ทดลองขับ Pajero Sport ตอนต้น
มาสด้า นากาเร่
เปิดตัวในงานเกรทเทอร์ ลอสแองเจลีส ออโต้โชว์ 29 พฤศจิกายน 2549
ลอเรนส์ แวน เดน แอคเกอร์ ผู้อำนวยการด้านดีไซน์ของมาสด้าให้ความเห็นว่า นากาเร่ คือการประมวลแนวคิดการออกแบบในอนาคตของมาสด้ามาไว้ภายในคำๆ เดียวคือ “ความเคลื่อนไหว” โดยเขากล่าวว่า “นากาเร่ คือผลลัพธ์ที่ลงตัวของการกำหนดสัดส่วนและพื้นผิวซึ่งนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการออกแบบที่เราจะนำเสนอในงานออโต้โชว์ระดับนานาชาติในอนาคต นากาเร่ คือการเล่นกับแสงสว่างและเงา และเป็นรถต้นแบบที่เผยให้เห็นถึงแนวคิดในการออกแบบรถยนต์มาสด้าในอนาคตต่อไป”
ฟรานซ์ ฟอน โฮลซ์เฮาเซ่น ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ มาสด้าอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมออกแบบ นากาเร่ ในเมืองเออร์ไวน์ แคลิฟอร์เนีย ให้คำอธิบายว่า นากาเร่ คือการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด “ซูม-ซูม” ในรูปแบบที่พัฒนาไปอีกขั้น “นักออกแบบของเราได้รับแรงบันดาลใจจากความเคลื่อนไหวขององค์ประกอบต่าง ๆ ในธรรมชาติ โดยจับเอาความเคลื่อนไหว พลัง และความเบาไร้น้ำหนักมาถ่ายทอดเป็นเส้นสายและรูปทรงที่สวยงาม ทรงพลังอย่างที่สัมผัสได้ และที่สำคัญคือ พลังดึงดูดอันสุดแสนเร้าใจ”
รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 57 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด “ซูม-ซูม” อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ “ท้าทาย” “สร้างสรรค์” และ “ร่าเริง” เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกคนได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา
ผมมองดู Mitsubishi Pajero Sport ข้างหน้าด้วยความทึ่ง ในการเอารถกระบะมาแปลงโฉมอย่างไม่เหลือรอยดั้งเดิมของเขาเอาไว้เลย
แม้ว่าส่วนหน้าของรถจะมีรูปลักษณ์เหมือนเดิม แต่ความอ่อนช้อย หรือที่ผมเรียกเอาเองในตอนไปพูดคุยกับผู้บริหารของมิตซูบิชิที่ญี่ปุ่น ว่า Too Sexy! นั้นหายไปหมดจากการเปลี่ยนมาเป็น Pajero Sport คราวนี้
ขอบหน้าต่าง หรือเอวของรถ ที่พาดตัวต่ำในตอนหน้า ยกสูงขึ้นในช่วงหลัง ก็อุตส่าห์ดูดี เลยไปถึงส่วนท้ายของตัวถัง ที่ดูคล้ายกับเอาแบบมาจากรถบางแบบของไทยรุ่ง
แต่ก็ดูสวยงามรับกันกับทรวดทรงของรถทั้งคัน ไฟหน้าดวงกลมเล็กเล็กที่ฝังตัวอยู่ในกรอบใหญ่ เลยไปถึงกระจกมองข้างบานมหึมา กลายเป็น PPV หรือ SUV ที่ดูได้ ไม่รู้สึกว่า Too Sexy และไม่รู้สึกเบื่อ อย่างน้อยก็ในช่วงนี้
ผมว่า ความโค้งมนข้างล่างของตัวถังหน้ารถกระบะ และท้ายกระบะนั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมทนดูมิตซูบิชิ ไทรตัน ไม่ไหว
Pajero Sport ให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรงกว่า หลายเท่าครับ
เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร Hyper Common Rail DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้กำลังสูงถึง 165 แรงม้า ที่ 4000 รอบต่อนาที และแรงบิด 351 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบต่อนาที เหลือเฟือสำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์คันนี้ ไปทุกแห่งหนบนถนนเมืองไทย
ผมลองออกตัวจากจอดนิ่ง ที่เกียร์ D ซึ่งก็คือเกียร์หนึ่ง และจะต่อไปสองสามกับสี่ให้โดยอัตโนมัติ ก็พบว่า Pajero Sport ให้อัตราเร่งดีทีเดียว แม้ไม่ได้วัดเอาไว้ ด้วยว่า เป็นแค่การทดลองขับรถยนต์เท่านั้น แต่รถก็ทะยานออกจากที่จอดอย่างรวดเร็ว และพุ่งขึ้นสู่ความเร็วสูง แทรกสายธารการจราจรเข้าไปอย่างกลมกลืน
ความเร็วสูงสุดที่เขาบอกเอาไว้ ว่าวิ่งได้ถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น ไม่น่าจะผิดไปหรอกครับ
ผมดูจากการขับขี่ที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ราว 2400-2500 ต่อนาที ถ้าจำไม่ผิดนะครับ และเมื่อรอบเครื่องไปได้ไม่ต่ำกว่า 4000 รอบ อันเป็นรอบของแรงม้าสูงสุด ก็น่าจะทำความเร็วสูงสุดได้อยู่แล้ว ที่แถวแถวสี่พันรอบต่อนาที
อุปกรณ์ประจำรถของ Pajero Sport รุ่นธรรมดา มีวิทยุและ CD ให้ ที่ผมไม่ได้ลองเล่น CD แต่เปิดวิทยุฟังรายการกลับให้ได้ ไปให้ถึง ในช่วงกลางวันที่คลื่น AM 1269 อันอาจจะมีไปเพียงแค่ไม่เกินสิ้นปีนี้เท่านั้น ด้วยว่า ทางสถานีปรับผังรายการให้เช่าเวลาทำมากขึ้น และราคาสูงขึ้น เกินกว่าที่ผมจะรับได้ จึงไม่ส่งหนังสือประกวดราคาเข้าไปสำหรับปีใหม่นี้
เหลือแค่ FM ตอนดึก อยู่ที่ 89.5 เวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ที่ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าจะขึ้นราคาอีกหรือเปล่า ก็คงพอนะครับ
คลื่น AM ฟังได้แจ่มใสไปจนถึงริมหาดจอมเทียน ส่วน FM ก็คงเจอเข้ากับสถานีวิทยุท้องถิ่น เพียงแต่ผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ลองฟังเลยครับ ไปถึงก็จอดรถ แล้วขนสัมภาระขึ้นห้องไป ไม่ได้กลับลงมาที่รถอีกเลย จนวันเดินทางกลับ
ระหว่างการเดินทางจากสวนสยาม ไปหาดจอมเทียนนั้น ผมเผลอเลี้ยวออกไปทางมอเตอร์เวย์ ทั้งที่ปกติก็จะใช้ทางด่วนลอยฟ้า บางนา-ชลบุรี ก็เลยตามเลยครับ ลองใช้มอเตอร์เวย์ดูบ้างก็ไม่เลว หลังจากเลิกใช้มาสองสามปีแล้ว
ทางมอเตอร์เวย์ หรือทางหลวงหมายเลข 7 ดีขึ้นมากแล้วครับ เลนวิ่งก็เพิ่มขึ้น แต่รถก็ยังมาแออัดกันอยู่ในช่องขวาสุด
สันคอสะพานหายไปมากแล้ว เวลาขับผ่านก็ไม่กระโดดโครมครามเหมือนเดิม ทำความเร็วในการเดินทางได้ดีขึ้น เพราะสามารถรักษาความเร็วได้เกือบตลอดทาง ไม่ต้องติดขัดเวลาการจราจรเต็มสองช่องทางเหมือนเคย ยังแยกหนีไปแซงซ้ายได้บ้าง ทำให้ผมใช้เวลาไม่มาก เพื่อไปแวะรับประทานอาหารที่ร้านมาเรียม อันเป็นร้านมุสลิม อาหารรสดีทีเดียว ในจุดพักรถของมอเตอร์เวย์
คือผมไปงานโตโยต้า เพื่อพูดเกี่ยวกับเทคนิคใหม่ของรถไฮลักซ์ วีโก้ นะครับ พูดกับคุณพล และคุณกาละแมร์ โดยสองท่านทำหน้าที่เป็นพิธีกร ส่วนผมเป็นวิทยากร พอเสร็จก็ย้อนกลับมารอรับรถมิตซูบิชิที่บ้าน แล้วก็ออกเดินทางกันเลย
หิวนะครับ ต้องแวะกินข้าวสักจาน เจอเครื่องในไก่ผัดเครื่องแกง ก็ให้ราดข้าวมาเลย พร้อมกับซูปไก่ รสจัดจ้านอีกถ้วยหนึ่ง
แค่นี้ ก็อิ่ม อร่อยแล้วละครับ
ออกจากร้านมาเรียม แวะเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อทดสอบอัตราสิ้นเปลืองสักหน่อย แล้วก็เดินทางต่อ ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ก็ลงจากทางด่วนเข้าทางบายพาสชลบุรี หรือที่ถูกก็คือถนนหลวงสายเดิมนั่นแหละครับ มุ่งหน้าไปทางแยกระยอง นาเกลือ
ช่วงนี้เป็นทางสร้างเพิ่มเติมใหม่ จากสองเป็นสี่เลน ที่ผมเคยเล่าให้ท่านฟังกันแล้วว่า เป็นทางที่ทารุณกับช่วงล่างมาก ทั้งที่เป็นถนนคอนกรีต แต่เขาราดคอนกรีตกันอย่างไรผมก็ไม่ทราบ ผิวอันควรจะเรียบ ก็กลับกลายเป็นผิวขรุขระ เหมือนทางลูกรังไปเสียสองเลนใหม่ของแต่ละข้างถนน
รถ Pajero Sport ใช้ช่วงล่างแบบคอยล์สปริงทั้งหน้าและหลัง แต่ก็ปรับเอาไว้ค่อนข้างแข็ง เพื่อไม่ให้รถเอียงตัวมากเวลาเลี้ยวโค้ง เพราะเป็นรถสูงอยู่แล้ว จึงมีความสะเทือนขึ้นมาไม่น้อย ผ่านเข้ามาถึงช่องท้องของผม เล่นเอาเหนื่อยแหละครับ
ช่วงล่างหลังนั้น ผมมุดลงไปพยายามมองหาสปริง แต่คงมุดเข้าไปไม่ถึง จึงมองไม่เห็น ทราบว่า สปริงวางตัวอยู่บนเสื้อเพลาแข็ง และมีคานต่อเชื่อมกับตัวถัง ก็ถือว่า ยังไม่เป็นอิสระทั้งสี่ล้อนะครับ ถึงได้กระด้างอยู่สักหน่อย