Categories: รถใหม่

ทดลองขับ Volvo S80 2.5 FT FLEXIFUEL : กาแฟรสหอมละมุน กรุ่นด้วย E85 : By : J!MMY



“จิมมี่ จะเอา S80 E85 ไปขับหรือเปล่า?”

พี่ต่าย สุดเลิฟ พีอาร์ของวอลโว ถามขึ้นมา ขณะที่ ผม กับน้องแพน V.Putin และ น้องกล้วย (น้องชายคนเล็ก)
ทำตัวเป็นไทยมุง อยู่ที่บูธของวอลโวในรอบสื่อมวลชน ของงาน Motor Expo 2008 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน

ลังเลนิดนึง ก่อนตอบไปว่า
“ก็ได้ครับพี่ เมื่อไหร่ละ?”

มี 2 ศุกร์ให้เลือกสรร พอเลือกได้วันที่เหมาะสม ก็มาดูเรื่องสีรถ…

“เอาสีอะไรดี?”

“มีสีอะไรบ้างครับ?”

“ก็มี สีดำ สีขาว ……อ่า….แล้วก็สี Oylster…เค้าเรียกว่าสีอะไรน๊า…เอ้อ…สีหอยนางรม อ่ะ”

“โอเคเลยพี่ต่าย….ผมเอา สีหอย!!”

ทุกคนพากันมองหน้าผม แล้วแพนก็โพล่งออกมา…….

“โหหหห เมิงเล่นมุขนี้เลยนะ อีนังชะนี in da CITY!!”

แต่ดูเหมือนว่า พี่ต่าย จะยังไม่เก็ท…..

งั้นดีแล้ว เราจะปล่อยให้พี่ต่าย ไม่เก็ท และเป็นงงตรงนั้นอยู่ต่อไป!

เย้!

^0^



โดยปกติแล้ว ผมไม่ค่อยนิยมจะนำรถยนต์รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์
หรือมีการปรับปรุงเล็กๆน้อย กลับมาทำรีวิวอีกครั้ง เพียงเพราะมันมีการปรับปรุงอุปกรณ์ใดๆเพิ่มเติม

เช่นในกรณีของ Mazda 3 ซึ่งคิดว่าคงจะไม่นำกลับมาทำตัวเลขใดๆซ้ำ
เพราะรถใกล้จะหมดอายุตลาด แม้จะพยายามกระตุ้นด้วยความสดใหม่ก็ตาม

ส่วนในกรณี Lexus IS250 นั้น ที่ยอมให้ ก็มาจากว่า รถรุ่นเดิม คันที่ผมเคยลองขับนั้น สภาพมันไม่ค่อยจะดี
ดังนั้น เอารถรุ่นใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ คันที่มีสภาพดีกว่า มาลองขับ กันอีกรอบ ก็น่าจะช่วยยืนยันในสิ่งที่ผมคิด ว่ามันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร (สรุปว่า มันเหมือนเดิม)

แต่ในกรณีของรถที่คุณจะได้อ่านต่อจากนี้ ถือเป็นกรณีพิเศษ…

เพราะนี่จะเป็นครั้งแรก กับประสบการณ์
การใช้งาน รถยนต์ที่เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85…กันถึงบ้าน
และตลอด 5 วัน 4 คืนเต็มๆ ขับกันจนเมาแอลกอฮอลล์ (ในน้ำมัน E85) ไปข้างนึงเลยทีเดียว!

(ใครบอกว่า กลิ่นจากท่อไอเสียมันหอมกว่าฟะ? ขอทะลวงรูจมูก จับล้างขัดพอร์ตสักรอบนึงเลยดีไหมเนี่ย?)

ที่บอกว่าเป็นครั้งแรก เพราะว่า ก่อนหน้านี้ ผมเคยลองขับรถยนต์ที่เติมแก็สโซฮอลล์ E85 เป็นครั้งแรกในชีวิตไปแล้ว
กับ Volvo C30 1.8F เกียร์ธรรมดา เพียงแต่ว่าครั้งนั้น ยังไม่มีน้ำมัน E85 ให้เติม
ตามปั้มทั่วไปเลย และติมได้มากสุดแค่ E20 (รายละเอียดต่างๆ เชิญที่
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=200&dshow=all )

อีกคันหนึ่งก็คือ กับ Chevrolet Impala ที่ GM สั่งนำเข้ามาอวดโฉมกันเมื่องาน ฉลอง GM 100 ปี
ราวๆ เดือนกันยายนที่ผ่านมา แมาจะเติม E85 อยู่ในถังตอนที่ผมขับ
ทว่า ไม่มีโอกาสลองขับใช้งานยาวๆ มากไปกว่าวิ่งเล่นรอบๆกรวยพลาสติก แถวลานจอดรถ
หลังอิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานีเท่านั้น (รายละเอียดต่างๆ เข้าไปอ่านเล่นได้ที่นี่…
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=204&dshow=all )

แต่ ผู้ที่จะได้เครดิตไปเต็มๆ ว่าเป็นผู้บุกเบิก นำรถยนต์ ที่ใช้ แก็สโซฮอลล์ E85
มาผลิตในเมืองไทย และทำตลาดให้ชาวไทย (และก็มาให้ผมยืมลองขับ) เป็นรายแรก ก็คือ วอลโว นี่ละ!

อันที่จริงแล้ว S80 ใหม่ เปิดตัวในเมืองไทยครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน 2007
และผมว่า ผมก็เคยทำรีวิว ฉบับ ยาวเฟื้อย ให้ได้อ่านกันไปแล้วครั้งหนึ่ง
(อ่านได้ใน http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=179&dshow=all )

ส่วนรุ่น E85 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้เอง
แลเพิ่งนำมาขึ้นแท่นจัดสดงและทำตลาดจริง ในงาน มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งล่าสุด
ที่ผ่านมา นี้เอง!

คำถามก็คือ แล้วผมเอารถคันนี้มาลองซ้ำทำไม?



คำตอบ? ง่ายมาก ในเมื่อ รถคันเดิม เติมเบนซิน 95 แล้วได้สมรรถนะมาอย่างที่เคยรายงานไปแล้วนั้น
หากรถรุ่นเดียวกัน แต่เติม แก็สโซฮอลล์ E85 มันจะแรงขึ้นไหม อัตราสิ้นเปลืองจะเป็นอย่างไร

ดังนั้น โจทย์ของผมในคราวนี้ จึงมิได้พุ่งเป้าไปที่ว่า รถคันนี้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร
แต่อยู่ที่ว่า ถ้าเติมน้ำมัน ต่างประเภทกัน โดยเฉพาะ น้ำมันที่มีส่วนผสมของ เอทานอล มากถึง 85%
และมีสัดส่วนของน้ำมันฟอสซิล เพียง 15% เท่านั้น สมรรถนะ จะแตกต่างกันหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด

จึงไม่ควรแปลกใจ ถ้าผมจะพูดถึงรายละเอียดของตัวรถคันนี้ น้อยกว่าครั้งอื่นๆ
เนื่องจากว่า รายละเอียดหลักๆ มันก็เหมือนกันกับรถรุ่นเดิม ที่ทำตลาดอยู่แล้วไม่มีผิด
อาจจะมีเพิ่มเติมเพียงนิด ในด้านอุปกรณ์ซึ่งเพิ่มเข้ามา ก็เพียงแค่นั้น

ก่อนอื่น เรามารู้จักกันก่อนดีไหมว่า อะไรคือ E85… แล้วเอทานอล มาเกี่ยวอะไรด้วย

ตอนแรก ว่าจะนั่งหาข้อมูล และเขียนเอง ซึ่งคาดว่า รีวิวนี้ คงจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะคลอด

ทว่า ระหว่างที่นั่งทำต้นฉบับอยู่นี้ ซึ่งต้องค้นหาเอกสารและข้อมูลต่างๆ ประกอบไปด้วย

พอนึกขึ้นได้ ว่า ทางทีมงานของโอกิลวี แอนด์ เมเธอร์
เอเจนซีโฆษณา ที่รับงานดูแลประชาสัมพันธ์ให้ทั้งวอลโวและฟอร์ด
บอกกับผมว่า ในเว็บไซต์ http://www.volvocars.co.th ตอนนี้
ก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับ เอทานอล E85 และเรื่องราวพื้นฐานต่างๆ

ลองคลิกเข้าไปดูหน่อยดีกว่า…

แล้วก็ได้เรื่องเลย! เพียบ!

เพียงพอที่จะไม่ต้องไปไล่เก็บไล่หาข้อมูลที่ไหนของบ้านเราเพิ่มเติม ให้เสียเวลา
เพราะถูกรวบรวมเอาไว้จนละเอียดพอสมควร เลยทีเดียว!

และเรื่องที่น่าจะต้องให้เครดิตกันเต็มๆคือ
รายละเอียดและข้อมูลต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับ เอทานอล ที่ผมนำมาโพสต์ให้อ่านกันอยู่นี้

ลุง พอล สโตคส์ ประธานบริหาร ของ วอลโว คาร์ส (ไทยแลนด์)

“ลงมือนั่งค้นคว้าข้อมูล และเขียนรายงานฉบับนี้ ทั้งหมด ในภาคภาษาอังกฤษด้วยของลุงแกตัวเอง”…!!
(ส่วนเวอร์ชันไทย แปลมาจากต้นฉบับของลุงพอลอีกที )

ซึ่งงานแบบนี้ ปกติแล้ว หากเป็นผู้บริหารบริษัทหรือองค์กรทั่วไป โน้นครับ โยนให้ลูกน้องทำ
แต่นี่ คนคนนี้ ทำเอง เขียนเอง Research เอง ทั้งหมด

หากใครจะมองในแง่ร้ายว่า “ก็แหงละสิ วอลโวขายได้น้อย ผู้บริหารก็เลยว่างพอจะนั่งทำรายงานนี้เอง
ดีกว่าเอาเวลามานั่งตบยุงรอลูกค้า” คนที่คิดแบบนี้ ผมคงต้องถามว่า จิตใจโหดร้าย เพราะดูฉากนางเอกตบกัน
ในละคร “ใจร้าว” ทางช่อง 3 มากไปหน่อยหรือเปล่านั่น

ถึงตรงนี้ ผมก็เลยอยากให้ดูรูปของลุงพอล กันสักหน่อย



หน้าตาของ ลุงพอลก็คือ ฝรั่งผิวขาวใจดี รักเด็ก (ขอย้ำว่า ไม่ได้สร้างภาพ แกเป็นคนแบบที่เห็นนี่แหละจริงๆ)

ปกติ คุณๆก็คงรู้ดีว่า ผมไม่นิยมอย่างรุนแรงกับการโพสต์รูปผู้บริหาร หรือรูปพีอาร์ ในข่าวแจกที่ได้รับมา

แต่ครั้งนี้ เป็นข้อยกเว้น…เพราะ
1. ผมไม่ได้พิศมัยผู้บริหารบริษัทรถยนต์มากขนาดจะต้องถ่ายรูปของพวกเขาด้วยมือผมเอง
พวกเขาไม่ใช่นายแบบ หรือดารา เซเลบริตีส์ ทั้งหลาย สักหน่อย เลยไม่มีรุปถ่ายลุงพอล ฝีมือผมเอง ที่ดูเข้าท่าๆ หน่อย อยู่ในคลัง
เพราะที่มีอยู่ เ็ป็นรูปตอนพยายามแกะสายสลิง ในวันเปิดตัว S80
ซึ่ง รูปนั้น มัน เบลอ!

2. อยากให้เห็นหน้า คนคนนี้จริงๆ ว่า เป็นคนที่มีความไม่ธรรมดาอยู่ในตัวหลายเรื่องแหะ
และเป็นฝรั่งที่ดี น่ารัก น่านับถือ และกวนใช้ได้ คนนึงที่ผมเคยเจอมา

คือ คนรอบข้างของลุงพอล เคยเล่าให้ฟังว่า สำหรับลุงพอลแล้ว ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร
ลุงเค้าจะค้นคว้าอย่างเอาจริงเอาจัง จนกว่าจะเจอ และจะค้นจนกว่าจะรู้ลึกซึ้งย้อนไปถึงรากเหง้าที่มา
ของเรื่องราวที่ตัวลุงพอลเค้ากำลังสนใจอยู่ กับแค่ยี่ห้อของเสื้อ หรือรองเท้าของคุณ
ลุงพอลจะค้นหาประวัติมาเล่าให้คุณฟังอย่างเมามันส์!

โอ้! ผมอยากให้มีนิสัยดีๆ ของลุงพอล อย่างนี้ อยู่ในตัวคนไทยอย่างเราๆ กันจังเลย!!

ดังนั้น ขออนุญาต ดัดแปลงตัดต่อเพียงเล็กน้อย เท่านั้น
แล้วนำเสนอกันตรงนี้ ให้ได้เป็นข้อมูลพื้นฐานกันครับ

ยาวหน่อยนะครับ แต่ ถ้าอ่านจบ คุณจะเข้าใจภาพของพลังงานทางเลือกใหม่นี้มากกว่าที่เคยเข้าใจอยู่ เยอะเลย!



(ภาพจาก http://epa.gov/smartway/growandgo/smartway_images/e85-pump01.jpg )




(ภาพจาก http://blog.wired.com/.shared/image.html?/photos/uncategorized/2007/06/20/ethanol_fuel_pump.jpg )




(ภาพ จาก เว็บไซต์ สื่อมวลชนของ Volvo สวีเดน)



(ภาพจาก ฝีมือของ Andrew http://picasaweb.google.com/ndgoldman/Brazilimages# )




(Volvo DRIVe Lineup ทั้ง C30 S40 V50 ซึ่ง ยังไม่เข้ามาทำตลาดในไทย)



แถมด้วย ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้ง ก๊าซ CNG รวมทั้ง แก็สโซฮอลล์ E20 ที่ควรจะรู้ไว้สักนิด

เหมือนจะยาว แต่ยังไม่จบ
เหมือนจะจบ แต่ยังมีต่ออีก 1 หน้า

แล้วทำไมไม่นำเสนอต่อให้จบ?

ยังก่อนครับ ประเด็น ใน 1 หน้าสุดท้าย
ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด อ่านต่อไปเรื่อยๆ ครับ
เดี๋ยวคุณจะรู้เองว่า หน้าสุดท้าย ผมเก็บเอาไว้ทำอะไร…



แถมด้วย ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้ง ก๊าซ CNG รวมทั้ง แก็สโซฮอลล์ E20 ที่ควรจะรู้ไว้สักนิด

เหมือนจะยาว แต่ยังไม่จบ
เหมือนจะจบ แต่ยังมีต่ออีก 1 หน้า

แล้วทำไมไม่นำเสนอต่อให้จบ?

ยังก่อนครับ ประเด็น ใน 1 หน้าสุดท้าย
ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด อ่านต่อไปเรื่อยๆ ครับ
เดี๋ยวคุณจะรู้เองว่า หน้าสุดท้าย ผมเก็บเอาไว้ทำอะไร…



อันที่จริง รูปลักษณ์ภายนอก ของ S80 2.5 FT ซึ่งลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.29
มันไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ไปจากรถ S80 รุ่นปัจจุบัน ที่ทำตลาดอยู่เลย มากสุดก็มีเพียงแค่ ตัวอักษร FT ด้านหลัง ที่เพิ่มเข้ามา
เพื่อบ่งบอกให้รถคันตามหลัง ได้รู้ว่า คันนี้ นอกจากจะเติมได้ทั้ง
เบนซิน 95 แก็สโซฮอลล์ E10 และ E20 ได้แล้ว ยังเติม E85 ได้ด้วยนะ (แต่เติม เบนซิน 91 และแก็สโซฮอลล์ 91 ไม่ได้นะจ้ะ)

กระนั้น เมื่อมานั่งพิจารณาดูเล่นๆ แล้ว
ผมเริ่มพบว่า

ภายใต้ตัวถังที่ยาว 4,851 มิลลิเมตร กว้าง 1,907 มิลลิเมตร สูง 1,493 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,835 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวเปล่า 1,810 กิโลกรัม
และน้ำหนักเมื่อรวมการบรรทุกเข้าไปด้วย จะอยู่ที่ 2,320 กิโลกรัม

มีอะไรบางอย่าง แอบซ่อนอยู่ และทำตัวได้เนียนมากๆ



นั่นคือ

กระจกมองข้าง และ มือจับเปิดประตู ของ S80 นั้น
ใช้ร่วมกันกับ Jaguar XF ซาลูนใหม่ ได้ทันที!
ถอดสลับสับเปลี่ยนกันได้เลย

ไม่แปลก เพราะในอดีต วอลโว แจกัวร์ และแลนด์โรเวอร์ อยู่ในเครือเดียวกัน
ใต้ร่มไม้ชายคาของฟอร์ด วันนี้ เมื่อ 2 แบรนด์หลัง ถูกขายออกไปให้กับ ทาทา มอเตอร์ส แห่งอินเดีย
แต่ก็มิได้หมายความว่า การใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่เคยพัฒนาร่วมกันมา จะต้องถึงคราวยุติลงแต่อย่างใด

เอ…ควรจะดีใจหรือเสียใจกันดีละเนี่ย



ภายในห้องโดยสารนั้น เมื่อเปิดประตูออกมา
ผมยังคงพบบรรยากาศเดิมๆที่คุ้นเคย และผมก็ชื่นชอบเอามากๆ

แน่ละ ห้องโดยสาร ที่หรูสุดและใช้วัสดุที่ดี
ชนิดที่ผมเองก็ยังไม่เคยคิดจะเปลี่ยนคำวิจารณ์ไว้เมื่อคราวก่อนว่า
นี่คือ ห้องโดยสารของรถยนต์ประกอบในประเทศ ที่ออกแบบมาได้ดี
ใช้วัสดุที่ดี และลงตัวที่สุด ในบรรดารถยนต์ประกอบในประเทศ
ทุกค่าย ทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น ไม่จำกัดสัญชาติ ณ เวลาที่รีวิวฉบับนี้ถูกเผยแพร่



เบาะนั่งคู่หน้า นั่งสบาย ปรับด้วยไฟฟ้า ทั้งฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสาร
เฉพาะฝั่งคนขับ มีหน่วยความจำตำแหน่งที่ปรับเอาไว้ 3 ตำแหน่ง ทุกรุ่น
หนังที่ใช้ เป็นหนังแท้แบบนุ่ม Sovereign มีพนักศีรษะ เป็นแบบ
ลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ และหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ WHIPS
มาให้เหมือนวอลโวทุกรุ่น

แต่ ระบบปรับดันหลังนั้น ยังต้องใช้มือหมุนเอาที่ ด้านข้างของเบาะนั่ง ฝั่งด้านใน
และ มันหมุนยากมากๆ เพราะฝืดมือเหลือเกิน แถมคอนโซลกลาง ซึ่งติดตั้งในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วนั้น
กลับขวางการหมุนปรับดันหลังให้ความสะดวกมือ หายไป เป็นอย่างเดียวที่ผมเพิ่งค้นเจอจากเบาะนั่งและขอติติง

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น ยังโปร่งตามสมควร และพนักวางแขนที่แผงประตูด้านข้างนั้น
วางอยู่ในตำแหน่งทื่เหมาะสมดีแล้ว และชวนให้นึกถึง วอลโวรุ่นเก่าๆ ทั้ง 740 760 940 และ 960



ประตูผู้โดยสารด้านหลัง มีแผงประตูที่วาแขนได้สบายเหมือนกับแผงประตูคู่หน้า
มีช่องแอร์สำรับผู้โดยสารแถวหลังฝังอยู่ที่เสาประตู ตามเคยสำหรับรถยี่ห้อนี้
ทางเข้าผู้โดยสารด้านหลัง ยังคงเข้าออกได้สบาย ก็จริงอยู่…



แต่เบาะหลังนั้น ทั้งที่เคยนำมาลองขับกันแล้ว
และผมเคยมีความเห็นว่า นั่งสบายดีแล้ว คือผมนั่งได้เต็มก้น และนุ่มสบาย

กระนั้น เมื่อ เจอบรรดาบั้นท้ายของ “เพื่อนพี่น้องคณะลูกขุน กลุ่ม pantip.com ห้องรัชดา”
ที่มาลองรถด้วยกันกับผมนั้น น้อง Bombe ตาถัง และ ตาแพน V.Putin พวกเขาทั้ง 3 กลับคิดเห็นตรงกันว่า
ยังนั่งไม่สบายพอ และควรจะปรับปรุงได้มากกว่านี้อีก อยู่ที่ความยาวของเบาะรองนั่งที่น่าจะเพิ่มได้อีกสักนิด
แต่ผมก็มองว่า นั่นอาจจะทำให้พื้นที่วางขา หดหายไปหน่อยเหมือนกัน แม้จะไม่เยอะนักก็เถอะ

สำหรับรถเพื่อนักบริหารแล้ว แม้วอลโว จะพยายามอาใจลูกค้าที่ชอบขับรถมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ใน S80 ใหม่นี้ แต่ เบาะหลัง ก็ไม่ควรละทิ้งความสบายสำหรับวันที่คุณลูกค้าอยากหาพลขับมาทำหน้าที่แทนด้วยเช่นกัน

แม้ว่าด้านหลังของ S80 จะนั่งสบายกว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ที่กำลังจะตกรุ่น
และ BMW ซีรีส์ 5 อยู่ก็ตาม

แค่เบาะรองนั่งด้านหลัง เท่านั้นที่ต้องปรับอีกนิด ที่เหลือ มันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปปรับแก้ รวมทั้ง พนักพิงศีรษะหลัง
พื้นที่เหนือศีรษะด้านหลัง และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ISOFIX ที่มีมาให้

อีกทั้ง ม่าน บังแดด ที่อุตส่าห์มีมาให้นั้น ติดตั้งทั้งที่หน้าต่างประตูคู่หลัง และกระจกบังลมหลัง
หากแต่ว่า ต้องใช้ระบบ อัตโนมือ ในการดึงมันขึ้นมาใช้งาน และปลดมันเก็บเข้าที่หลับนอนของมัน

รถระดับราคา 3.1 ล้าน แค่ม่านไฟฟ้า ณ กระจกบังลมหลัง ช่วยติดมาให้ลูกค้าเค้าหน่อยเถิดดดดดด

ส่วนที่วางแขนพร้อมช่องวางแก้วน้ำนั้น วางแขนได้ดี และยังเป็นช่องทางเปิดทะลุไปยัง ห้องเก็บของด้านหลังได้



และถ้าต้องการพับเบาะ ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง (60 : 40) เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลังอย่างที่เห็นนั้น



ต้องดึงมือโยก ถัดลงมาจาก ขอบด้านบนของขอบทางเข้าห้องเก็บสัมภาระ

มีอุปกรณ์ฉุกเฉินมาให้ แขวนไว้กับฝากระโปรงหลัง

จะว่าไปแล้ว คราวก่อน ยังไม่มีเวลาทดลองทำในสิ่งที่อยากทำ
คือการวัดขนาดด้วยวิธีการของผม
งวดนี้ ก็เลยลองทำให้ดูกันซะเลย



ก่อนอื่น…เราก็ให้บรรดาสมาชิกคณะลูกขุน ร่วมทีมกับผม มาเผยโฉมหน้าตัวเองนิดนึง
ที่คุณเห็นเสื้อชมพูนั้น คือ เจ้ากล้วย (Login : น้องชายคนเล็ก) และ เจ้าเติ้ล (Login : Wish_c_za)
ซึ่งก็อยู่ใน pantip.com ห้องรัชดา อันเป็นห้องที่พูดคุยกันในเรื่องรถยนต์นั่นละ

กล้วย สูงราวๆ 170 เซ็นติเมตร หนักราวๆ 48 กิโลกรัม
ส่วนเจ้าเติ้ล แน่นอน ตัวใหญ่กว่ากล้วยนิดนึง

ทั้งคู่ เข้าไปนอนเล่นในห้องเก็บของ ของS80 ได้อย่างสบายๆ



แต่….ไม่ใช่แค่นั้น….แม้แต่ ตาแพน V.Putin หรือ mockba86 ใน Caronline.net นี่
ก็ยังสามารถ กระเสือกกระสนเข้าไปในห้องเก็บของ ของ S80 ได้อย่างแน่นอน
ทั้งที่เจ้าเติ้ลก็นอนอยู่ในนั้น อย่างเดิม!

แม่เจ้าโว้ยยยยย ห้องเก็บของ S80 มันใหญ่โตได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!!

ตาถังน้อย ยืนยันเป็นพยานว่า เข้าได้จริง แต่เราจำใจ ต้องปล่อยให้ร่างอันมหึมาของแพน
มุดเข้าไปนอนแผ่หราได้มากสุดเพียงแค่นี้ เพราะมิเช่นนั้น หากแพนหลุดเข้าไปนอนได้เต็มตัวเมื่อไหร่
ภาระหน้าที่การดึงร่างอัน…เอ่อ…
Very Hippopotemus ของ แพนออกมานั้น
อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงขั้นต้องใช้รถ Caterpiilar
ช่วยดึงตัวออกมา กันไปเปล่าๆ

;-P



การกลับมาขับ S80 อีกครั้ง ถือเป็นความสุขส่วนตัวเล็กๆ ที่จะได้กลับมาเจอกับ
บรรยากาศภายในห้องโดยสาร ซึ่งยังคงความน่ารื่นรมณ์สำหรับผมเป็นที่สุดอยู่ดี
ไม้กับหนัง ตัดกันอย่างลงตัว ส่วนด้านบนของแผงหน้าปัดนั้น จะใช้โทนสีเข้ม
ลดการสะท้อนแสงแดด จนไปหลอนบนกระจกหน้า เข้าสู่สายตา ในยามกลางวัน

จะยกเว้นก็แค่พวงมาลัยไม้ ซึ่งแม้ผมจะชอบ และไม่มีปัญหาอะไรกับมันก็ตาม
แต่เจ้าแพน หนึ่งในคณะลูกขุนของเราก็ลงความเห็นว่า
มันเหมือนพวงมาลัยลายไม้จาก NARDI ที่อาจก่อให้เกิด
อาการลื่นได้ หากคุณเป็นคนมีสุขภาพไม่ดีนัก ถึงขั้นมีเหงื่อออกจากมือได้ง่าย



การติดเครื่องยนต์ ยังคงใช้ระบบกุญแจรีโมทคอนโทรลคีย์การ์ด PCC
PCC (Personal Car Communicator) เช่นเดียวกับ S80 รุ่นอื่นๆ
(รายละเอียดเพิ่มเติม ไปอ่านเพิ่มเติมได้ ในรีวิว S80 ใหม่
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=179&dshow=all )



และแน่นอน ก่อนติดเครื่องยนต์ คุณต้องเหยียบเบรก
ไม่เช่นนั้น ชุดหน้าปัดจะยังคงขึ้นสัญญาณเตือนนี้เอาไว้
หรือ จอฝั่งขวา ที่เห็น จะขึ้นข้อความและสัญลักษณ์เตือนเป็นรูป เท้าเหยียบเบรกให้ดู

เมื่อติดเครื่องยนต์แล้ว สัญญาณไฟต่างๆก็จะดับลงตามปกติ

จะว่าไป ผมเพิ่งสังเกตว่า S80 ไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ
แต่จะใช้วิธีการขึ้นข้อความเตือนแทน และ เหมือนเช่นวอลโวรุ่นอื่นๆ
หากจะอ่านข้อความใดๆ ที่รถจะเติือนคุณ สัญลักษณ์ตัว i
ใต้ชุดมาตรวัดที่เห็น จะสว่างขึ้นมา จอวงกลม ที่ชุดมาตรวัดรอบเครื่องยนต์
ก็จะเตือนคุณว่า Vehicle 1 Message ก็ให้กดที่ READ ณ ก้านเปิดไฟเลี้ยว ฝั่งซ้าย เพื่อไล่อ่านข้อความ ส่วน INFO จะเอาไว้ เช็คการทำงานระบบต่างๆในรถ



ก้านสวิชต์ระบบปัดน้ำฝน อยู่ฝั่งขวามือ

ชุดเิปิดไฟหน้าและไฟตัดหมอกทั้งหน้า-หลัง อยู่ ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาของคนขับ
แต่ ดูเหมือนจะไม่มีระบบเิปิดไฟหน้า อัตโนมัติ

เบรกมือเป็นสวิชต์ไฟฟ้า Power Parking Break
ปกติแล้ว ถ้าต้องการึ้นเบรกมือ ให้กดปุ่มลงไป
แ่ถ้าจะปลดล็อก ให้ดึงเข้าหาตัว
แต่หากจะออกรถบนทางลาดชัน แค่กดปุ่มเบรกมือ
ระบบก็จะปลดล็อก และตัวรถ ซึ่งควรอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D อยู่แล้วก็จะถูกขับเคลื่อนออกไปอย่างง่ายดาย
แต่จะว่าไปแล้วก็อันตรายเหมือนกัน หากมีการพลั้งเผลอเข้าเกียร์ D เอาไว้ แล้วคุณเผลอเหยียบคันเร่ง รถก็จะพุ่งออกไปได้
โดยง่าย

พวงมาลัยเป็นแบบ Multi Function มีปุ่มควบคุมให้

ฝั่งขวา ไว้ควบคุมระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control
ซึ่งรุ่น 2.5 FT นี้ จะไม่มีระบบ Redar Cruise Control
เหมือนเช่นรุ่น 6 สูบเรียง 3.2 ลิตรเขามีมา



แต่ฝั่งขวาเอาไว้ควบคุมชุดเครื่องเสียง แบบ
High Performance Sound 4×40 W 8 ลำโพง
และเล่น CD/MP3 ได้ 6 แผ่น แถมด้วยหน้าจอที่แสดงชื่อเพลง กับศิลปินครบเลย
ขึ้นอยู่กับว่า แผ่นที่คุณใส่เข้าไปให้เล่น มีข้อมูลชื่อเพลงและศิลปินอยู่หรือไม่
ซึ่ง ยังคงให้ความไพเราะใกล้เคียงกับที่ผมต้องการ อยู่ดี

เฮ้อ…ถ้าเครื่องเสียงจากโรงงานของ ซิตี้ มันทำได้อีกนิดนึง เท่ากับ S80 คันนี้ ก็คงจะดี
แต่เชื่อเถอะ มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก

เอาน่า ยังไง ชุดเครื่องเสียงก็ยังให้คุณภาพเสียงที่ออกมา ดีกว่า ชุด Bussiness ของ BMW ก็แล้วกัน



ระบบ Bluetooth ที่ติดตั้งมาให้กับรถนั้น ถือว่า
มีความฉลาด และทำงานไว อีกทั้ง การโทรศัพท์ ยังให้เสียงที่ชัดเจน
แถมเสียงดีอีกต่างหาก ดังไปก้องทั้งคันรถ จนต้องหรี่เสียงลง



การใช้งานค่อนข้างง่าย ด้วยปุ่ม 4 ทิศ อย่างที่เห็น
ระบบ Bluetooth ค่อนข้างฉลาด เพราะจะเชื่อมต่อการทำงาน
เข้ากับโทรศัพท์ของเราได้เลย



ลองมาดูกันว่า ถ้าจะโทรศัพท์ ผ่านระบบ Bluetooth ใน S80 นั้น
ยุ่งยากไหม?

เข้าไปที่ Phonebook เมนู เบอร์ 4 จากหน้าจอที่เห็น



แล้วก็ ป้อนชื่อของคนที่เราบันทึกไว้ในสมุดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ ของมือถือเรา

อาจต้องจอดรถแล้วค่อยกด เพื่อความปลอดภัย



ก็จะขึ้นเบอร์โทรที่เราบันทึกเอาไว้

และนี่ คือการเรียกข้อมูลจากโทรศัพท์ของเราเองโดยตรง



จะเร่งหรือลดระดับเสียง
กดสั่งโทรเข้่า หรือโทรออก

ใช้สวิชต์ฝั่งขวามือ ร่วมกับชุดเครื่องเสียง นั่นเอง



นอกจากนี้ หน้าจอที่เห็น ยังมีประโยชน์ในการตั้งค่าการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ
ซึ่งมีลูกเล่นให้เลือกเยอะพอสมควร

ถัดจากสวิชต์ควบคุมระบบปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง ซ้าย-ขวา ลงไป
แถวล่างสุด จากซ้าย-ไปขวา
จะมีสวิชต์พับพนักศีรษะเบาะหลังลงด้วยไฟฟ้า

สวิชต์ เปิด-ปิด ชุดไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ปรับมุมองศาจานฉายตามการเลี้ยว ซ้าย-ขวา และขึ้นลงอัตโนมัติ

สวิชต์เปิด-ปิด ระบบสัญาณเซ็นเซอร์กะระยะเข้าจอด
ซึ่งในยามที่ไมไ่ด้ถอยเข้าจอดที่ไหน ปิดทิ้งไปเลยก็ได้ครับ
แต่อย่าลืมเปิดให้กลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อคุณเข้าเกียร์ R เพื่อถอยหลัง
ก็แล้วกัน

เพราะเสียงของเซ็นเซอร์นั้น มันมีทั้ง ปุ้กๆๆๆ ป่้องๆๆๆ ตุ้งๆ ตึ่งๆ อะไรของมันก็ไม่รู้….ฮาดี!



รวมทั้งระบบกล้องและสัญญาณไฟเตือนมุมอับของสายตา BLIS (Blind Spot Information System) ที่ผมชื่นชอบมากกกกก

เพราะหลังจากมีประสบการณ์ กับระบบนี้ ทั้งใน S80 ทั้ง 4 คัน
รวมทั้ง C30 อีัก 3 คัน ผมชอบมันมาก มันคอยเตือน
แบบไม่ต้องใช้เสียงให้กวนประสาท เวลาที่้
จะมีรถพุ่งมาจากด้านข้าง ช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนเลน
แล้วเกิดอุบัติเหตุ เพราะไม่ได้ดูกระจกมองข้าง ลงไปได้มาก

ผมอยากให้มีระบบนี้ ติดตั้งเป็นมาตรฐานให้กับรถยนต์ทุกยี่ห้อกันเลยทีเดียว!

แต่ ต้องไปปรับปรุงความเสถียรของมันสักหน่อยนะ

เพราะตอน C30 วันฝนตก ผมเจอมันกระพริบๆ ถี่ๆ
และ ต้องหาที่จอด ดับเครื่อง เพื่อติดเครื่องยนตใหม่
ให้ระบบมัน Re-start ตัวเองอีกครั้ง

และใน S80 คันนี้ ผมก็เจออีก 1 ครั้ง (แต่หลังจากนั้น ไม่เจอเลยนะ)

อีกทั้ง ตาแพนเอง ก็เจอความ ติงต๊องของระบบเข้าให้

บนถนนวิภาวดีรังสิต จู่ๆ ไฟเตือนฝั่งขวาก็โผล่ขึ้นมา
แพนก็หันไปดูทางกระจกมองข้าง เพราะนึกว่า ตัวเองกำลังแล่นอยู่เลนขวาสุดแล้วนะ
มันจะมีรถอะไรเข้ามาขนาบข้างได้ยังไงละเนี่ย?

แล้ว สายตาของแพน ก็เจอ…กำแพง… -_-‘

ป้าดธ่อ!!

. . . . . . . . . . . .

ทีนี้ มาถึงความแตกต่าง ที่สำคัญ ของรถรุ่นปี 2008 กับ รถรุ่นปี 2009
ที่เพิ่งออกสู่ตลาด

ระบบเตือนผู้ขับขี่ (Driver Alert Control: DAC) วอลโวคุยว่าเป็นนวัตกรรมแรกของโลกที่เลือกจับตาดูความเคลื่อนไหว
และทิศทางของรถท่ามกลางการจราจรบนท้องถนน แทนที่จะจับผิดคนขับ เหตุผลก็คือ พฤติกรรมการขับขี่นั้นเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละคน
เมื่อประเมินแล้วว่า เป็นไปได้ที่ผู้ขับขี่อาจสูญเสียการควบคุมรถหรือมีสมาธิในการขับขี่น้อยเกินไปจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ระบบจะส่งสัญญาณเสียง และขึ้นข้อความทางหน้าจอมาตรวัดรอบฝั่งขวา เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพักด้วยสัญลักษณ์รูปถ้วยกาแฟ
ทั้งนี้ระบบจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 65 กม./ชม. และแอคทีฟต่อเนื่องในช่วงความเร็วที่มากกว่า 60 กม./ชม.
นับว่ามีประโยชน์มากสำหรับการขับขี่ทางไกลที่ผู้ขับขี่อาจเหนื่อยล้าจนทำให้สมาธิในการขับขี่ลดลงได้ง่าย

แต่เสียดายว่า ผมไม่เคยเจอระบบนี้ทำงานเลย เพราะว่า การขับรถแต่ละครั้ง ตลอดเวลาที่ S80 2.5 FT
มาอยู่กับผม ผมไม่เคยใช้ระยะทางต่อเนื่องยาวๆ เกิน 150 – 200 กิโลเมตร ในทริปเดียวเลยแต่อย่างใด

แต่อีกระบบ ที่ผมมีโอกาสสัมผัส และมีเรื่องฮาๆ ก็คือ ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลน (Land Departure Warning: LDW)
ซึ่งวอลโวบอกเอาไว้ในเอกสารสำหรับสื่อมวลชนว่า “พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ที่อาจเกิดขึ้นจากการขับออกนอกช่องทางเดินรถ โดยอาจจะเกิดจากการสูญเสียสมาธิของผู้ขับขี่
ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลนสามารถควบคุมได้ผ่านปุ่มบนคอนโซลหน้ารถ เพื่อทำหน้าที่เตือนผู้ขับขี่
ด้วยสัญญาณเสียงหากรถเคลื่อนที่ข้ามเส้นแบ่งเลนอย่างไม่เหมาะสม เช่นในขณะที่ผู้ขับขี่ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว
หรือการหักเลี้ยวกะทันหัน (มันจะร้อง ตรู๊ดๆๆๆๆๆ) โดยใช้กล้องในการตรวจจับตำแหน่งของรถและเส้นแบ่งเลน
ระบบจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 65 กม./ชม. และแอคทีฟต่อเนื่องในช่วงความเร็วที่มากกว่า 60 กม./ชม.
ทั้งนี้ สำหรับถนนไฮเวย์ในสหรัฐฯ อุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถข้ามเลนมีตัวเลขประมาณ
1 ใน 4 ของอุบัติเหตุทั้งหมดบนถนนเลยทีเดียว นักวิจัยของวอลโว่ คาร์ประมาณการไว้ว่า
ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลน น่าจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุประเภทนี้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30-40
ที่ระดับความเร็วระหว่าง 70-100 กิโลเมตร”

นั่นหนะ คือข้อความที่วอลโวเขียนเอาไว้ แต่พอใช้งานในชีวิตจริงละ?
โอเค ยอมรับละครับว่า ผมชอบมันมากๆ! เพราะระบบนี้
น่าจะช่วยดัดสันดาน ไอ้พวกขับรถเปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวสเข้าซอยกระทันหัน
แล้วไม่ยอมเปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าเนิ่นๆ

พอเอาเข้าจริง การเตือนของมัน อาจจะสร้างเสียงฮา ให้กับหมู่มวลมิตรสหายกันได้อยู่

ทีเวลาเราเผลอกินเลนไปนิดเดียว ระบบก็ร้องเตือน ตรู๊ดๆๆๆๆ

แต่พอเปลี่ยนเลน แบบ ไปๆมาๆ ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว ระบบกลับไม่ร้องเตือน ทั้งที่โดยปกติ
มันควรอย่างยิ่งที่จะต้องร้อง!?

แต่พอตาแพน เผลออีกที ระบบก็ร้องเตือน ตรู๊ดๆๆๆ อีกครั้ง

การเตือนในแต่ละครั้ง มันมักเตือน ในตอนทื่แพนกำลังพูดคุยในเรื่องสำคัญๆทุกที

แล้วแพนก็จะหยุดบทสนทนาของตนดื้อๆ
มองที่หน้าปัด แล้วก็หันมามองหน้าผม ด้วยสีหน้าเซ็งเป็ดสุดๆ

เอิ๊กๆๆๆๆๆๆ



เมื่อรีวิวครั้งที่แล้ว ผมลืมเก็บรายละเอียดสำคัญไปนิดหน่อย

นั่นคือ ขนาดความจุ ของกล่องคอนโซล ซึ่งจะมีช่องเสียบ AUX
ที่รองรับเครื่องเล่น iPod ได้

ช่องใส่ซีดี มีขนาดใหญ่ในระดับพอวางได้ หลายกล่อง
แต่ที่ผมชอบมาก คือ ช่องวางแก้ว พร้อมฝาเลื่อนปิด มีช่องสำหรับวาง
โทรศัพท์ หรือเครื่องเล่น Gadget อื่นๆได้ด้วย

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐาน
แน่นอนว่า วอลโว ใส่ ถุงลมนิรภัย คู่หน้า (Dual SRS Airbag) ด้านข้าง ที่เบาะทั้ง 2 ฝั่ง (SIPS Airbag) )
และ ม่านลมนิรภัย IC (Inflatable Curtain) รวม 6 ใบ
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ 3 จุดพร้อมระบบ ดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretension & Load Limiter) ทุกตำแหน่ง
พวงมาลัย ปรับระดับสูง-ต่ำ และใกล้ไกล ได้
พนักศีรษะนิรภัย WHIPS
ระบบควบคุมการทรงตัวและเสถียรภาพ DSTC
ระบบไฟเบรกฉุกเฉิน (ทำงานทันที ที่มีการหยุดรถด้วยแรงมากกว่า
0.7 g หรือเมื่อ ABS ทืงาน ไฟเบรกจะกระพริบเตือนรถคันที่ตามหลังมาโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับ ไฟฉุกเฉิน
ฝากระโปรงหน้ายังออกแบบให้ยุบตัวได้ เพื่อลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน กรณีที่เดินตัดหน้าคุณ
มีไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้าง
กุญแจระบบ Immobilizer ฝังในรีโมท PCC นั่นละ
กระจกมองหลัง ตัดแสงจ้ารบกวนอัตโนมัติ
ฯลฯ อีกมากมาย ไปเปิดดูเอาเอง ในแค็ตตาล็อก
หรือไม่ก็ http://www.volvocars.co.th



********** รายละเอียดทางเทคนิค และการทดลองขับ **********

ถ้าเป็นในเวอร์ชันต่างประเทศ S80 จะมีทางเลือก ของรุ่นที่เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ 2 รุ่น
คือรุ่น 2.0 FLEXIFUEL ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 145 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 185 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที และส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

แต่ในเวอร์ชันไทยนั้น วอลโว นำด้วยการนำ S80
รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ซึ่งวาง เครื่องยนต์ รหัส B5254T6
เบนซิน 5 สูบเรียง DOHC 20 วาล์ว 2,521 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83 x 93.2 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 9.0 : 1
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ SFI (Sequential Fuel Injection)
พ่วงเทอร์โบแรงดันต่ำ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual CVVT
ลำดับจังหวะจุดระเบิดของกระบอกสูบ 1 – 2 – 4 – 5 – 3

มาปรับสเป็ก ให้ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ จนกลายเป็น
รหัสเครื่องยนต์ใหม่ แปลกตาไปนิด ในชื่อ “B5254T8”



ซึ่งรายละเอียดของชิ้นส่วนที่มีการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงไปนั้น
มีรายการดังนี้

– เปลี่ยนฝาสูบใหม่ ทำจากอลูมีเนียม
– ปรับแต่งสมองกล ECM ของเครื่องยนต์เสียใหม่ ให้ฉีดจ่ายน้ำมันหนาขึ้นเล็กน้อย
– ลูกสูบ และแหวนลูกสูบชุดใหม่
– ปรับปรุงวาล์ว และบ่าวาล์ว ให้ทนทานยิ่งขึ้น
– เปลี่ยนชุดหัวฉีด ซึ่งใช้วัสดุที่ทนการกัดกร่อนของแอลกอฮอล์ ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
– เปลี่ยนถังน้ำมัน พร้อมกับชุดปั้มส่งน้ำมัน ที่ใช้วัสดุรองรับกับแอลกอฮอลล์ ได้ดีขึ้น
– เปลี่ยนท่อทางเดินน้ำมัน ทั้งระบบ
– ปรับปรุงชุดมาตรวัดปริมาณน้ำมันในถังที่เหลืออยู่ ในชุดมาตรวัดนิดหน่อย

เอาง่ายๆ ว่า ชิ้นส่วนที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ ซึ่งมีอยู่ในทั้งเครื่องยนต์ของรุ่น 2.5 ลิตรเดิม
กับ 2.5 ลิตรที่เติม E85 ได้นั้น มี เลขอะไหล่ หรือ Part Number ในแต่ละชิ้น คนละเบอร์กันเลย

แต่ไม่ว่าจะปรับปรุงกันยังไงก็ตาม
ตัวเลขสมรรถนะที่เครื่องยนต์รหัสนี้รีดได้
ยังคงเท่ากับรุ่น 2.5 ลิตรเดิม นั่นคือให้กำลังสูงสุด
200 แรงม้า (HP) ที่ 4,800 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 30.57 กก.-ม. (300 นิวตันเมตร)
เกิดขึ้นตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที
แถมยังลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ็อกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ถึง 80%



ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ของ AISIN SEIKI (เจ้าเก่า)
รุ่น AW TF-80SC
พร้อมโหมด บวก-ลบ “GearTronic”
ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์เล่นได้เอง

อัตราทดเกียร์ เหมือนกันกับรุ่นเดิมเปี๊ยบ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………..4.148
เกียร์ 2……………………..2.370
เกียร์ 3……………………..1.556
เกียร์ 4……………………..1.155
เกียร์ 5……………………..0.859
เกียร์ 6……………………..0.686
เกียร์ถอยหลัง………………3.394
อัตราทดเฟืองท้าย…………3.329

เรายังคงใช้วิธีการทดลอง เหมือนเดิม ทั้ง 3 คัน
คือ นั่ง 2 คน เปิดแอร์ และใช้เวลาช่วงกลางคืน ในการทดลอง
คนจับเวลายังเป็นคนเดียวกัน ก็คือ น้องกล้วย (Login : น้องชายคนเล็ก @ Pantip.com ห้องรัชดา)
น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม รวมกับคนขับ 93 กิโลกรัม
และผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญ
อย่าง BMW ซีรีส์ 5 และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส E200NGT
ที่ผมทดลองขับไว้เมื่อนานแล้ว มีดังต่อไปนี้



สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างรุ่นเดิม ซึ่งเติม E85 ไม่ได้
มาเป็นรุ่นใหม่ 2.5 FT ที่เติม E85 ได้ คือ ตัวเลขอัตราเร่ง
ที่ดีกว่ากันอย่างชัดเจน ประมาณ 0.8 วินาที หรือเกือบ 1 วินาที

แถมมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่จับเวลาได้ 9.59 วินาทีด้วย

ส่วนตัวเลขอัตราเร่งแซงนั้น ดีขึ้นสอดคล้องกัน คือ ดีกว่ารุ่นเดิม 0.8 วินาที โดยประมาณเช่นกัน

ตัวเลขที่ออกมา ดีพอกันกับรุ่น 6 สูบ 3.2 ลิตร
จนแทบไม่เห็นความจำเ็ป็นว่าจะไปซื้อรุ่น 6 สูบทำไมกัน?

อย่างที่ทราบกันว่า เอทานอลนั้น ช่วยให้การจุดระเบิดเผาไหม้ได้ดีกว่าเบนซิน
แถมยังลดอาการน็อค หรือชิงจุดระเบิดของเครื่องยนต์ลงไปได้ เพราะค่าออกเทน โดยปกติแล้ว จะสูงกว่าน้ำมันเบนซินทั่วไป

แต่อย่างไรก็ตาม รถรุ่นนี้ มีการปรับแต่งให้มีการฉีดจ่ายน้ำมันให้หนาขึ้น
เหตุผลก็เพราะ แก็สโซฮอลล์ E85 นั้น ต้องการส่วนผสมระหว่างอากาศและน้ำมัน
(A/F Ratio) ในอัตราส่วนที่มากกว่าน้ำมันเบนซินทั่วไป

ดังนั้น จึงต้องเซ็ตให้มรการฉีดจ่ายเชื้อเพลิงให้หนาขึ้น เพื่อพยายามรักษา
ปริมาณของอ็อกซิเจนในไอเสีย (ค่า Lambda) ให้ได้ในระดับเดิม เพื่อจะรักษาพละกำลัง จากเครื่องยนต์เอาไว้ให้ได้เท่าเดิม

ส่วนความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ รวมทั้งรอบเครื่องยนต์นั้น เท่ากันกับรุ่นมาตรฐานเป๊ะ
แน่ละในเมื่อเซ็ตอัตราทดเกียร์หมือนกัน พละกำลังสูงสุด ก็เท่ากัน

ยกเว้นความเร็วสูงสุด ในรถเวอร์ชันตลาดโลกนั้น
ความเร็วสูงสุด จะอยู่ที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่กับ เวอร์ชันไทย ดูเหมือนว่าเมื่อลองขับกันจริงๆแล้ว
ตัวเลขจะหยุดลงนิ่งๆที่ความเร็ว 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง



และ…ในเมื่อ ตัวรถนั้น มีการปรับปรุงเพียงแค่เครื่องยนต์ เป็นหลัก
และรายละเอียดด้านระบบพวงมาลัย กับช่วงล่าง รวมทั้งระบบเบรกห้ามล้อ
และทัศนวิสัย ก็เหมือนเดิม (ย้อนไปอ่านได้ที่
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=179&dshow=all )
นั่นก็หมายความว่า บุคลิกเดิม ความนุ่มนิ่มจนย้วยยยยยยยย
ที่แย่กว่า S80 รุ่นเดิมนั้น มันยังคงอยู่ใน S80 ใหม่ทุกประการ!

สิ่งใดที่ผมเคยบ่นไว้ ในรีวิวครั้งก่อน
มาคราวนี้มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม เปีะ ทุกประการ
และคงไม่ต้องพุดอะไรมากกว่าเดิมนัก

ให้ตายเถอะ แม้ผมจะรู้สึกมั่นใจ ว่าระบบความปลอดภัยในรถ จะช่วยชีวิตผมได้
หากต้องแหกโค้ง พวงมาลัยจะมีน้ำหนักกำลังดี เหมาะแก่การควบคุม
แถมแป้นเบรกก็นุ่มนวลกำลังดี หนักแน่น ให้ความมั่นใจได้ดีมาก
และพอเอาเข้าจริง รถมันก็ไม่ยอมให้คุณแหกโค้งได้ง่ายๆนักหรอก
เพราะตัวมันก็หนักอยู่ แต่ ผมกลับไม่เคยรู้สึกมั่นใจเลยเวลาจะเปลี่ยนเลน
หรือเลี้ยวเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ในหลายโค้ง ที่ผมใช้ประจำ ด้วยความเร็ว
แถวๆ 80-85 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมสามารถใส่เข้าไปในโค้งได้เลย
แต่กับ S80 2.5 FT ผมก็ยังคงต้องถอนเท้าจากคันเร่ง แตะเบรกเลี้ยงให้รถชะลอลงก่อนถึงหน้าโค้งอยู่ดี

การเอียงตัวของรถ เกิดขึ้นมากเกินไป จนชวนให้เสียวไปบ้าง
และผมก็เริ่มคิดถึงระบบกันสะเทือนของ S60 ที่นุ่มคล้ายกัน
แต่สปอร์ตกว่านี้และเซ็ตมาดีกว่านี้นิดหน่อย ขึ้นมาตะหงิดๆ

ในเมื่อวอลโวพยายามทำ S80 ใหม่ ออกมา ให้ เอาใจนชอบขับรถเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ไฉนเล่า จึงทำระบบช่วงล่างออกมา ให้ต้องค่อยๆขับละเมียด เหมือนกำลังจิบกาแฟชั้นดีอยู่หว่า?

ต่อให้เป็นรุ่น 3.2 ลิตร ที่มีระบบ Four-C ขนาดเปิดโหมด Advanced แล้ว
ก็ยังนุ่มไปหน่อยอยู่ดี

ผมคิดถึงช่วงล่างของ S80 รุ่นแรก ขึ้นมาด้วยอารมณ์ถวิลหาเลยทีเดียว!



********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเเพลิงเฉลี่ย **********

แล้วก็มาถึงอีกประเด็นสำคัญที่ผมอยากรู้ นั่นคือ มันจะกินน้ำมันเชื้อเพลิง
แตกต่างจากรถรุ่นเดิมมากน้อยแค่ไหน

คราวนี้ การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ออกจะผิดแผกไปจากมาตรฐานเดิมบ้างเล็กน้อย

ในเมื่อ S80 คันนี้ เขาเติม น้ำมัน แก็สโซฮอลล์ E85 มาให้อยู่แล้ว

และหนึ่งในโจทย์ข้อสำคัญของเรามีอยู่ว่า ในเมื่ออัตราเร่ง ชัดเจนแล้วว่า ดีขึ้นกว่ารุ่นปกติ
ทีนี้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงละ จะกินน้ำมันมาก หรือน้อยกว่ารถรุ่นปกติแค่ไหน

ดังนั้น ก็ควรจะทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในรูปแบบที่ต่างออกไป

นั่นคือ ใช้เชื้อเพลิงหลักเป็น แก็สโซฮอลล์ E85
เพื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นเดียว ที่เคยทดลองปีก่อนหน้านั้น
ซึ่งเติมน้ำมัน เบนซิน 95 ตามมาตรฐานเดิมอาไว้

แต่ยังต้องอยู่บนพื้นฐานเดิมคือ

“ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมงเดินทางไกล ประมาณ 100 กิโลเมตร เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน”

ปัญหาก็คือ แล้วเราจะหาปั้มไหนเติมกันดีละเนี่ย?



จากเอกสารของวอลโว ที่ ลุงพอล แกเขียน และหาข้อมูลมาให้เราอ่านกันนั้น
ปตท เองบอกลุงพอลว่า สิ้นปีนี้ จะขยายจุดเติมน้ำมัน E85 ให้ได้ครบ 15 สถานีบริการน้ำมัน
เช่นเดียวกับ บางจาก…

แล้วดูความจริงที่เกิดขึ้นสิครับ…



จากที่ น้องกล้วย มาช่วยผมทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงคราวนี้ด้วย
ทำให้เราสองคนได้พบความจริงที่…น่าถอนหายใจยิ่งนัก….

ปัจจุบันนี้ ปั้มน้ำมันที่ “ถูกกำหนดว่าต้องมี E85 ให้บริการ”
รวมกันทั้ง ปตท และบางจาก มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น

– เอาละ ถ้าผมจะเลือกเติม บางจาก ละ ปั้มจะตั้งอยู่ที่ไหน?

น้องกล้วยโทรถาม Call Center ของบางจาก ให้ผม
ช่วงราวๆ บ่าย 2 กว่าๆ เกือบ บ่าย 3 โมง วันพฤหัสที่ 4 ธันวาคม

และต่อไปนี้คือบทสนทนา…ของเจ้ากล้วยน้อย…

“สวัสดีครับ ผมอยากจะสอบถามว่า ปั้มน้ำมันที่มี E85 ให้เติมนั้น
มีที่ไหนบ้างครับ”

“เอ่อ สักครู่นะคะ…”

หายไปแป๊บนึง

“อยู่ตรง ทางด่วนคู่ขนาน หนะคะ”

“เอ่อ แล้ว ทางด่วนคู่ขนานที่ว่ามันอยู่ตรงไหนละครับ?”

“สักครู่นะคะ…..” หายไปพักนึง….

“อยู่ตรงโลตัส คะ”

(ดูเค้าตอบ)

“อ้าวพี่ครับแล้วโลตัสสาขาไหนละครับ แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย”

“อ๋อ เอ่อ สักครู่นะคะ”……(หายไปอีกแป๊บนึง)

“รามอินทราคะ”

“ขอบคุณครับ” เจ้ากล้วยน้อยวางสายในทันที

เซ็งมากกกกกกก แถมซ้ำร้าย มีพรรคพวกกันแจ้งมาว่า ไม่ต้องไปเติม
เพราะที่บางจากนั้น ไม่มีน้ำมันให้เติม อ้าว อะไรกันละเนี่ย?

เอาละ ถ้าไม่คิดจะเติม บางจาก ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับ ปตท.แล้วละ
แต่มันตั้งอยู่ที่ไหนหนะเหรอ?

– ปตท หนะมีถึง 2 แห่ง แต่ดันไปตั้งอยู่ในจุดที่ ไม่สะดวกอย่างยิ่งในการเติม ของผม
คือ ไปตั้งเอาที่จุดพักรถ ทั้งฝั่งขาเข้าและออก ของระบบทางด่วนขั้นที่ 1
ช่วงบางนา!!

นี่ถ้าคิดจะเติม E85 นั่นคือ ผมต้องขับขึ้นทางด่วนเข้าไปเติม!!

โห จ่ายอีก 45 บาทเนี่ยนะ?

แล้วที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ

ไม่ต้องไปเติม E85 ที่จุดพักรถฝั่งขาเข้า กรุงเทพฯ ซึ่งเพิ่งเปิดใหม่เลยนะครับ

เด็กปั้มบอกว่า ไม่มีน้ำมัน ถังมันรั่วซึมจากข้างล่าง!!

เฮ่ย ปั้มเปิดใหม่ แต่มาอ้างว่าถังรั่วซึมเนี่ยนะ???

อ้าว ถ้าไม่มีแล้วคุณจะตั้งปั้มหัวจ่ายทำพระแสงของ้าวด้ามยาวปลายแหลม (หอก) อะไรฟะ?

เซ็งเป็ดสาดๆ!! อุตส่าห์ขึ้นทางด่วนมาแล้ว เพื่อจะมาเติมโดยเฉพาะเลย

เลยได้แต่ถ่ายรูปตู้จ่ายของปั้มฝั่งขาเข้ามาให้ดู เพื่อยืนยันว่า ได้ขับมาเติมแล้ว
แต่ไม่มีน้ำมันให้เติม!! รูปข้่างบนนี้แหละ!

่กว่าจะเติมได้ โน่นครับ ต้องหาทางวนไปเติมที่ ปั้มฝั่งตรงข้าม คือฝั่งขาออก

เฮ้อออออออออออออออออ ปตท เอ้ยยยย แย่จริงจริ๊งงงงงงงงงงงง!!!!



สรุปว่า ทั้งประเทศไทย สถานีที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเติมได้ มันมีแค่ 3 แห่งเท่านั้น
ที่หนักหนากว่านั้นคือ สถานีที่มีน้ำมันให้ผู้บริโภคได้เติมจริง
มันมีอยู่แค่แห่งเดียว!!!!!!!!!!!!!

และในเมื่อ เติมได้ที่ปั้มฝั่งขาออก ทางด่วนบางนา เท่านั้น
เราเลยต้องมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง กันพอสมควร

คือ เริ่มเติมน้ำมัน E85 จากปั้ม ปตท. จุดพักรถบนทางด่วน บางนา ฝั่งขาออก (จ่ายค่าทางด่วนแล้ว 45 บาท)
โดยเด็กปั้มจะต้องปลดล็อกกุญแจออกก่อน
เหตุผลก็คือ กลัวจะหยิบหัวจ่ายเติมให้ลูกค้าผิด…



เติมกันให้เต็มถังน้ำมันของรถ ที่มีความจุ 70 ลิตร ตามที่ระบุไว้ในสเป็ก
เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอแล้ว

จากนั้น ออกจากปั้ม มุ่งหน้าลงทางด่วน สี่แยกบางนา ตรงไปขึ้นทางยกระดับบูรพาวิถี มุ่งหน้าไปยาวๆ
จ่ายเงินลงทางยกระดับที่แถวๆ บางวัว (อันนี้ 45 บาท) เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปออกทาง มอเตอร์เวย์ 4 เลน
ตรงยาว ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่สถานการณ์ทุกอย่าง กลับคืนสู่ภาวะปกติไปแล้ว รถหนาแน่น
แต่เคลื่อนตัวได้ดีมาก มาขึ้นทางยกระดับ จ่าย 25 บาท เพื่อมาเลี้ยวเข้า ทางโค้ง ย้อนกลับมาออก
ทางด่วนเส้น รามอินทรา อาจณรงค์ (เสียอีก 15 บาท) มุ่งหน้าไปทางบางนา มาจ่ายอีก 30 บาท
ที่ทางแยกต่างระดับ สุขุมวิท 62 แล้วเลี้ยวซ้าย กลับเข้ามาเติมน้ำมันที่ ปั้มเดิม และแน่นอน หัวจ่ายเดิม
(เพราะทั้งปั้มมันมีอยู่หัวจ่ายเดียวนี่หว่า….)

ค่าทางด่วน 160 บาท ฟังดูเหมือนจะถูก กว่า เส้นทางเดิมที่ผมใช้นะ ล่อเข้าไป 195 บาท
แต่ ถ้านับรวมกับค่าทางด่วนที่ผมต้องเสียเวลาไปขึ้นมาใหม่ และลงทางด่วนมาใหม่ อีก 2 ต่อ
เบ็ดเสร็จแล้ว เมื่อวันที่ทดลองขับ ผมจ่ายค่าทางด่วนอย่างเดียว 225 บาท !!

OH SHIT! เพื่ออะไรเนี่ย???

ระหว่างทดลองขับ เปิด Cruise Control แล่นด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่งกัน 2 คน
มีบางครั้งที่จะต้องชะลอลงมาบ้าง แต่ก็ไม่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลย



และเมื่อกลับมาถึงปั้มน้ำมันเดิม ก็เติมน้ำมัน E85 ที่ หัวจ่ายเดิม
เด็กปั้ม ก็ทำแบบเดิม คือ ไขกุญแจล็อกหัวจ่าย (เพื่อป้องกันการเติมผิดให้ลูกค้า)

แล้วก็เติมน้ำมันเข้าไป เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ



ปริมาณน้ำมันที่เติมเข้าไป เป็นอย่างที่เห็น



ระยะทางที่แล่นไป 99.8 กิโลเมตร หรือ ราวๆ 100 กิโลเมตรเห็นจะได้ แต่ให้ใช้ตัวเลข 99.8 กิโลเมตร



และนี่คืออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่หารออกมาได้



เป็นไงครับ เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขกับคันอื่นๆในตาราง?

เอาเข้าจริงแล้ว ตัวเลขก็ลดลงจริง แต่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนของวอลโวจะกลัวๆกันสักเท่าใดนัก
อาจเพราะว่าระยะทางที่ใช้นั้นไม่เยอะมาก และตัวรถนั้น ยังแล่นไปได้แค่ 530 กิโลเมตร เมื่อมาอยู่ในมือผม
(ตัวเลขในวันไปคืนรถ มันปาเข้าไป เกือบ 1,200 กิโลเมตร กว่ากิโลเมตร)

แต่ ชัดเจนแล้วนะครับ ว่ารถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอลล์ E85 นั้น โดยหลักการแล้ว
จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มากกว่าน้ำมันเบนซิน 95 หรือ ทั่วๆไปอยู่พอสมควร
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับ รถรุ่นมาตรฐานที่ปรับเซ็ตให้สามารถเติมได้มากสุดแค่ แก็สโซฮอลล์ E20 นั้น

และถ้าจะถามว่า ในการใช้งานจริง
น้ำมัน 1 ถังผมจะใช้ระยะทางไปเท่าไหร่

ผมเตรียมกล้องถ่ายรูปติดรถเอาไว้เสมอ
และมีเวลาเพียงพอให้ทันถ่ายรูปนี้เก็บไว้ได้

เมื่อใดที่ไฟเตือนน้ำมันใกล้หมดสว่างโล่ขึ้น ผมจะรีบหยิบกล้องมาถ่ายในทันที



392 กิโลเมตร เศษ นั้น เป็นการใช้งาน ที่ต้องบอกว่า ส่วนใหญ่ขับอยู่ในเมือง
รวมทั้งขึ้นทางด่วน แล่นออกทางวงแหวนบางนา-บางปะอิน รวมทั้งพระราม 9
และงวดนี้ มีเลยออกไปทาง เมืองทองธานี เพราะในวันเสาร์ ผมขับรถคันนี้
ไปจอดที่งาน Motor Expo แล้วไหนจะเจอรถติดเล็กน้อย ตอนเคลื่อนตัวออกจาก
ใต้ถุนแชลเลนเจอร์ฮอลล์ นั่นอีกนิดหน่อย แถมด้วยการทำท็อปสปีด ไป 1 ครั้ง
และใช้ความเร็วเกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงไป 2 ครั้ง

ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันคือเส้นทางแบบปกติที่ผมใช้ ซึ่งจะทางจากที่ผู้คนทั่วไปใช้กันพอสมควร



และในเมื่อ ผมหาปั้มเติม E85 ไมได้อีกเลย ในวันส่งรถคืน
ถามไปทางวอลโว ก็ได้รับคำตอบว่า เติม E20 กลับมาให้ก็ได้
แต่เอาแค่พอกลับมาถึงสำนักงานใหญ่ที่คลองตัน และพอให้วิ่งขึ้นทางด่วนกลับไปเติมให้อีกก็พอแล้ว
ไม่ต้องเติมเต็มถัง

ก็เลยเติม E20 และถ่ายรูปมาให้ดู เผื่อจะมีใครที่ไหนมาถามผมว่า เติม E20 ได้หรือไม่
ก็จะได้เอารูปนี้ยืนยันให้ดูกันไปเลย เป็นอันจบเรื่อง

ว่ารถคันนี้ เป็น Flexifuel Vehicle คือเติมได้หมดหละ
ทั้ง เบนซิน 95 แก็สโซฮอลล์ 95 E10 E20 และ E85
ส่วนที่วอลโวบอกว่าไม่ควรเติม มี เบนซิน 91 และ แก็สโซฮอลล์ 91

ดีเซล? ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกันว่า เติมเมื่อไหร่ เตรียมล้างระบบกันได้เลย



********** สรุป **********
“กาแฟรสหอมละมุน กรุ่นด้วย E85”

ชื่อรีวิวคราวนี้ คงต้องให้เครดิตกับ น้องแพน V.Putin
ผู้ซึ่งลองขับไปรอบๆ ถนนวิภาวดีรังสิตยามหัวค่ำ โดยมีผมนั่งขำเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ข้างๆ
และมีน้อง Bombe กับ น้องแบงค์ J-Yeong นั่งไปด้วยกัน

แพนบอกว่า รถคันนี้ เปรียบเสมือนกาแฟ ที่มีรสชาติหอมกรุ่น
คุณจะดื่มมันได้อย่างสุนทรีย์ทุกวัน และมันยังเติม E85 ได้ด้วย
แม้ว่าปั้มจะน้อยเหลือเกินในช่วงแรกๆนี้ก็ตาม

แต่เราเห็นตรงกันเรื่องหนึ่ง คือ คุณงามความดีของมัน เต็มล้นคันรถไปหมด
แต่มาเสียอยู่เพียงเรื่องเดียว ก็คือ เรื่องความนุ่มนิ่มเกินไปจนย้วยยืด
ของระบบกันสะเทือนนั่นเอง

ทางแก้ในเบื้องต้น ก็คือต้องสั่งชุดช็อกอัพ ของแต่งจากเมืองนอก
ที่ตรงรุ่น (ซึ่งรู้สึกว่า Haico จะทำไปแล้ว) มาเปลี่ยนใหม่ ทั้ง 4 ต้น

และเพียงเท่านั้น เองที่คุณควรจะทำ เพราะนอกนั้น สมรรถนะของมัน
ยังทำได้โอเคอยู่ ยิ่งเจอความสบายในห้องโดยสารแล้วผมแทบไม่อยากคืนรถเลยจริงๆ

แต่เมื่อมาดู ค่าตัว 3.1 ล้านบาทถ้วนๆ ลดลงมาก 2 แสนบาท จากรุ่นเดิม
เอาละ ใครจะซื้อ Lexus IS250 ใหม่ คิดหนักได้เลย จ่ายเท่ากัน
แต่คุณจะได้รถใหญ่กว่า นั่งสบายกว่า แรงไม่แพ้กัน
แต่ช่วงล่าง ย้วยเหมือนใบหน้าอันเหี่ยวย่นของยายซิ้มข้างบ้านมาก
แถมแลกกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่จะเพิ่มขึ้นอีก ราวๆ 10-20%
เมื่อเติม E85 นั้น ผมชักไม่แน่ใจ

แต่ถ้าเติม เบนซิน 95 แล้วยังได้ 14 กิโลเมตร/ลิตร ละก็

ผมว่า ผมอาจจะตัด IS250 ออกไปได้ไม่ยากนักแหะ

ถ้าวอลโวจะ ทำราคาอะไหล่ ให้เป็นมิตรกับลูกค้ากว่านี้ (ซะที)



ทำรีวิววอลโวทีไร ก็ต้องเขียนถึงแต่เรื่องนี้ทุกที

ก็ทำอย่างไรได้ ในเมื่อนี่คือจุดสำคัญ ที่ทำให้ลูกค้า ซึ่งคิดอยากได้วอลโว
พากันเซย์โน ไปอย่างน่าเสียดายกันเช่นนี้

แล้วก็คงเป็นธรรมเนียมเช่นเคยนสำหรับรีวิวของวอลโว
ที่จะต้องปิดท้าย ฝากถึงลุงพอลว่า

S80 ใหม่ ดีแล้วละ ขอ 2 อย่างที่ต้องแก้
– ช่วงล่างนุ่มเกินไป
– ราคาอะไหล่ และความชำนาญของช่างตามศูนย์ ขอให้มากกว่านี้ และราคาเป็นมิตรกว่านี้

เอาง่ายๆ ถ้าวอลโวสามารถทำราคาอะไหล่จนลดลงมาในระดับที่ตนอยู่ได้
และลูกค้าอยู่ได้เมื่อไหร่ ลองออกข่าวประกาศลดราคาอะไหล่ สักครั้ง
เท่านั้นแหละลูกค้าก็จะพากันแห่กลับมาในทันที

ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองดูสิ!

—————-///——————-



ขอขอบคุณ
คุณ ฉันทนา วัฒนารมย์ (พี่ตุ้ม)
และ คุณณัฎฐา จิตรากร (พี่ต่าย)
บริษัท วอลโว คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ



********** บทความทดลองขับรถยนต์ในกลุ่มตลาดเดียวกัน ที่คุณควรอ่านเพิ่มเติม **********

– ทดลองขับ Volvo S80 ใหม่ 2.5 T, 6 สูบ 3.2 ลิตร และ ดีเซล D5
( http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=179&dshow=all )

– บทความรีวิว Volvo S80 D-5 รุ่นเดิม
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3494319/V3494319.html )

———————

– บทความรีวิว Mercedes-Benz E200 NGT
( http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=194&dshow=all )
———————
– บทความรีวิว BMW 5 Series E60 (525i 520d 530i)
525i รุ่นธรรมดา และ 530i
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/05/V4413078/V4413078.html )

520d
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/10/V4756958/V4756958.html )

525i Minorchange
( http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=128#head &dshow=all )

———————
– บทความรีวิว Saab 9-5 Saloon/Estate 2.0 และ 2.3 ลิตร LPT และ Full Turbo

รุ่น ธรรมดา LPT
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3612164/V3612164.html )

รุ่น Full Turbo
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3881960/V3881960.html )

———————
– บทความรีวิว Lexus GS300
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3516757/V3516757.html )

Comparision เปรียบเทียบกับรุ่นเดิม ดูที่นี่
( http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3516754/V3516754.html )

———————



โลเกชัน ของภาพชุดนี้
– สนามกอล์ฟ เมืองแก้ว ถนนบางนา-ตราด กม.8 ฝั่งขาข้า
– ทางกลับรถ ใต้ทางยกระดับวงแหวนกาญจนาภิเษก



J!MMY
14 ธันวาคม – 15 ธันวาคม 2008
23.25 น. – 5.22 น.

Facebook Comments
CarOnline Team

Recent Posts