้นหมายความว่าเป็นยางที่อยู่ในกลุ่มประหยัดพลังงานด้วย
ปล.เรื่องของอายุการใช้งานนั้นมีเกิน 70,000 กิโลเมตรแน่นอนเพราะผมใช้ตั้งแต่ตอนเปิดตัวใหม่ๆจนกระทั่งถึงการเปลี่ยนยางในครั้งนี้ครับส่วนประสิทธิภาพนั้นก็ลดลงไปบ้างตามอายุการใช้งานครับบอกเลย!!!