มาสด้าแรงขายทะลุ 3 หมื่น ยึดอันดับ 3 ตลาดรถยนต์นั่งอย่างถาวรเตรียมส่งรถรุ่นใหม่ลุยตลาดตลอดปี พร้อมดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด

• ยอดขายรวมเกือบ 18,000 คัน ขึ้นครองอันดับสามตลาดรถยนต์นั่ง
• ยอดขายรวมกว่า 16,000 คัน ครองอันดับสามรถยนต์นั่งซิตี้คาร์รวมอีโคคาร์
• ยอดขายรวมกว่า 12,000 คัน CX-Series ครองอันดับสี่ตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวี
• ผ่าโมเดลธุรกิจ Retention Business Model สร้างคุณค่าแบรนด์ ขายรถยนต์ด้วยแบรนด์อิมเมจ

11 มกราคม 2566 – มาสด้าประกาศผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2565 ประสบความสำเร็จตามคาดการณ์ แม้ประสบกับปัจจัยภายในและภายนอกมากระทบรอบด้าน ด้วยความแข็งแกร่งขององค์กรและความเข้มแข็งของดีลเลอร์ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์มาสด้าพุ่งเกือบ 32,000 คัน โดยเฉพาะมาสด้า2 ยังคงร้อนแรงทำสถิติใหม่ขึ้นครองอันดับ 3 ตลาดรถเล็กบีคาร์รวมอีโคคาร์ ทำให้ยอดขายสะสมตลาดรถยนต์นั่งมาสด้าขึ้นครองบัลลังก์อันดับสามอย่างถาวร ส่วนรถอเนกประสงค์ตระกูล CX-Series ทั้ง 4 รุ่น สามารถสร้างยอดขายต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ ครองอันดับ 4 ตลาดเอสยูวีด้วยยอดขายกว่า 12,000 คัน ส่วนปีนี้ยังรุกตลาดหนักเช่นทุกปี เตรียมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ลงตลาดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าและเดินหน้ายกระดับความพึงพอใจของลูกค้าผ่าน Retention Business Model ส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าในระยะยาว ตั้งเป้ายอดขาย 35,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 10%

ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2565 ที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วง 2 ปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวจากการบริโภคของภาคเอกชน โดยมีปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ จึงทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และช่วยผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่เริ่มกลับมา อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุนจากการเข้ามาทำตลาดของแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์จีน รวมถึงการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตลาดจากค่ายต่างๆ จึงส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 12% จากปีก่อนหน้า โดยมียอดขายสะสมประมาณ 850,000 คัน (ตัวเลขประมาณการณ์) ซึ่งเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วันนี้มาสด้าประกาศเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบตามแผนพัฒนาธุรกิจระยะกลาง (Mid-Term Plan) เพื่อยกระดับคุณค่าของแบรนด์มาสด้าในประเทศไทยผ่านโมเดลธุรกิจที่เราเรียกว่า “Retention Business Model” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าของแบรนด์ Brand Value Management คือการสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว Customer Retention Business ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่ดีที่สุด และสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์มาสด้า All for Customers เพื่อปรับแผนให้ธุรกิจเกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักสำคัญที่มาสด้าจะยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ต่อจากนี้เป็นต้นไป และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป ผู้บริหารจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมา แต่นโยบายนี้จะยังคงอยู่ และไม่มีวัน “เปลี่ยนแปลง”

สำหรับมาสด้า แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะตกอยู่ท่ามกลางสงครามการแข่งขันที่ดุเดือด และประสบกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตมาตั้งแต่ต้นปี แต่ยังสามารถประคับประคองยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมาสด้า2 ที่ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้าด้วยการสร้างสถิติยอดขายอันดับ 3 ของตลาดบีคาร์รวมอีโคคาร์ ด้วยยอดขายสูงถึง 16,249 คัน และผลักดันให้มาสด้าสามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 3 ในตลาดรถยนต์นั่งได้อย่างยาวนานเกินครึ่งทศวรรษ ด้วยจำนวน 17,810 คัน นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบยอดขายทั้งปีของตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวีแล้ว มาสด้า CX-Series ยังสามารถสร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำที่จำนวน 12,322 คัน อยู่อันดับที่สี่ของเซ็กเมนต์นี้ ส่งผลทำให้ปี 2565 ที่ผ่านมา มาสด้ามียอดขายรวมอยู่ที่ 31,638 คัน ยังคงครองความนิยมด้วยการเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 6 ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย

“ปัจจุบัน มาสด้ามีรถที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรวมทั้งหมด 8 รุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มรถยนต์นั่งยังคงเป็นมาสด้า2 ในขณะที่มาสด้า cx-30 คือรุ่นที่มาแรงที่สุดในกลุ่มรถครอสโอเวอร์เอสยูวี และเมื่อพิจารณายอดขายของปี 2565 เป็นรายรุ่นแล้วสามารถแบ่งออกเป็นรถยนต์นั่งมาสด้า2 จำนวน 16,249 คัน มาสด้า3 จำนวน 1,553 คัน สปอร์ตเปิดประทุนมาสด้า MX-5 จำนวน 8 คัน ในขณะที่รถครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-30 มียอดขายทั้งหมด 6,092 คัน ตามมาด้วยมาสด้า CX-3 จำนวน 4,249 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 1,157 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 824 คัน นอกจากนี้ รถปิกอัพ บีที-50 มียอดขายอีกจำนวน 1,506 คัน โดยตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอีกขั้นของมาสด้า ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจและเลือกรถยนต์มาสด้าให้เป็นยานพาหนะคู่ใจในทุกการเดินทาง” มร. ทาดาชิ มิอุระ กล่าวเพิ่มเติม

พร้อมกันนี้ มร. ทาดาชิ มิอุระ ยังได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ว่า “สำหรับในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่ได้หวือหวามากนักเนื่องจากยังมีปัจจัยบวกและปัจจัยลบรอบด้านที่ยังคงต้องจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในต่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก อาทิ ปัญหาเรื่องราคาและการขาดแคลนพลังงานในยุโรป ความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน นโยบายทางเงินต่างๆ สถานการณ์เงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์โควิดในประเทศจีนและความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ทั้งนี้แล้ว ในส่วนของประเทศไทย ก็ยังพอมีปัจจัยบวกสนับสนุน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคของเอกชน ที่ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจากช่วงกลางปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าในปีนี้จะได้รับแรงสนับสนุนมากยิ่งขึ้นจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการเรื่องโควิด ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยลงได้”

มร. ทาดาชิ มิอุระ ยังแสดงวิสัยทัศน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2566 ว่า “ในปีนี้คาดว่าตลาดรถยนต์จะมีปริมาณการขายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าปีที่ผ่านมา อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยวเริ่มเปิดรับชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ภาคการเกษตรเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบริโภคของประชาชนเริ่มกลับมา รวมถึงปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิตเริ่มคลี่คลายลง แต่ทั้งนี้แล้วก็ยังคงต้องจับตามองเรื่องประเด็นความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความขัดแย้งในยุโรป ปัญหาด้านพลังงาน ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ระบบขนส่งหรือโลจิสติกส์ ล้วนส่งผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงประเด็นเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นจึงอาจทำให้กำลังซื้อชะลอตัว และเชื่อว่าในปี 2566 ตลาดจะมีการแข่งขันกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด แต่ทั้งนี้โดยรวมแล้วคาดว่าตลาดรถยนต์จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หรืออยู่ที่ประมาณ 850,000 – 870,000 คัน แต่สำหรับมาสด้าเรายังคงมั่นใจอย่างยิ่งว่าปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือมีตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 35,000 คัน”

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาดในปี 2566 มาสด้ายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง (Mid-Term Plan) ผ่าน Retention Business Model ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ด้วยการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุก Touchpoints เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย โดยกลยุทธ์ด้านต่างๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

กลยุทธ์ด้านการตลาด: เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์มาสด้าด้วยการนำเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้สื่อสารกับลูกค้าและแฟนมาสด้า แบบ One-to-One Communication รวมถึงการนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านระบบ Global One Customer Data Management System ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าในทุก Touchpoints

กลยุทธ์ด้านการขาย: วางโยบายด้านการขายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาและสร้างความพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ควบคู่กับเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ชื่นชอบในแบรนด์และผลักดันให้เกิดการซื้อซ้ำมากยิ่งขึ้นด้วยธุรกิจมือสองคุณภาพเหนือระดับ หรือ Mazda CPO เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มองหารถยนต์มือสองคุณภาพดีที่ผ่านการรับคุณภาพโดยมาสด้า ตลอดจนถึงสร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย

กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์: นำปรัชญาของการพัฒนาโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centricity Philosophy) มาใช้พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมาสด้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าผ่านการเป็นเจ้าของรถยนต์ ควบคู่กับมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยวางแผนปรับโฉมผลิตภัณฑ์และเปิดตัวสู่ตลาดในทุกไตรมาสของปี 2566 แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าตามพันธกิจสู่ความยั่งยืนภายในปี 2573  หรือ Sustainable Zoom-Zoom 2030 ด้วยการวางรากฐานสู่การนำเสนอรูปแบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้สถานการณ์และกรอบเวลาที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593

กลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขายและนโยบายเกี่ยวกับผู้จำหน่าย: ร่วมมือกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขาย ผ่านทุกวิถีทาง All for Customers เพื่อส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และมุ่งดูแลลูกค้าในระยะยาวด้วยโปรแกรมบริการหลังการขายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ควบคู่กับการเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันกับผู้จำหน่าย ตามแนวทาง  One Mazda เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนร่วมกัน

“ทั้งหมดนี้คือผลการดำเนินงานของมาสด้าในปี 2565 ที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 เรามุ่งมั่นที่จะมอบช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตให้กับลูกค้า พันธมิตร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแบรนด์มาสด้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อโลก เพื่อสังคม และเพื่อผู้คน ที่ยั่งยืนตลอดไป ” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม

สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้า ประจำปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564

ข้อมูลการขายรถ	มกราคม – ธันวาคม 2565	มกราคม – ธันวาคม 2564	% เปลี่ยนแปลง
มาสด้า2	16,249	17,814	– 8.78
มาสด้า3	1,553	1,982	– 21.64
มาสด้า CX-3	4,249	4,743	– 10.41
มาสด้า CX-30	6,092	7,497	– 18.74
มาสด้า CX-5	824	930	– 11.39
มาสด้า CX-8	1,157	1,051	+ 10.08
มาสด้า BT-50	1,506	1,363	+ 10.49
มาสด้า MX-5	8	4	+ 100.00
ยอดรวม	31,638	35,384	– 10.59

Mazda occupies 3^rd place in the passenger car market, prepares to launch new models throughout the year and aims to take best care of customers

• Total sales of passenger car was almost 18,000 units, ranked 3^rd position in the passenger car market.
• Total sales was over 16,000 units, ranked 3^rd position in the city car including eco-car market.
• Total sales of crossover SUV was over 12,000 units, the CX-Series ranked 4^th in the crossover SUV market.
• Launch Retention Business Model to enhance brand value and increase sales with brand image.

Bangkok – Thailand – 11 January 2023 – Mazda announces that it achieved business performance in 2022 as expected with cumulative sales almost 32,000 units despite experiencing internal and external factors affecting the strength of the organization and dealer. Particularly, the Mazda2 was able to maintain its popularity and it was ranked as the third position in the B-car including eco-car market, resulting the cumulative sales of Mazda passenger car achieved the third position of the automotive market permanently. The four crossover SUV models of the CX-Series also created a sales record and it was ranked as the forth position in the SUV market with more than 12,000 unit sold. For this year, Mazda plans to launch new models to the market throughout the year, especially aims to take care of customers and enhance customer satisfaction through “Retention Business Model” to deliver excellent long-term customers experience, and sets sales target at 35,000 units or increase by 10%.

Thai economy in 2022 was recovered from the previous 2 years due to the recovery of private consumption and the positive factors from the increase of consumer confidence resulting from government policies. Especially, from the reopening of the country that helped restoring the money back to economic system and pushed business to move forward, which was the same direction as the Thai automotive business. The demand for car has returned and we have received supporting factors from the entering of new automotive brands; the Chinese brands, as well as promotional campaign from various brands. As a result, the Thai automotive market in 2022 grew approximately 12% from previous year and had cumulative sales about 850,000 units (estimated number), which was the same number as expected at the beginning of the year.

Mr. Tadashi Miura, President of Mazda Sales (Thailand) Co., Ltd, said, “Today Mazda announces that Mazda is moving forward with its Mid-Term Plan to increase Mazda brand value in Thailand through “Retention Business Model” by focusing on Brand Value Management and Customer Retention Business to deliver customer’s best experience with aftersales-service under the concept “All for Customer”. The purpose is to adjust Mazda business for growth and sustainability. This is an important policy that Mazda will adhere to as a guideline to formulate as a strategy from today and will never change even if times or executives change. This policy will remain and will never change.”

For Mazda, although we had been in the midst of fierce competition and the shortage of semi-conductor since the beginning of the year, we were almost able to achieve the sales target. Most importantly, the passenger car Mazda2 was able to remain its popularity and created sales record as the third position of the B-Car including Eco Car market with cumulative sales at 16,249 units and supported Mazda to achieve the third position in the passenger car market for over a half decade with the 17,810 units sold. Moreover, the Mazda CX-Series was able to generate substantial sales of 12,322 units. Therefore, in the 2022, Mazda had cumulative sales at 31,638 units and remained its popularity with the sixth position of the Thai automotive market.

“At present, Mazda has 8 car models available in Thailand. The best-selling passenger car is Mazda2 while the Mazda CX-30 is the most popular crossover SUV. When considering cumulative sales of each model in 2022, it can be divided into 16,249 units of Mazda2, 1,553 units of Mazda3 and 8 units of the sport roadster Mazda MX-5. In the meantime, the crossover SUV Mazda CX-30 contributed 6,092 units, followed by 4,249 units of Mazda CX-3, 1,157 units of Mazda CX-8 and 824 units of Mazda CX-5 while the Mazda BT-50 contributed another 1,506 units. The cumulative sales of Mazda represents Mazda’s success. We would like to show our appreciation to customers for choosing Mazda to be your trusted vehicle in every journey.” Mr. Tadashi Miura added.

Moreover, Mr. Tadashi Miura also revealed his vision toward the 2023 economic outlook, “It is expected that the economy will grow constantly but will not be remarkable because there are positive and negative factors that needed to keep an eye on. For example, price problem and energy shortage in Europe, the prolongation of the war between Russia and Ukraine, monetary policy, cost increased from inflation, the COVID-19 situation in China and the risk of an economic recession. However, in Thailand, there are still supporting factors especially from tourism and consumption of private sector which are the important factors supporting and stimulating the economy. Since the middle of last year, it can be seen that tourism sector has recovered from the increasing number of tourists and it was expected that we would receive more support from Chinese tourists because China has lifted the COVID-19 measure. It is believed that these factors will help alleviate the impact of global economic volatility and economic slowdown in Thailand.”

Mr. Tadashi Miura also showed his vision towards the direction of the 2023 Thai automotive industry, “It is forecasted that the sales volume of the automotive market will be equivalent to last year. Although there are many more supporting factor stimulating the economy than previous year, e.g., tourism, the growing of agricultural sector, recovering of public consumption and the shortage of semi-conductor began to resolve. We have to keep an eye on the conflict between the USA and China, the conflict and energy crisis in Europe, increase in price and logistic that inevitably affects Thailand’s import and export. In addition, the rising of cost of living is another factor that slows down consumer’s purchasing power and it is believed that the competition of the automotive market will be more intense because there are new brands introduced to the Thai market. Nevertheless, it is expected that the sales volume of automotive market will be equivalent to last year or about 850,000 – 870,000 units while Mazda is confident that the our sales performance will grow about 10% or has approximately 35,000 units.”

Mr. Thee Permpongpanth, Senior Vice President of Mazda Sales (Thailand) Co., Ltd, said, “For the 2023 strategy, Mazda is committed to move forward with the Mid-Term Plan through Retention Business Model that focuses on enhancing brand value (Brand Value Management) by improving customer experience at all touchpoints. The aim of the strategy is to create customer satisfaction throughout the ownership period of Mazda vehicle and create sustainable growth of Mazda brand in Thailand. The strategy of Mazda is as follows,

Marketing strategy: Strengthen Mazda brand value by using effective marketing tools. Importantly, utilizing digital platform to communicate with customers and Mazda Fan through One-to-One Communication, utilizing centralized customer database and consolidating it into Global One Customer Data Management while creating customer experience and satisfaction at all touchpoints at the same time.

Sales Strategy: Establish standardize sales policy to avoid price competition and create highest customer satisfaction along with increasing the number of customers who love the brand. In addition, we aim to encourage customers’ re-purchase with Mazda CPO to offer more choices for customers who are looking for quality used cars that have been certified by Mazda as well as creating sustainability for the Mazda brand in Thailand.

Product Strategy: Adopt the Human-Centricity Philosophy to improve Mazda’s unique products in order to deliver joyful and fun driving experience to customers through the ownership of car along with the determination to develop products that meet the needs of daily use and meet the changing consumer behavior. Mazda plans to improve the products and launch them to the market in every quarter of 2023. At the same time, Mazda is committed to follow its mission towards sustainability by 2030 or the Sustainable Zoom-Zoom 2030 by establishing the foundation to offer an environmentally friendly energy form under the right circumstance and time to endeavor for carbon neutrality by 2050.

After-sales service and dealer network strategy: Collaborate with dealers across the country to enhance customer experience in terms of sales and after-sales service through “All for Customers” concept to maximize customer satisfaction and creating long-term relationship with after-sales service program that helps reduce the burden of expenses. In addition, we aim to enhance relationships and work together with dealers that is in line with One Mazda approach toward sustainability.

“All mentioned above is Mazda’s 2022 business performance and 2023 business plan. We are committed to deliver happiness to customers, partners and all parties to drive Mazda brand to grow sustainably with automotive technology that offers comfort and environmental friendliness, which is in line with the Sustainable Zoom-Zoom 2030 to bring about a beautiful earth and to enrich people’s lives as well as society.” Mr. Thee added.

Mazda’s cumulative sales in 2022 VS 2021

Model	Jan – Dec 2022	Jan – Dec 2021	% Change
Mazda2	16,249	17,814	– 8.78
Mazda3	1,553	1,982	– 21.64
Mazda CX-3	4,249	4,743	– 10.41
Mazda CX-30	6,092	7,497	– 18.74
Mazda CX-5	824	930	– 11.39
Mazda CX-8	1,157	1,051	+ 10.08
Mazda BT-50	1,506	1,363	+ 10.49
Mazda MX-5	8	4	+ 100.00
Total	31,638	35,384	– 10.59